สายตาทั้งมวลจับจ้องไปที่จุดสูงสุดของโถงตำหนักแสงสว่าง
มองดูสังฆราชซึ่งมีมู่จิ่วซืออยู่ข้างกาย ฝูงชนเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจอย่างล้ำลึก
ดูจากความจริงจังแล้ว สิ่งที่สังฆราชจะประกาศย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู หลายคนได้นึกถึงชื่อเฉินฉางเซิงขึ้นมาแล้ว
บรรยากาศตึงเครียดและกระวนกระวายอย่างมาก ไม่มีใครสังเกตเห็นอีกสองคนที่เดินมาจากด้านข้างเข้าสู่ห้องโถง
ราชันย์แห่งหลิงไห่กับนักพรตซื่อหยวน สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวง ในคืนนั้น พวกเขาถูกสังฆราชผนึกไว้ด้วยตัวเอง ขังเอาไว้ในคุกเต๋า เหตุใดพวกเขาถึงพลันปรากฏตัวในเวลานี้
แค่สามวันพวกเขาซูบผอมลงไปมาก ใบหน้าซีดขาวปราศจากสีเลือด
ทั้งสองเดินผ่านฝูงชนมายังส่วนหน้าของห้องโถง ในที่สุดผู้คนก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเขา พากันอ้าปากค้าง
เสียงร้องอย่างตกใจก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
ราชันย์แห่งหลิงไห่กับนักพรตซื่อหยวนยืนอยู่ตรงหน้าโถงตำหนักแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง
มหามุขนายกอันหลินมีสีหน้าตกใจในขณะที่จวงจือห้วนหรี่ตาลงเล็กน้อย มีแต่เหมาชิวอวี่กับมหามุขนายกที่รู้จักกันในนามนักพรตไป๋สือที่ไม่เคลื่อนไหว พวกเขาคงรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว
ห้องโถงใหญ่อยู่ใต้แสงเจิดจ้า มู่จิ่วซือยืนอยู่บนแท่นสูงที่ซึ่งแสงสว่างที่สุด ดังนั้นสายตานางจึงได้รับผลกระทบอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้คนที่มีภูมิหลังเช่นนางก็ยังอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้เมื่อคิดว่าสังฆราชกำลังจะประกาศสิ่งใดออกมา นางไม่รู้ถึงเสียงร้องตกใจที่มาจากฝูงชนและความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นชั่วคราว
ในขณะต่อมา นางจะได้กลายเป็นผู้สืบทอดนิกายหลวง เป็นว่าที่สังฆราช
สังฆราชองค์ปัจจุบันมองไปที่นาง ดวงตาเปี่ยมความรักใคร่เอ็นดู
นางยิ้มกระมิดกระเมี้ยนอยู่บ้าง แต่ก็สงบเยือกเย็นยิ่งแม้ว่าจะมีความตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยเมื่อนึกถึงถ้อยคำที่จะถูกประกาศออกมา
“มหามุขนายกวิหารปฏิญญามู่จิ่วซือทำผิดกฎของนิกายอย่างร้ายแรง แสดงความสอดรู้สอดเห็นในวิถีสวรรค์ ควรลงโทษนางอย่างไรดี”
เสียงร้องอย่างตกใจและเสียงพึมพำพูดคุยกันดังขึ้นทั่วโถงตำหนักแสงสว่างราวกับคลื่นลมอันปั่นป่วน
นิกายหลวงกำลังจะมีสังฆราชหญิงองค์แรก แน่นอนว่าผู้คนต้องตกใจ มู่จิ่วซือคิด ใบหน้ายิ้มแย้ม
ทันใดนั้น สีหน้านางก็เปลี่ยนไป ใบหน้าซีดเซียวอย่างที่สุด
เพราะตอนนี้เองที่นางได้ยินสุรเสียงสังฆราชอย่างชัดเจน
ทำผิดกฎของนิกายอย่างร้ายแรง? แสดงความสอดรู้สอดเห็นในวิถีสวรรค์?
ที่สังฆราชต้องประกาศคือเรื่องข้าได้เป็นสังฆราชคนต่อไปไม่ใช่หรือ
เป็นไปได้อย่างไร!
เกิดอะไรขึ้น!
มู่จิ่วซืองงงันอย่างที่สุด พลันหันไปมองที่สังฆราช
ที่นางเห็นยังคงเป็นใบหน้าแก่ชรา ดวงตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยความรักเอ็นดู
ความรักเอ็นดูนั้นไม่ใช่สำหรับนาง
นางบอกได้อย่างชัดเจน
นางโกรธเกรี้ยวอย่างมาก
“เหตุใดท่านถึงอยากลงโทษข้า!” นางพูดกับสังฆราชอย่างเย็นชา
นางมองลงไปยังฝูงชนจากบนแท่นสูง พร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ใครกล้าลงโทษข้า”
ฝูงชนเงียบลง นักบวชพวกนั้นที่มีคุณสมบัติเข้ามาร่วมการประทานแสงล้วนเป็นคนสำคัญของนิกายหลวง พวกเขาล้วนรู้ดีถึงเบื้องหลังอันลึกลับของมหามุขนายกวิหารปฏิญญา พวกเขายังรู้ว่าการมีอยู่ของนางหมายถึงงานใหญ่ที่จะทำให้นิกายหลวงยังดำรงอยู่ได้ในยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม ความเงียบของพวกเขาไม่ได้เป็นสัญญาณของความกระวนกระวายใจ เพราะคำถามของสังฆราชมิได้มีเป้าหมายมาที่พวกเขา
โถงทั้งหลายในสำนักฝึกหลวงล้วนมีกฎของมันเอง วิหารเมฆเหินลมมีหน้าที่ลงทัณฑ์ และมหามุขนายกวิหารเมฆเหินลมก็ยู่ที่นี่แล้ว
ราชันย์แห่งหลิงไห่มองไปที่มู่จิ่วซือ ดวงตาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความแค้น “โบยสามสิบไม้ ทำลายการบำเพ็ญเพียร ขับไล่ออกจากนิกาย”
นี่คือกฎบัญญัติของนิกาย ทุกคนในห้องโถงนี้ล้วนท่องได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้ยินสามประโยคนี้ กลับรู้สึกเย็นเยียบเสียดกระดูก
เป็นเวลาหกร้อยปีแล้วที่การลงโทษอันรุนแรงนี้ไม่เคยถูกนำมาใช้กับคนในระดับเดียวกับมหามุขนายกแห่งนิกายหลวงอย่างมู่จิ่วซือ
ครั้นเห็นดวงตาของราชันย์แห่งหลิงไห่ มู่จิ่วซือก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นเยียบขึ้นมา
นางรู้ว่าไม่อาจอยู่ต่อได้อีก ส่งเสียงฮึดฮัดแล้วหันกายพุ่งออกจากห้องโถง
นางเชื่อว่าตราบใดที่นางไปจากโถงตำหนักแสงสว่างได้ ซางสิงโจวก็สามารถปกป้องนางได้ ตำแหน่งสังฆราชนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเงาที่ไม่อาจคว้า ทว่าอนาคตยังมีความหวังเสมอ
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางลอยตัวออกมาจากเวทีสูง นางก็ตระหนักว่านางได้เสียการควบคุมร่างกายและร่วงลงพับพื้นอย่างรุนแรง
ราชันย์แห่งหลิงไห่นำนักบวชมากมายจากวิหารเมฆเหินลมมาถึงข้างกายนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
……
……
ไอปราณอันน่ากลัวยากสัมผัสได้แผ่ออกมาจากส่วนลึกของแสงอันศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของมู่จิ่วซือ อย่างไรเสียนางก็คือตัวแทนของดินแดนต้าซี ดังนั้นหลังจากราชันย์แห่งหลิงไห่ได้รับคำแนะนำจากเหมาชิวอวี่ เขาก็พักเรื่องการฟาดโบยสามสิบไม้ไปก่อนโดยอ้างว่าไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่ที่นี่ แต่การทำลายการบำเพ็ญเพียรของนาง…ก็ยังเป็นเรื่องน่าตกใจและต้องทนกับความเจ็บปวดทรมานที่ยากจะจินตนาการได้
สังฆราชไม่ได้ยิน เช่นนั้นทุกคนในโถงก็ย่อมไม่ได้ยิน ทั้งหมดนิ่งเงียบราวกับมหาสมุทรหลับใหล
เหมาชิวอวี่กับนักพรตไป๋สือช่วยสังฆราชลงมาจากเวทีสูง มายืนท่ามกลางเหล่านักบวช
เขามองไปยังคนเหล่านี้ที่รับใช้เขามานานหลายร้อยปีและกล่าว “สามวันก่อน ข้าบอกไปว่าข้ากำลังจะตาย”
เสียงสะอื้นอย่างโศกเศร้าดังมาจากฝูงชน
“หลังจากข้าตาย ข้าจะมอบตำแหน่งสังฆราชแก่เฉินฉางเซิง” สังฆราชประกาศ
สีหน้าสงบอย่างมากในยามที่กล่าว ราวกับกำลังพูดว่าวิหารกระจ่างพิสุทธิ์ควรได้รับการบูรณะหรือเหล่าพิราบที่สวนด้านซ้ายของพระราชวังหลีกินจุเกินไปแล้ว
หลังจากการต่อสู้ที่สะพานหน่ายเหอ สังฆราชก็มอบไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจนิกายหลวงแก่เฉินฉางเซิง ทุกคนเข้าใจว่ามันหมายความเช่นใด ตอนนี้ เขาก็ได้ยืนยันสิ่งนี้อีกครั้งหนึ่ง
นี่เป็นตัวแทนความยิ่งใหญ่และเจตจำนงที่ไม่อาจขัดขืน ทั้งนิกายหลวงต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อทำตามคำสั่งนี้ จนกระทั่งเฉินฉางเซิงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งสังฆราช
มีเหมาชิวอวี่กับนักพรตไป๋สือเป็นผู้นำ เหล่ามุขนายก นักบวช อาจารย์ นักเรียนรวมถึงทหารม้านิกายหลวงล้วนคุกเข่าลงกับพื้นเป็นระลอกคลื่น
นักพรตซื่อหยวนคุกเข่า ราชันย์แห่งหลิงไห่คุกเข่า ทั้งหมดค่อยๆ เงียบสงบลง จากนั้นเสียงสวดคัมภีร์เต๋าก็ดังขึ้น สดุดีคุณธรรมและท้องฟ้าพร่างดาว
แสงพุ่งออกมาจากภายในโถง
……
……
“ตาเฒ่าอิ๋น เสด็จพ่อย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปแน่! พี่สาวข้าต้องล้างแค้นแทนข้าอย่างแน่นอน!”
เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของมู่จิ่วซือดังมาจากระยะไกล เสียงคำรามค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น จากนั้นก็ไกลออกไปจนไม่อาจได้ยินอีก
องค์หญิงผู้ลึกลับจากดินแดนต้าซี อดีตผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวง ถูกขับออกจากพระราชวังหลีและคงไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกครั้ง
สังฆราชกำลังรดน้ำต้นไม้
ใบไม้ครามในกระถางเหลือเพียงแค่สามใบ พวกมันดูอ่อนล้าอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ หลังจากเช็ดฝุ่นออกไป ก็ดูสดชื่นขึ้นมาก
“ทำไม” ซางสิงโจวถาม น้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ใด
“ก่อนหน้านี้ เจ้าถามข้าว่าเหตุใดข้าจึงให้เฉินฉางเซิงเป็นสังฆราชใช่หรือไม่” สังฆราชเงยหน้าขึ้นและตอบอย่างใจเย็น “เพราะข้าอยากให้เขาเป็นสังฆราช”
ซางสิงโจวรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบนี้ สายตาเหมือนจะหดตัวลงเล็กน้อย
นี่ไม่ใช่ศิษย์น้องที่เขารู้จักมาเกือบหนึ่งพันปีอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่ ท่านบอกว่าท่านมาเยี่ยมเยือนข้าวันนี้เพื่อพูดคุยเรื่องผู้สืบทอดคำสอนของท่าน…แต่นิกายหลวงไม่ใช่คำสอนของท่าน”
สังฆราชวางผ้าเช็ดมือเปียกไว้ข้างสระแล้วนำเอาผ้าแห้งมาเช็ดหยดน้ำออกจากฝ่ามือ “หากยืนยันจะพูดว่าเป็นของใครให้ได้ เช่นนั้นก็เป็นนิกายหลวงของข้า”
ซางสิงโจวยืนยันข้อสรุปของเขาแล้วว่าไม่ผิด
สังฆราชในวันนี้ไม่ใช่ศิษย์น้องอิ๋นเมื่อพันปีก่อนอีกแล้ว เพราะเหตุใดกัน
เขากล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เพื่อทำตามใจเจ้า เจ้าไม่สนใจเรื่องของมนุษยชาติและอนาคตของนิกายหลวงเลย”
สังฆราชไม่ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ในคืนนั้น เหนียงเหนียงพูดในสุสานเทียนซูว่าข้าถูกคำว่า ‘ผลประโยชน์ของมนุษยชาติ’ กักขังเอาไว้ นั่นถูกต้องแล้ว ในอดีต บางทีข้าอาจนำไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์มาจากเฉินฉางเซิงเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติและอนาคตของนิกายหลวง จากนั้นตามความต้องการของท่าน ข้าจะมอบตำแหน่งว่าที่สังฆราชให้กับหญิงสาวผู้นั้น”
ซางสิงโจวถาม “ทำไมในตอนนี้เจ้าถึงไม่ยอมทำมันแล้ว”
“ก็เป็นเพราะเหตุผลเดียวกัน ข้าแก่แล้ว กำลังจะตาย ข้ามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ก็อยากใช้ให้คุ้ม” สังฆราชประกาศ
เมื่อคนผู้หนึ่งกำลังจะตาย ย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำตามใจตนอยู่บ้าง เขาไม่จำเป็นต้องมองโลกอย่างเห็นใจ สามารถกระทำอย่างอิสระกว่าเดิม ไม่จำเป็นต้องคิดมากเรื่องมนุษยชาติ เขาอาจงสายตาสั้นอยู่บ้าง ไม่จำเป็นต้องคิดถึงอนาคตของนิกายหลวง
เขาคือสังฆราชและนิกายหลวงเป็นของเขา ไม่ใช่ของผู้อื่น หากเขาต้องการให้เฉินฉางเซิงเป็นว่าที่สังฆราชแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นสามารถนั่งเก้าอี้นี้ได้
นี่เป็นเรื่องที่โน้มน้าวใจอย่างยิ่ง
ซางสิงโจวจ้องมองเขาเป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้น “ข้าเลี้ยงเขามา ต่อให้เจ้าต้องการให้เขาเป็นสังฆราช เขาก็ไม่ยอมเป็นหรอก”
สังฆราชตอบ “ข้าจะมอบนิกายหลวงให้กับเขา เขาต้องการหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่เขาต้องคิดเอาเอง”
ซางสิงโจวหลับตาลง จากนั้นก็ลืมขึ้นอีกครั้ง มีแต่ความไม่แยแสอยู่ในดวงตาคู่นั้น “คนตายไม่อาจเป็นสังฆราช”
สังฆราชสีหน้าไม่เปลี่ยน “ท่านอยากจะฆ่าเขาหรือ”
ซางสิงโจวกล่าวอย่างเรียบเฉย “ต่อให้เขาเป็นแค่ลูกสุนัขตัวหนึ่ง เลี้ยงดูมาตั้งหลายปีก็ควรมีความผูกพันอยู่บ้าง ข้าจะลงมือสังหารเขาด้วยตัวเองได้อย่างไร”
สังฆราชกล่าว “ข้าสับสนอยู่ตลอดว่าท่านสั่งสอนอบรมศิษย์อย่างเฉินฉางเซิงขึ้นมาได้อย่างไร ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว เฉินฉางเซิงไม่ได้ถูกท่านสอนขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้ว”
ซางสิงโจวตอบ “ทุกสิ่งของเขาล้วนมาจากข้า แน่นอนว่าข้าเป็นคนสอนเขา”
สังฆราชถามกลับอย่างใจเย็น “หากเขาถูกท่านอบรมสั่งสอนขึ้นมาจริง ท่านไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหนยามเผชิญหน้ากับความตายได้อย่างไรกัน”
ซางสิงโจวหรี่ตาลง
……
……
หอตำราสำนักฝึกหลวง
“เขาเลี้ยงดูข้ามา”
เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “เมื่อข้าพยายามทำความเข้าใจเขา ข้าก็เข้าใจเขาได้เป็นอย่างดี ข้ารู้ว่าเมื่อสามวันก่อนตอนที่ข้านำร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ออกมาจากสุสานเทียนซู เขาก็ต้องการจะทิ้งเรื่องนี้เอาไว้เพื่อสร้างปัญหา ต่อให้อาจารย์อาสังฆราชต้องการปกป้องข้าต่อไป ก็จะมีคนอย่างท่านที่จะใช้เรื่องนี้มาสังหารข้า”
หลินกงกงพยักหน้า “ถูกต้อง หากข้าไม่มาที่สำนักฝึกหลวง คนอื่นก็ต้องมา”
เฉินฉางเซิงตอบ “แต่มีอยู่ปัญหาหนึ่ง”
หลินกงกงเลิกคิ้ว “ปัญหาใด”
เฉินฉางเซิงยกกระบี่ในมือขึ้นและตอบอย่างใจเย็น “ท่านสังหารข้าได้จริงหรือ”
……