ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 8 หินก้อนหนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

คิ้วที่เลิกขึ้นของหลินกงกงลดลงช้าๆ แต่มุมปากยกขึ้น

นี่คือความเศร้าและเย้ยหยันตนเอง แต่สุดท้ายแล้วก็คือเยาะเย้ยเฉินฉางเซิง

หลินกงกงเติบโตขึ้นในวังหลวง มีทั้งพรสวรรค์และความรู้กว้างขวาง เขาบำเพ็ญตนด้วยวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุด สามารถบรรลุถึงจุดสูงสุดขั้นรวบรวมดวงได้ตั้งแต่หลายปีก่อน หากมิใช่เพราะสถานการณ์ในวังอันตรายอย่างมากในช่วงปลายของยุคไท่จง จนเขาต้องตอนตัวเองเข้าสู่วังในช่วงวิกฤตที่สุดของการบำเพ็ญเพียร ทำให้สภาพร่างกายไม่เป็นปกติอีกต่อไป บางทีเขาอาจก้าวเข้าสู่ขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ได้

ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรเพียงไร ต่อให้เขาใช้ของวิเศษทั้งหมด ลูกเล่นทั้งมวลที่ทำให้เขาเกือบสังหารโจวทงได้ในคืนนั้น เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินกงกง

เขาเพิ่งอายุสิบเจ็ดปีเท่านั้น ที่หานซาน เขายังล้มเหลวในการรวบรวมดวงดาวอีกด้วย

ก่อนหน้านี้นอกสำนักฝึกหลวง ซูม่ออวี๋เป็นห่วงความปลอดภัยของเฉินฉางเซิง จึงกันไม่ให้ผู้ติดตามของหลินกงกงเข้ามา บอกว่าคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะประกาศราชโองการ

คำตอบของหลินกงกงก็คือหากเขาต้องการสังหารเฉินฉางเซิง แค่ราชโองการกับตัวเขาก็พอแล้ว

นี่ไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอย หากแต่เป็นความจริง

แต่ตอนนี้เฉินฉางเซิงกลับถามเขาอย่างจริงจังมาก “ท่านสังหารข้าได้จริงหรือ”

รอยยิ้มหลินกงกงจางลง ก่อนกล่าวกับเฉินฉางเซิง “ข้าไปจากจิงตูนานกว่ายี่สิบปี ดูเหมือนว่าผู้เยาว์สมัยนี้จะลืมไปแล้วว่าข้าเป็นใคร”

เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไร ใช้การกระทำแสดงเจตนาของตัวเอง

ฝุ่นละอองสองสายลอยขึ้นจากพื้นรองเท้า เป็นเครื่องหมายถึงความแข็งแกร่ง จากนั้น ฝุ่นและเสื้อผ้าก็ฉีกขาดจนรุ่งริ่ง กลายเป็นเส้นสายจำนวนมากมายที่ทอดยาวจากร่างพร่าเลือนของเขาไปทั่วหอตำรา

เขาหายไปจากจุดที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้

รอยเท้าอ่อนจางสิบกว่ารอยปรากฏขึ้นบนพื้นกระดานสีดำมันวาว

รอยเท้าเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่มีก่อนมีหลัง

หากสำรวจตำแหน่งรอยเท้านี้ให้ดี บางทีอาจพบว่าพวกมันเกี่ยวข้องกับตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้าหรือลายเส้นบนแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า

ตำแหน่งดวงดาวที่ซับซ้อนหาใดเปรียบ กลุ่มดาวจำนวนนับไม่ถ้วน ตำแหน่งและลำดับสื่อความหมาย การเคลื่อนที่มีความเร็วอย่างเหนือล้ำ

นี่คือวิชาลับของเผ่ามาร ย่างก้าวหยั่งเทวา

มิติตรงหน้าประตูหอตำราบิดเบี้ยวเล็กน้อย

กระบี่แทงผ่านแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาจากภายนอก

ตามมาด้วยร่างของเฉินฉางเซิง

เขามาถึงตัวหลินกงกงแล้ว

ความเร็วของเขาสูงมาก ให้ความรู้สึกราวกับสายฟ้า

บางทีมันเป็นเพราะเมื่อเขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา เขายังใช้วิชากระบี่สันดาปที่ทรงพลังที่สุดอีกด้วย

ประกายกระบี่ส่องสว่างอยู่ตรงหน้าประตูหอตำรา สะกดแสงแดดเอาไว้

ปราณแผดเผาปกคลุมบริเวณ แผ่ขายออกไปอย่างรวดเร็ว

หญ้าที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปแล้วด้านนอกหอตำราดูหงอยเหงายิ่งขึ้น แผ่นกระดาษหนังสือบนชั้นในหอตำราเริ่มโค้งงอจนมองเห็นได้ราวกับความชื้นทั้งหมดถูกขับไล่ออกไป

เปลวเพลิงแผดเผาบนกระบี่ไร้ราคีเมื่อปักเข้าสู่หว่างคิ้วของหลินกงกง

หลินกงกงตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย ประหลาดใจอยู่บ้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เขาไม่คาดคิดว่าพลังที่มากับการโจมตีนี้จะน่าเกรงขามถึงเพียงนี้!

ขัดกับข่าวลืออยู่บ้าง อันที่จริงแล้วปริมาณปราณแท้ของเฉินฉางเซิงนั้นมากมายมหาศาล ไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือที่บำเพ็ญเพียรมานานหลายศตวรรษเลย

บางทีอาจเป็นเพราะวิชากระบี่นี้อย่างนั้นหรือ ว่ากันว่าซูหลีได้สอนวิชากระบี่ซึ่งช่วยเพิ่มปราณแท้ขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั้นให้เฉินฉางเซิง ดูท่าคงเป็นวิชานี้เอง

ในขณะที่เขาคิดเรื่องพวกนี้ แขนเสื้อของหลินกงกงก็กระพือขึ้น

แสงดาวที่บริสุทธิ์อย่างมากแผ่ออกมาจากร่างกายเขา ไหลเข้าสู่แขนเสื้อ ราวกับภูเขาหินสองลูกที่ตกลงมาจากสวรรค์ กระบี่ของเฉินฉางเซิงถูกกักเอาไว้ระหว่างแขนเสื้อทั้งสอง!

เผชิญหน้ากับอาวุธในอันดับร้อยศาสตรา กระบี่ไร้ราคีที่คมกล้าหาใดเปรียบ หลินกงกงจึงแบ่งเขตแดนดวงดาวของตนออกเป็นสองส่วน เพื่อใช้เป็นอาวุธ!

การตอบโต้เช่นนี้ทั้งปราดเปรื่องและทรงพลังอย่างยิ่ง!

การต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรมีความสอดคล้องกับปัญญาญาณ เช่นการทำความเข้าใจในการต่อสู้ การปรับเปลี่ยนดัดแปลง และประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นความแข็งแกร่งนั่นเอง

หลินกงกงเป็นยอดฝีมือจุดสูงสุดขั้นรวบรวมดวงดาว เขตแดนดวงดาวของเขาแทบจะสมบูรณ์แบบ ปริมาณปราณแท้มากมายมหาศาล ความเข้าใจในพื้นฐานฟ้าดินเหนือล้ำกว่าเฉินฉางเซิงไปมาก จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นฝ่ายควบคุมการต่อสู้นี้

หรือการต่อสู้จะจบลงเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งหลินกงกงและเฉินฉางเซิงต่างรู้ดีว่ามันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ฝักกระบี่ซ่อนคมยังมีกระบี่ซ่อนอยู่อีกหลายพันเล่ม

ด้วยการคุ้มครองของกระบี่ชั้นเลิศหลายพันเล่ม เฉินฉางเซิงสามารถโจมตีโจวทงจนเลือดโซมกาย ดังนั้นเขาย่อมสามารถต้านทานหลินกงกงเอาไว้ได้ระยะหนึ่ง หลินกงกงเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาจึงไม่คิดจะให้โอกาสเฉินฉางเซิงนำกระบี่พวกนั้นออกมา นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกจะแบ่งเขตแดนดวงดาวออกเป็นสองส่วน แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการกระทำอันรอบคอบ ทว่าความจริงแล้วเป็นเรื่องอันตรายทีเดียว เป็นกลยุทธ์ที่มองคู่ต่อสู้ต่ำไป

แต่ที่หลินกงกงต้องการก็คือ ทำให้แน่ใจว่ามือของเขาจะว่าง

ในตอนนี้แขนเสื้อทั้งสองถูกกักเอาไว้ในเขตแดนดวงดาว ผนึกคมกระบี่ของเฉินฉางเซิงเอาไว้ ในขณะเดียวกันมือของเขาก็ยื่นออกมาจากแขนเสื้อและตกลงไปตรงกลางกระบี่

กระบี่ของเฉินฉางเซิงก่อตัวขึ้นจากกระบี่ไร้ราคีและฝักซ่อนคม จุดที่มือของหลินกงกงตกลงมาก็คือปากฝัก

เมื่อเขากล้าที่จะวางมือลงตรงนั้น หลินกงกงย่อมมีวิธีที่จะรับมือกับกระบี่พวกนั้น บางทีอาจจะได้ทำการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว

ทันใดนั้นดวงตาหลินกงกงก็หรี่ลง เต็มไปด้วยความรู้สึกกังขา เขาหลบหนีอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงโหยหวน

ที่ออกมาจากฝักกระบี่ไม่ใช่กระบี่

แต่เป็นหินสีดำเล็กๆ ก้อนหนึ่ง

……

……

ว่าตามหลักเหตุผล หินก้อนเล็กแค่นี้ย่อมไม่อาจทำให้หลินกงกงรู้สึกว่าพบเจอกับศัตรูที่อันตรายได้ นับประสาอะไรจะทำให้เขาต้องล่าถอยหนีไป

ทว่าหลินกงกงศึกษาวิชาเต๋ามาอย่างรอบคอบและเข้าใจกฎแห่งฟ้าดินจนแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ครั้นเห็นหินสีดำก้อนนี้ เขาก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าโลกมนุษย์จากหินสีดำก้อนนี้

ในเมื่อเหนือกว่าโลกมนุษย์ ย่อมไม่อาจหนีพ้น

นิ้วหลินกงกงกางออกราวกับดอกไม้บาน บดขยี้อากาศในหอตำราและคว้าหินสีดำเอาไว้ในมือ

กรอบ นิ้วมือสามนิ้วแตกเป็นสิบสามส่วน จากนั้นกระดูกข้อมือก็แหลกละเอียด

ตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจว่าความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าโลกมนุษย์นี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์อื่นใดที่เขาไม่ทราบมาก่อน

ความแข็งแกร่งนี้คือน้ำหนัก น้ำหนักที่เหนือจินตนาการ

น้ำหนักที่เหมือนกับฟ้าถล่มลงใส่ร่างหลินกงกง

ใบหน้าขาวซีดผิดปกติ ร่างกายสั่นเทาในขณะที่รอยร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนพื้นใต้เท้าเขา

……

……

หินดำก้อนนี้ก็คือหินแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่หวังจือเช่อทิ้งเอาไว้

แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์หนักอย่างยิ่งเสมอมา แต่สาเหตุที่หินดำก้อนนี้หนักนั้นเป็นเพราะมันคือประตู

ประตูสู่สวนโจว

สามวันก่อนในสุสานเทียนซู เฉินฉางเซิงได้เห็นสังฆราชเด็ดใบไม้ครามด้วยตัวเอง ใช้น้ำหนักของโลกใบหนึ่งโจมตีจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

ได้เห็นภาพนั้น เขาจึงเข้าใจบางสิ่ง

หินดำก้อนนี้ไม่ใช่สวนโจวที่แท้จริง เพียงแค่บรรจุไว้ด้วยปราณของสวนโจว เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของสวนโจว อย่างไรก็ตาม หลินกงกงก็ไม่ใช่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

เมื่อเจ้าใช้โลกนี้มาข่มข้า ข้าก็จะใช้โลกของข้าโจมตีเจ้า

สวนโจวมีขนาดใหญ่โตกว่าโลกใบไม้คราม แต่ใบไม้ครามคือโลกทั้งใบ ในขณะที่หินดำก้อนนี้เป็นเพียงประตูสู่โลกเท่านั้น การบำเพ็ญเพียรของเฉินฉางเซิงก็ยังห่างไกลจากสังฆราช

หลินกงกงไม่เคยพบเจอกับการโจมตีที่เหนือจินตนาการเช่นนี้ การตอบสนองจึงสายเกินไปไม่อาจหลบพ้น

หากเขาสามารถทนได้นานอีกหน่อย ย่อมหาวิธีแก้ไขได้

อย่างไรก็ตาม เวลาเพียงแค่นี้ก็มากพอจะทำได้หลายอย่าง

หินดำปรากฏ ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดอย่างบ้าคลั่งรอบหอตำรา แสงตะวันหม่นมัวลง

หลินกงกงเหมือนจะถูกท้องฟ้าพร่างดาวกดทับลงมาและพบว่าตนเองยากจะเคลื่อนไหวได้

กระบี่หลายพันเล่มลอยออกมาจากฝักกระบี่ของเฉินฉางเซิงและพุ่งตรงไปข้างหน้า

ประกายกระบี่กรีดผ่านท้องฟ้าพร่างดาว เฉือนสายลมฤดูใบไม้ร่วง และขโมยแสงจากทิวาวาร

เจตจำนงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนฉวัดเฉวียนผ่านอากาศ เสียงกระบี่มากมายเหลือคณนาดังก้องไม่สิ้นสุด เสียงคำรามอย่างฉุนเฉียวของหลินกงกงดังออกมา พร้อมกับการโจมตีอันรุนแรง

ทันใดนั้น เสียงทั้งหมดในหอตำราก็หายไป เจตจำนงกระบี่หายไปเช่นกัน เหลือเพียงสิ่งเดียวก็คือความเงียบงัน

ตูม! เศษซากจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากหอตำรา กลายเป็นเมฆฝุ่นขนาดใหญ่อยู่ในสำนักฝึกหลวง

สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านหอตำรา พัดพาฝุ่นและเศษซากไป ทิ้งไว้เพียงภาพอันกระจ่างเจิดจ้า

ประตูหน้าต่างทั้งหมดของหอตำราหายไป ดูเหมือนมีแต่ความว่างเปล่ายกเว้นเงาร่างสองร่าง

หนึ่งยืน หนึ่งนั่ง

ที่ยืนคือเฉินฉางเซิง ถือกระบี่ในมือ สงบและเงียบงัน

ที่นั่งคือหลินกงกง ปกคลุมไปด้วยเลือด สองขากางอยู่บนพื้น