GGS:บทที่ 1111 เยี่ยมเยือนปักกิ่ง

ด้วยเหตุการณ์ที่อเมริกาทั้งกดดันทั้งกีดกันกลุ่มทุนห้วงเวลาอย่างหนักแต่สุดท้ายก็ยกเลิกไปทั้งหมดอย่างเหมือนจะไม่เต็มใจได้ทำให้ประชาคมโลกต่างก็สนใจและพูดทั้งกันแทบจะทั่วทุกโลกและไม่ได้มีท่าทีจะละความสนใจนี้กันอย่างง่ายๆแต่อย่างใด
ไม่เพียงแต่ชาวเน็ตที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก แม้แต่รัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละประเทศเองก็หยิบยกเรื่องนี้มาพูดเคราะห์และวิเคราะหฺกันอย่างจริงจัง
เรียกได้ว่าเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ใหญ่ของโลกนี้เลยก็ว่าได้
เช่นเดียวกับหวังจ้าวและเฉิงหนานเองก็เช่นกัน ในฐานะทีมผู้บริหารของกลุ่มทุนห้วงเวลาและอวกาศ ก่อนหน้านี้ทั้งสองกังวลอยากหนักจนเตรียมแผนการที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดต่อไปได้อย่างการเชิญพนักงานโดยสวัสดิภาพ หรือแม้กระทั่งการกู้เงินจากธนาคาร

แต่ในตอนนี้ทั้งสองนั้นไม่ได้มีท่าทีกังวลอีกต่อไปนั่นก็เพราะในตอนนี้ไม่เพียงอเมริกาจะยกเลิกการกีดกันทางการค้าหรือการใส่ความแบบสุ่มๆไปแล้ว รัฐบาลจีนได้กลับมาสนับสนุนกลุ่มทุนห้วงเวลาฯให้กลายเป็นแนวหน้าของประเทศอีกครั้ง นี่เรียกได้ว่าฟ้าหลังฝนเลยก็ว่าได้
แต่เดิมนั้น กลุ่มทุนห้วงเวลาฯก็มีการเติบโตที่ดีเยี่ยมอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าการที่อยู่ๆอเมริกามากีดกันทางการค้าก่อนหน้านี้จะทำให้การเติบโตของบริษัทลดน้อยถอยลงไป แต่เมื่อไม่การกีดกันแบบนั้นอีก แถมยังทำสัญญาด้วยซ้ำแบบนี้ แน่นอนว่าอัตราการเติบโตนี้ต้องพุ่งขึ้นประดุจดั่งดาวหางเลยทีเดียว

หลังจากที่ได้เห็นกลุ่มทุนห้วงเวลาฯพัฒนาขึ้นราวกลับดาวหางแบบนี้ทำให้เหล่าผู้คนที่เคยคิดจะล้วงความลับข้อมูลจากกลุ่มทุนห้วงเวลาฯแต่พลาดไปนั้นต่างก็ตั้งบังคับตัวเองให้กล้าจะลองอีกครั้ง
พวกเขายินดีที่จะรับแรงกดดันอันมหาศาลแม้แต่จะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับอเมริกาก็ตาม อย่างที่เขาว่าอยากได้ลูกเสือไม่เข้าถ้ำเสือจะไปหามาจากไหนกัน
ถึงแม้ว่าอเมริกาจะโชคร้ายถึงขนาดโดนกองกำลังปริศนากวาดล้างแบบนั้น แต่พวกเขาต่างก็เบื่อว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาไม่มีทางดีซ้ำซ้อนบ่อยครั้งได้ขนาดนั้นอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะให้ประชาชนชาวจีนมีความสุขอย่างมากที่ได้เห็นอเมริกาฉิบหายวายป่วงและได้เห็นว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาแข็งแกร่งมากที่ผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาได้ แถมนี่จะทำให้ประเทศแม่ของพวกเขาเข้มแข็งขึ้นมากมายก็จริง แต่แน่นอนว่านี่ย่อมนำมาถึงภัยอันตรายที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ในวันนนี้หวังจ้าวได้มาหาซูจิ้งที่บ้านอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้มาในระหว่างเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

ที่เขามาในครั้งนี้เป็นเพราะช่วงนี้บริษัทได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้เขาตื่นเต้นและไม่อยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ซูจิ้งฟังผ่านทางโทรศัพท์ เขาอยากจะมาคุยกันต่อหน้ามากกว่า เพราะเขาเองก็อยากเห็นหน้าซูจิ้งเพราะไม่ได้เห็นมาตั้งแต่เริ่มเกิดเรื่องอเมริกานี้แล้ว
อย่างไรก็ตามหลังจากต้ามู่และเสี่ยวมู่เห็นหวังจ้าวแล้วบินเข้าไปแจ้งข่าวนั้น คนที่ออกมารับกลับไม่ใช่ซูจิ้งอย่างที่เขาคิดเอาไว้ คนที่ออกมาก็คือฉือชิง
“อ้าวพี่หวัง เข้ามาข้างในก่อนค่ะ” ฉือชิงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มมิตรไมตรี
“หืม….อาจิ้งไม่อยู่บ้านเหรอ” หวังจ้าวถามออกมา
“ไม่อยู่ค่ะ แต่เข้าบอกอยู่นะว่าจะกลับมาวันนี้” ฉือชิงพูดออกมา
“ห้ะ ไอ้เด็กนี่ก็เหลือเกินเลยจริงๆ เกิดเรื่องราวขนาดนี้แล้วยังมีหน้าไปไหนมาไหนได้อีก ต่อให้มีอะไรสำคัญก็จริงแต่ก็ไม่ควรจะมากไปกว่าเรื่องความขัดแย้งของพวกเรากับอเมริกาไม่ใช่รึไง อ่ะต่อให้ไปด้วยเรื่องธุรกิจแต่ก็ควรจะไปหลังจากจบเรื่องนี่นา” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปทำอะไรกันแน่” ฉือชิงพูดออกมาด้วยท่าทางจนปัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอเองแม้ว่าซูจิ้งจะโทรหาทุกวันแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงอยู่ดี
“…..งั้นพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเขาไม่อยู่พี่ก็คุยธุระกับเขาไม่ได้อยู่ดี เอาเป็นว่าตอนอาจิ้งกลับมาให้เขาโทรหาพี่ด้วยนะ” หวังจ้าวพูดออกมา ก็ในเมื่อซูจิ้งไม่อยู่ในตอนนี้เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเข้าไปในบ้านอยู่แล้วและเตรียมที่จะขึ้นรถและจากออกไป
ในตอนนั้นเองที่รถกาลเวลา001สีแดงสดได้วิ่งเข้ามาโดยสังเกตเห็นได้แต่ไกล หวังจ้าวและฉือชิงที่เห็นเองก็อดจะจ้องมองด้วยสายตากระจ่างใสไม่ได้
นั่นก็เพราะว่าจะมีสักกี่คนในตอนนี้ที่ได้ครอบครองรถกาลเวลา001นี้ได้ โดยเฉพาะกับคันที่วิ่งมาทางพวกเขานี้แล้ว แน่นอนว่าเป็นซูจิ้งอย่างแน่นอน
ทั้งฉือชิงและหวังจ้าวจับจ้องไปที่ที่นั่งคนขับอย่างไม่วางตา เมื่อรถเข้ามาจอดเทียบหน้าประตู กระจกรถก็ได้เลื่อนเปิดออกพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มของซูจิ้งที่พูดออกมาว่า “ลูกพี่จ้าว ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”

“นายเนี่ยน้า…ทำให้ฉันเป็นห่วงจนมาหลายร้อยครั้งแล้วนะเนี่ย” หวังจ้าวพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ฉันพึ่งจะพูดถึงนายเมื่อกี้เองนะ ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดฉันคงกลับไปแล้ว”
“ห้ะ แล้วจะมาทำไมกันบ่อยๆล่ะนั่น ในเมื่อตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นแล้วก็ควรจะไปพักผ่อนไม่ใช่รึไงกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนว่าฉันนั้นอยากจะพักผ่อนเลยคิดว่าจะจัดงานเลี้ยงบริษัททุกภาคส่วนในค่ำคืนนี้ แต่เอ็งนั่นแหล่ะหายหัวไปนานข่าวคราวก็ไม่บอกเลยไม่ได้จัดกันสักที

ว่าแต่ช่วงที่ผ่านมานี้นายหายไปไหนมาเนี่ย อะไรที่มันสำคัญไปกว่าความขัดแย้งของพวกเรากับอเมริกากัน” หวังจ้าวพูดตรงประเด็นในทันทีเพราะเขานั้นไม่ได้คิดว่าเรื่องราวต่างๆที่ทำให้บริษัทรอดวิกฤตการนี้มาได้นั้นเป็นเพราะซูจิ้งเลยสักนิด
“ถ้าจะให้เล่าเรื่องมันน่ะ อีกอย่างฉันขี้เกียจจะลื้อฟื้นพวกมันหลังจากจบเรื่องไปแล้ว ตอนนี้เอาเป็นเข้าไปในบ้านกันก่อนแล้วก็นั่งดื่มฉลองไปก่อนดีกว่า” ซูจิ้งหัวเราะออกมาพร้อมตัดบทเพราะขี้เกียจตอบคำถามซึ่งต้องมีแน่ๆถ้าหากเขาเล่าในทันที
“ฉันว่านายเก็บไวน์ของนายไปดื่มกันคืนนี้ดีกว่านะ” หวังจ้าวพูดออกมา
“ไม่เป็นไรน่า ก็คิดซะว่าเป็นการซ้อมดื่มก่อนดื่มจริงในงานก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างจนทำให้หวังจ้าวไม่อาจจะฝืนยื้อได้อีกต่อไป
ฉือชิงเองที่ได้เห็นซูจิ้งกลับพร้อมรอยยิ้มก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางมีความสุขออกมาแน่นอนว่าเธอเองก็ได้ดื่มด้วยถึงแม้จะนิดหน่อยก็ตาม
เย็นวันนั้น ซูจิ้งจึงได้พาฉือชิงและหวังจ้าวไปยังงานเลี้ยงของบริษัท บรรยากาศในงานนั้นมีชีวิตชีวาอย่างที่สุด นั่นก็เพราะเหล่าพนักงานเองก็ต้องรับแรงกดดันจากอเมริกาแทบจะไม่ต่างจากบริษัทเลยแม้แต่น้อย เพราะยังไงซะบริษัทของซูจิ้งก็ไม่ได้ต่างจากบ้านอันแสนดีของพวกเขา

ถึงแม้ว่าจากสายตาของทุกคนในตอนนี้ซูจิ้งและบริษัทกลุ่มทุนห้วงเวลาฯจะมีอนาคตที่สดใสจนเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด
แต่กับซูจิ้งแล้ว เขานั้นรู้ดีว่าที่เรื่องราวออกมาเป็นแบบนี้ได้เป็นเพราะในครั้งนี้เขานั้นแก้ทางได้ แน่นอนว่าเรื่องราวแบบนี้ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นอีกได้ในอนาคต หากเขานั้นเตรียมตัวไม่ดีพอย่อมล่มสลายได้ทุกเมื่อ
หากว่าเขานั้นไม่ได้ใส่ใจอย่างดีพอ ไม่เพียงผลกระทบที่เกิดขึ้นจะขยายเป็นวงกว้างแล้ว หากว่ามีเรื่องทำนองนี้จนทำให้เกิดสงครามโลกหรือแม้แต่สงครามนิวเคลียจนทำให้โลกล่มสลายแล้ว นั่นหมายความว่า ค่าการใช้ประโยชน์คงจะติดลบจนไม่เพิ่มอีกต่อไป และสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯจะไม่สามารถยกระดับได้อย่างแน่นอน

ด้วยความรู้สึกกังวลจากยอดที่จะเกินต้านทานนี้ทำให้ซูจิ้งตั้งเป้าหมายไว้ว่าเขานั้นจะเป็นผู้ปกป้องโลกนี้ให้จนได้ วันต่อมา ซูจิ้งได้นำขยะห้วงเวลาฯบางส่วนตรงไปยังเมืองหลวง
ไม่นานมานี้ซูจิ้งได้ซื้อเครื่องบินเอาไว้ แน่นอนว่านี่คือเครื่องยินเจ็ทที่เร็วและสบายกว่าเครื่องบินทั่วไปมากนัก
“คุณซูครับ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ได้ยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้วได้ทำการกล่าวทักทายในทันทีที่เห็นอย่างเคารพแบบสุดๆ ชายคนนี้อยู่ในชุดเครื่องแบบทหาร
“สวัสดี” ซูจิ้งพยักหน้ารับคำทักทาย
ในตอนนี้ ทั้งเจ้าหน้าที่ของเครื่องบินและเจ้าหน้าที่ของสนามบินที่เห็นฉากนี้ต่างก็ตกใจกันถ้วนหน้า นั่นก็เพราะพวกเขานั้นจดจำหนึ่งในสองของคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้เป็นอย่างดี ชายคนนี้อยู่ในระดับผู้การเลยทีเดียว
นี่ทำให้พวกเขาต่างก็อดจะนึกสงสัยว่าจริงๆแล้วซูจิ้งนั้นใหญ่ระดับไหนกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นคือดูจากท่าทางและน้ำเสียงแล้ว หากซูจิ้งยินดีที่จะให้ชายคนนี้แบกขึ้นหลังพาไปจากที่นี่เขาก็ยินดีโดยไม่ต้องเอ่ยถามเสียด้วยซ้ำ

ทุกคนนั้นต่างก็เคยได้ยินมาว่าซูจิ้งนั้นมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อเห็นฉากนี้แล้วอย่าเรียกว่าธรรมดาเลย เรียกว่าปกคลุมฟ้าดินจะเพียงพอรึเปล่าก็ไม่รู้
ชายทั้งสองคนได้ขับรถพาซูจิ้งไปยังสถาบันวิจัยอาวุธ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สถาบันวิจัยทั่วไปแต่เป็นสถาบันวิจัยที่มีชั้นความลับขั้นสุดยอด คนทั่วไปนั้นอย่าว่าแต่จะได้เข้าไปเลย แค่รู้จักชื่อก็เพียงพอที่จะทำให้คนๆนั้นโดนอุ้มได้แล้วด้วยซ้ำ
ทันทีที่ทั้งสามได้ลงจากรถ ชายหน้าจีนแท้คนหนึ่งที่ดูอายุราวๆสี่สิบถึงห้าสิบปีในเครื่องแบบทหารก็ออกมาต้อนรับด้วยท่าทีเคารพ นอบน้อม และภักดี
หากใครมาเห็นฉากนี้แน่นอนว่าต้องตกใจอย่างที่สุดแน่นอน ทุกๆคนในที่นี้ที่เห็นฉากนี้ต่างก็มีท่าทีมึนตึงพร้อมสายตาประหลาดใจ ต่อให้พวกเขานั้นไม่ได้รับรู้ต่อสิ่งใดในโลกแต่แค่เห็นเครื่องแบบนี้ก็ต้องรู้ว่าชายคนนี้มีความสำคัญกับประเทศชาติขนาดไหน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่เขากลับออกมารับซูจิ้งที่อายุน้อยกว่า ด้วยท่าทีนอบน้อมแบบนี้นี่มัน….
“แค้กๆ อะแฮ่มมม” ซูจิ้งได้แสดงอาการไอออกมาอย่างลุกลี้ลุกลนในทันทีก่อนที่จะพูดออกมาว่า “สวัสดีครับท่านผู้บริหารโจว”
ชายหน้าจีนคนนี้เมื่อเห็นแล้วก็มีท่าทีอึ้งๆนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเก็บความรู้สึกต่างๆเอาไว้และแสดงออกมาเพียงท่าทีสุขุมและพูดออกมาว่า “อะแฮ่ม…สวัสดีคุณซู ผมได้ยินชื่อเสียงคุณมามากมายหลายครั้งแล้วจนอยากจะเจอมาตั้งนาน ในที่สุดก็ได้พบกับสักทีนี่เลยทำให้ผมประหม่าไปหน่อย”