คิ้วที่เลิกขึ้นของหลินกงกงลดลงช้าๆ แต่มุมปากยกขึ้น
นี่คือความเศร้าและเย้ยหยันตนเอง แต่สุดท้ายแล้วก็คือเยาะเย้ยเฉินฉางเซิง
หลินกงกงเติบโตขึ้นในวังหลวง มีทั้งพรสวรรค์และความรู้กว้างขวาง เขาบำเพ็ญตนด้วยวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุด สามารถบรรลุถึงจุดสูงสุดขั้นรวบรวมดวงได้ตั้งแต่หลายปีก่อน หากมิใช่เพราะสถานการณ์ในวังอันตรายอย่างมากในช่วงปลายของยุคไท่จง จนเขาต้องตอนตัวเองเข้าสู่วังในช่วงวิกฤตที่สุดของการบำเพ็ญเพียร ทำให้สภาพร่างกายไม่เป็นปกติอีกต่อไป บางทีเขาอาจก้าวเข้าสู่ขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ได้
ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรเพียงไร ต่อให้เขาใช้ของวิเศษทั้งหมด ลูกเล่นทั้งมวลที่ทำให้เขาเกือบสังหารโจวทงได้ในคืนนั้น เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินกงกง
เขาเพิ่งอายุสิบเจ็ดปีเท่านั้น ที่หานซาน เขายังล้มเหลวในการรวบรวมดวงดาวอีกด้วย
ก่อนหน้านี้นอกสำนักฝึกหลวง ซูม่ออวี๋เป็นห่วงความปลอดภัยของเฉินฉางเซิง จึงกันไม่ให้ผู้ติดตามของหลินกงกงเข้ามา บอกว่าคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะประกาศราชโองการ
คำตอบของหลินกงกงก็คือหากเขาต้องการสังหารเฉินฉางเซิง แค่ราชโองการกับตัวเขาก็พอแล้ว
นี่ไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอย หากแต่เป็นความจริง
แต่ตอนนี้เฉินฉางเซิงกลับถามเขาอย่างจริงจังมาก “ท่านสังหารข้าได้จริงหรือ”
รอยยิ้มหลินกงกงจางลง ก่อนกล่าวกับเฉินฉางเซิง “ข้าไปจากจิงตูนานกว่ายี่สิบปี ดูเหมือนว่าผู้เยาว์สมัยนี้จะลืมไปแล้วว่าข้าเป็นใคร”
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไร ใช้การกระทำแสดงเจตนาของตัวเอง
ฝุ่นละอองสองสายลอยขึ้นจากพื้นรองเท้า เป็นเครื่องหมายถึงความแข็งแกร่ง จากนั้น ฝุ่นและเสื้อผ้าก็ฉีกขาดจนรุ่งริ่ง กลายเป็นเส้นสายจำนวนมากมายที่ทอดยาวจากร่างพร่าเลือนของเขาไปทั่วหอตำรา
เขาหายไปจากจุดที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้
รอยเท้าอ่อนจางสิบกว่ารอยปรากฏขึ้นบนพื้นกระดานสีดำมันวาว
รอยเท้าเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่มีก่อนมีหลัง
หากสำรวจตำแหน่งรอยเท้านี้ให้ดี บางทีอาจพบว่าพวกมันเกี่ยวข้องกับตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้าหรือลายเส้นบนแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า
ตำแหน่งดวงดาวที่ซับซ้อนหาใดเปรียบ กลุ่มดาวจำนวนนับไม่ถ้วน ตำแหน่งและลำดับสื่อความหมาย การเคลื่อนที่มีความเร็วอย่างเหนือล้ำ
นี่คือวิชาลับของเผ่ามาร ย่างก้าวหยั่งเทวา
มิติตรงหน้าประตูหอตำราบิดเบี้ยวเล็กน้อย
กระบี่แทงผ่านแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาจากภายนอก
ตามมาด้วยร่างของเฉินฉางเซิง
เขามาถึงตัวหลินกงกงแล้ว
ความเร็วของเขาสูงมาก ให้ความรู้สึกราวกับสายฟ้า
บางทีมันเป็นเพราะเมื่อเขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา เขายังใช้วิชากระบี่สันดาปที่ทรงพลังที่สุดอีกด้วย
ประกายกระบี่ส่องสว่างอยู่ตรงหน้าประตูหอตำรา สะกดแสงแดดเอาไว้
ปราณแผดเผาปกคลุมบริเวณ แผ่ขายออกไปอย่างรวดเร็ว
หญ้าที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปแล้วด้านนอกหอตำราดูหงอยเหงายิ่งขึ้น แผ่นกระดาษหนังสือบนชั้นในหอตำราเริ่มโค้งงอจนมองเห็นได้ราวกับความชื้นทั้งหมดถูกขับไล่ออกไป
เปลวเพลิงแผดเผาบนกระบี่ไร้ราคีเมื่อปักเข้าสู่หว่างคิ้วของหลินกงกง
หลินกงกงตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย ประหลาดใจอยู่บ้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาไม่คาดคิดว่าพลังที่มากับการโจมตีนี้จะน่าเกรงขามถึงเพียงนี้!
ขัดกับข่าวลืออยู่บ้าง อันที่จริงแล้วปริมาณปราณแท้ของเฉินฉางเซิงนั้นมากมายมหาศาล ไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือที่บำเพ็ญเพียรมานานหลายศตวรรษเลย
บางทีอาจเป็นเพราะวิชากระบี่นี้อย่างนั้นหรือ ว่ากันว่าซูหลีได้สอนวิชากระบี่ซึ่งช่วยเพิ่มปราณแท้ขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั้นให้เฉินฉางเซิง ดูท่าคงเป็นวิชานี้เอง
ในขณะที่เขาคิดเรื่องพวกนี้ แขนเสื้อของหลินกงกงก็กระพือขึ้น
แสงดาวที่บริสุทธิ์อย่างมากแผ่ออกมาจากร่างกายเขา ไหลเข้าสู่แขนเสื้อ ราวกับภูเขาหินสองลูกที่ตกลงมาจากสวรรค์ กระบี่ของเฉินฉางเซิงถูกกักเอาไว้ระหว่างแขนเสื้อทั้งสอง!
เผชิญหน้ากับอาวุธในอันดับร้อยศาสตรา กระบี่ไร้ราคีที่คมกล้าหาใดเปรียบ หลินกงกงจึงแบ่งเขตแดนดวงดาวของตนออกเป็นสองส่วน เพื่อใช้เป็นอาวุธ!
การตอบโต้เช่นนี้ทั้งปราดเปรื่องและทรงพลังอย่างยิ่ง!
การต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรมีความสอดคล้องกับปัญญาญาณ เช่นการทำความเข้าใจในการต่อสู้ การปรับเปลี่ยนดัดแปลง และประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นความแข็งแกร่งนั่นเอง
หลินกงกงเป็นยอดฝีมือจุดสูงสุดขั้นรวบรวมดวงดาว เขตแดนดวงดาวของเขาแทบจะสมบูรณ์แบบ ปริมาณปราณแท้มากมายมหาศาล ความเข้าใจในพื้นฐานฟ้าดินเหนือล้ำกว่าเฉินฉางเซิงไปมาก จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นฝ่ายควบคุมการต่อสู้นี้
หรือการต่อสู้จะจบลงเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งหลินกงกงและเฉินฉางเซิงต่างรู้ดีว่ามันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ฝักกระบี่ซ่อนคมยังมีกระบี่ซ่อนอยู่อีกหลายพันเล่ม
ด้วยการคุ้มครองของกระบี่ชั้นเลิศหลายพันเล่ม เฉินฉางเซิงสามารถโจมตีโจวทงจนเลือดโซมกาย ดังนั้นเขาย่อมสามารถต้านทานหลินกงกงเอาไว้ได้ระยะหนึ่ง หลินกงกงเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาจึงไม่คิดจะให้โอกาสเฉินฉางเซิงนำกระบี่พวกนั้นออกมา นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกจะแบ่งเขตแดนดวงดาวออกเป็นสองส่วน แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการกระทำอันรอบคอบ ทว่าความจริงแล้วเป็นเรื่องอันตรายทีเดียว เป็นกลยุทธ์ที่มองคู่ต่อสู้ต่ำไป
แต่ที่หลินกงกงต้องการก็คือ ทำให้แน่ใจว่ามือของเขาจะว่าง
ในตอนนี้แขนเสื้อทั้งสองถูกกักเอาไว้ในเขตแดนดวงดาว ผนึกคมกระบี่ของเฉินฉางเซิงเอาไว้ ในขณะเดียวกันมือของเขาก็ยื่นออกมาจากแขนเสื้อและตกลงไปตรงกลางกระบี่
กระบี่ของเฉินฉางเซิงก่อตัวขึ้นจากกระบี่ไร้ราคีและฝักซ่อนคม จุดที่มือของหลินกงกงตกลงมาก็คือปากฝัก
เมื่อเขากล้าที่จะวางมือลงตรงนั้น หลินกงกงย่อมมีวิธีที่จะรับมือกับกระบี่พวกนั้น บางทีอาจจะได้ทำการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว
ทันใดนั้นดวงตาหลินกงกงก็หรี่ลง เต็มไปด้วยความรู้สึกกังขา เขาหลบหนีอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงโหยหวน
ที่ออกมาจากฝักกระบี่ไม่ใช่กระบี่
แต่เป็นหินสีดำเล็กๆ ก้อนหนึ่ง
……
……
ว่าตามหลักเหตุผล หินก้อนเล็กแค่นี้ย่อมไม่อาจทำให้หลินกงกงรู้สึกว่าพบเจอกับศัตรูที่อันตรายได้ นับประสาอะไรจะทำให้เขาต้องล่าถอยหนีไป
ทว่าหลินกงกงศึกษาวิชาเต๋ามาอย่างรอบคอบและเข้าใจกฎแห่งฟ้าดินจนแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ครั้นเห็นหินสีดำก้อนนี้ เขาก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าโลกมนุษย์จากหินสีดำก้อนนี้
ในเมื่อเหนือกว่าโลกมนุษย์ ย่อมไม่อาจหนีพ้น
นิ้วหลินกงกงกางออกราวกับดอกไม้บาน บดขยี้อากาศในหอตำราและคว้าหินสีดำเอาไว้ในมือ
กรอบ นิ้วมือสามนิ้วแตกเป็นสิบสามส่วน จากนั้นกระดูกข้อมือก็แหลกละเอียด
ตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจว่าความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าโลกมนุษย์นี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์อื่นใดที่เขาไม่ทราบมาก่อน
ความแข็งแกร่งนี้คือน้ำหนัก น้ำหนักที่เหนือจินตนาการ
น้ำหนักที่เหมือนกับฟ้าถล่มลงใส่ร่างหลินกงกง
ใบหน้าขาวซีดผิดปกติ ร่างกายสั่นเทาในขณะที่รอยร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนพื้นใต้เท้าเขา
……
……
หินดำก้อนนี้ก็คือหินแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่หวังจือเช่อทิ้งเอาไว้
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์หนักอย่างยิ่งเสมอมา แต่สาเหตุที่หินดำก้อนนี้หนักนั้นเป็นเพราะมันคือประตู
ประตูสู่สวนโจว
สามวันก่อนในสุสานเทียนซู เฉินฉางเซิงได้เห็นสังฆราชเด็ดใบไม้ครามด้วยตัวเอง ใช้น้ำหนักของโลกใบหนึ่งโจมตีจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
ได้เห็นภาพนั้น เขาจึงเข้าใจบางสิ่ง
หินดำก้อนนี้ไม่ใช่สวนโจวที่แท้จริง เพียงแค่บรรจุไว้ด้วยปราณของสวนโจว เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของสวนโจว อย่างไรก็ตาม หลินกงกงก็ไม่ใช่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเจ้าใช้โลกนี้มาข่มข้า ข้าก็จะใช้โลกของข้าโจมตีเจ้า
สวนโจวมีขนาดใหญ่โตกว่าโลกใบไม้คราม แต่ใบไม้ครามคือโลกทั้งใบ ในขณะที่หินดำก้อนนี้เป็นเพียงประตูสู่โลกเท่านั้น การบำเพ็ญเพียรของเฉินฉางเซิงก็ยังห่างไกลจากสังฆราช
หลินกงกงไม่เคยพบเจอกับการโจมตีที่เหนือจินตนาการเช่นนี้ การตอบสนองจึงสายเกินไปไม่อาจหลบพ้น
หากเขาสามารถทนได้นานอีกหน่อย ย่อมหาวิธีแก้ไขได้
อย่างไรก็ตาม เวลาเพียงแค่นี้ก็มากพอจะทำได้หลายอย่าง
หินดำปรากฏ ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดอย่างบ้าคลั่งรอบหอตำรา แสงตะวันหม่นมัวลง
หลินกงกงเหมือนจะถูกท้องฟ้าพร่างดาวกดทับลงมาและพบว่าตนเองยากจะเคลื่อนไหวได้
กระบี่หลายพันเล่มลอยออกมาจากฝักกระบี่ของเฉินฉางเซิงและพุ่งตรงไปข้างหน้า
ประกายกระบี่กรีดผ่านท้องฟ้าพร่างดาว เฉือนสายลมฤดูใบไม้ร่วง และขโมยแสงจากทิวาวาร
เจตจำนงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนฉวัดเฉวียนผ่านอากาศ เสียงกระบี่มากมายเหลือคณนาดังก้องไม่สิ้นสุด เสียงคำรามอย่างฉุนเฉียวของหลินกงกงดังออกมา พร้อมกับการโจมตีอันรุนแรง
ทันใดนั้น เสียงทั้งหมดในหอตำราก็หายไป เจตจำนงกระบี่หายไปเช่นกัน เหลือเพียงสิ่งเดียวก็คือความเงียบงัน
ตูม! เศษซากจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากหอตำรา กลายเป็นเมฆฝุ่นขนาดใหญ่อยู่ในสำนักฝึกหลวง
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านหอตำรา พัดพาฝุ่นและเศษซากไป ทิ้งไว้เพียงภาพอันกระจ่างเจิดจ้า
ประตูหน้าต่างทั้งหมดของหอตำราหายไป ดูเหมือนมีแต่ความว่างเปล่ายกเว้นเงาร่างสองร่าง
หนึ่งยืน หนึ่งนั่ง
ที่ยืนคือเฉินฉางเซิง ถือกระบี่ในมือ สงบและเงียบงัน
ที่นั่งคือหลินกงกง ปกคลุมไปด้วยเลือด สองขากางอยู่บนพื้น