ตอนที่ 964 ผลสงครามอันยอดเยี่ยม

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 964 ผลสงครามอันยอดเยี่ยม

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าฮูหยินทั้งสามของตนได้เริ่มทำการค้าอสังหาริมทรัพย์ขึ้นเป็นคราแรกในประวัติศาสตร์ต้าเซี่ย บริษัทนี้มีชื่อเรียกแสนสง่างามว่า…

บริษัทอสังหาริมทรัพย์ซีซานต้าเซี่ย !

บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรและผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาคือไป๋ยู่เหลียน

“…กระหม่อมมิรู้สึกว่ายุทธนาวีในครานี้พวกเรารบชนะ กระหม่อมรู้สึกล้มเหลวมากยิ่งนัก นี่คือปัญหาของกระหม่อมเองและเนื้อหาการอบรมของกองทัพเรือเหล่านี้จำต้องปรับปรุงแก้ไขพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนกลับรู้สึกมีความสุขมากยิ่งนัก บัดนี้เขามิมีเวลาสนทนากับไป๋ยู่เหลียนในเรื่องของปัญหาการฝึกอบรม ทว่าเขาให้ความสนใจต่อสมบัติบนเรือสินค้าทั้งสิบสองลำนั้นมากกว่า

เพราะเขาต้องการเงิน !

ขอบเขตการใช้เงินช่างกว้างไกลมากยิ่งนัก เมื่อนโยบายเหล่านี้ถูกนำไปใช้ งบประมาณที่กรมคลังประเมินไว้สูงถึง 300 ล้านตำลึง !

ธนบัตรจะพิมพ์ออกมาสุ่มสี่สุ่มห้ามิได้ ดังนั้นต้องทำให้สกุลเงินที่นำมาจับจ่ายใช้สอยสอดคล้องกับตัวเลขบนธนบัตร

เพื่อเพิ่มความสมดุลในเงินตรา ทองคำจึงถูกนำมาใช้รับประกันมูลค่าของเงิน

เมื่อนำทรัพย์สมบัติที่ชิงมาได้เข้าสู่ตลาดก็จะสามารถแลกเป็นเงินจำนวนมากกลับมาได้ เงินเหล่านี้นับว่าเป็นเงินของแคว้น จึงสามารถนำไปลงทุนในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและการดำรงชีพของราษฎรได้

ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถรับประกันความเสถียรของเงินตราได้

แววตาที่เขาจ้องมองไปยังไป๋ยู่เหลียนในขณะนี้ เป็นประกายแวววาว เขารู้สึกว่าเดิมทีไป๋ยู่เหลียนก็มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลามิเป็นสองรองผู้ใดอยู่แล้ว บัดนี้มีหนวดเคราขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เขาจึงดูสง่างามมากยิ่งขึ้น !

“เสี่ยวไป๋… สมบัติเหล่านั้นเมื่อใดจะทำการขนส่งมาถึง ? ”

ไป๋ยู่เหลียนชะงักงันทันใด ข้ากำลังสนทนากับท่านเรื่องการทำยุทธนาวีอย่างจริงจังอยู่ เหตุใดท่านถึงเอ่ยเรื่องสมบัติขึ้นมาเล่า ?

“ทูลฝ่าบาท มันมีมากมายเหลือเกิน จำต้องค่อย ๆ ทยอยลำเลียงกลับมา ในวันพรุ่งนี้คาดว่าสมบัติส่วนแรกน่าจะลำเลียงมาถึงพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเชลยที่เจ้าเอ่ยถึงเล่า ? ”

“คาดว่าจะมาพร้อมสมบัติในรอบแรกพ่ะย่ะค่ะ”

“ดี ๆ ๆ… ! ” ฟู่เสี่ยวกวนรินชาให้ไป๋ยู่เหลียน จากนั้นก็นำมือทั้งสองข้างถูไถกันไปมาด้วยความตื่นเต้น “หากมีสิ่งของเหล่านั้น ข้าคงสร้างท่าเรือราชนาวีได้ทั้งสองแห่ง มิว่าจะเป็นที่เซินกังหรือซื่อไห่ ! ”

“อ้อ…จริงสิ ! อู่ต่อเรือเจียงเฉิงสร้างเรือรบอู่เว้ยได้อีก 2 ลำ เรือรบทั้งสามลำที่กลับมาก็จงนำไปซ่อมบำรุงเสีย รอให้ทุกสิ่งทุกอย่างซ่อมแซมเสร็จแล้ว ข้าจะออกไปพร้อมกับเจ้า พวกเราต้องยึดท่าเรือเซี่ยเย๋มาให้ได้”

“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จะมีท่าเรือราชนาวีถึง 3 แห่งและกองทัพเรือทั้งสามก็สามารถต่อเรือรบขึ้นในเวลาเดียวกันได้ คงรวดเร็วขึ้นมิน้อย ข้าได้เขียนจดหมายถึงฝานเทียนหนิงแล้วหนึ่งฉบับ เพราะที่แคว้นฝานมีช่างต่อเรือจำนวนมาก ข้าได้สั่งให้เขาประกาศหาช่างต่อเรือจำนวนหลายพันคนแล้ว”

ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้า แต่ในสมองหาได้มีทรัพย์สมบัติเงินทองอยู่ในความคิดไม่ เขาคิดเพียงแค่เรื่องของยุทธนาวีเท่านั้น

“ฝ่าบาท ศัตรูในครานี้มีความสามารถในการโจมตีทางทะเลมากยิ่งนัก น่าเสียดายที่กระหม่อมฟังภาษาของพวกเขามิเข้าใจ กระหม่อมมีความคิดว่าจะให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่แล้วสอนให้พวกเขาเรียนรู้ภาษาของพวกเรา หลังจากที่พวกเขาเรียนรู้ภาษาของพวกเราได้แล้ว ก็ให้พวกเขาเผยแพร่ทักษะการต่อสู้ทางทะเลออกมาพ่ะย่ะค่ะ”

เรื่องนี้มิเลว…หากอีกฝ่ายสามารถสนทนาเป็นภาษาอังกฤษได้ เรื่องนี้คงง่ายขึ้นมากโข

“ด้านของกองทัพเรือจำเป็นต้องรับสมัครให้มากขึ้น ต่อจากนี้ศัตรูของพวกเราโดยมากจะมาจากทางทะเล รอให้ข้าล่วงรู้แผนที่การเดินเรือของพวกมันเสียก่อน รอให้กองทัพเรือของพวกเราแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ พวกเราจะทำการโจมตีพวกมันเอง ! ”

“กระหม่อมต่างหากที่จะโจมตี ! ”

“มิใช่…พวกเราต่างหากเล่า ! ”

“…บัดนี้พระองค์เป็นถึงจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ! ”

“แล้วแตกต่างกันเยี่ยงไรเล่า ? เอาเถิด…อย่ามัวเอ่ยถึงเรื่องนี้อยู่เลย บัดนี้ยังมีเวลาอีกมากโข ท่าเรือราชนาวีทั้งสามแห่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปีหน้า รอจนกว่าเรือรบจะสร้างเสร็จก็คาดว่าต้องใช้เวลาอีก 2 ปี… เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด แล้วคืนพรุ่งนี้ข้าจะไปดื่มสุราที่จวนของเจ้า”

……

……

ข่าวเกี่ยวกับกองทัพศัตรูเข้ามายังน่านน้ำประเทศต้าเซี่ยครานี้ ฟู่เสี่ยวกวนให้หอเทียนจีกระจายข่าวออกไปแล้ว

แน่นอนว่าข่าวที่ออกไปนี้ ย่อมจบด้วยข้อความที่ว่ากองทัพเรือต้าเซี่ยได้รับชัยชนะกลับมา

“ข้าได้ยินมาว่า…ในครานี้ท่านแม่ทัพใหญ่ไป๋ยู่เหลียนนำเรือรบจำนวน 6 ลำจมเรือศัตรูได้มากถึง 20 ลำทีเดียว และยังจับตัวเชลยซึ่งเป็นแม่ทัพของฝ่ายศัตรูได้อีกด้วย ทั้งยังยึดเอาสมบัติบนเรือสินค้าทั้งสิบสองลำกลับมาได้ทั้งหมด ! ”

“ให้ตายเถิด ! เหตุใดพวกเขาถึงแข็งแกร่งเยี่ยงนี้ ? มิรู้ว่าทรัพย์สมบัติบนเรือทั้งสิบสองลำจะเหมือนในปีก่อนที่ขันทีหลิวนำกลับมาหรือไม่ ? ”

“เจ้าพวกกบในกะลาครอบทั้งหลาย ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่าสมบัติบนเรือสินค้า 1 ลำ บนนั้นล้วนเต็มไปด้วยเงินทองและเพชรนิลจินดามากมาย ! สิ่งไร้ค่ามากที่สุดก็คงจะเป็นผ้าไหมและเครื่องลายคราม มิรู้ว่าเจ้าพวกนั้นไปชิงมาจากที่ใด”

“จริงหรือ ? ”

“ข้าจะโกหกพวกเจ้าเนื่องด้วยเหตุอันใดกันเล่า ? เมื่อวานนี้ข้าเพิ่งกลับมาจากท่าเรือเจียงเฉิง พวกเจ้าคงมิรู้หรอกว่าในตัวเมืองเจียงว่างเปล่า เนื่องจากทุกคนพากันไปมุงดูที่ท่าเรือจนหมด คาดว่าทรัพย์สมบัติในรอบแรกคงถูกลำเลียงถึงเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้เช้า หากพวกเจ้ามิเชื่อก็จงไปดูด้วยตาของตนเองเถิด”

“…”

ดังนั้นหากต้องการร่ำรวยก็ต้องออกทะเล !

เช้าวันต่อมา ถนนในเมืองกวนหยุนที่ยังไร้ผู้คนก็ได้บังเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นมา

น่าตกตะลึงมากยิ่งนัก !

รถม้าแต่ละคันได้ทำการขนหีบสมบัติที่หนักอึ้ง เพชรนิลจินดาส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงสุริยา ช่างยั่วยวนใจมากยิ่งนัก ทำเอาทุกคนแสบตาจนตาแทบบอด

โหยวเซียนจือเสนาบดีกรมคลังดีอกดีใจจนแทบจะหมดสติ สำนวนที่ว่าเสมือนมีคนยื่นฟืนไฟมาให้ท่ามกลางหิมะหนาวเหน็บ ความรู้สึกเป็นเช่นนี้เองหรือ ?

ท่านแม่ทัพไป๋เป็นผู้ยื่นฟืนมาให้ท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บในครานี้ !

ข้ากำลังปวดศีรษะเรื่องเงินจำนวน 300 ล้านตำลึงอยู่พอดี มูลค่าทรัพย์สินที่ท่านแม่ทัพไป๋นำกลับมาก็เกรงว่าจะมากถึง 300 ล้านตำลึงเช่นกัน !

จริงสิ ! ข้ามีบุตรีเพิ่งอายุได้ 16 ปี แม้ท่านแม่ทัพไป๋จะอายุ 30 ปีแล้ว ทว่าก็เป็นบุรุษที่เยี่ยมยอดและกำลังรุ่งโรจน์เลยทีเดียว !

ท่านแม่ทัพไป๋ออกมาจากภูเขาซีซานพร้อมกับฝ่าบาท เขายังมีอนาคตอีกยาวไกล ข้าควรหาโอกาสไปสืบว่าท่านแม่ทัพไป๋ยังต้องการแต่งภรรยาเพิ่มอีกหรือไม่

หากให้เป็นอนุภรรยาคาดว่าคงมิได้ เพราะถึงเยี่ยงไรข้าก็เป็นถึงเสนาบดีกรมคลัง

ความคิดของโหยวเซียนจือล่องลอยไปไกล บัดนี้ขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นได้ยืนรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อมองเห็นสมบัติบนรถม้าถูกลำเลียงเข้ามายังคลังของประเทศ พวกเขาก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันใด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิงที่เคยคัดค้านฝ่าบาทเรื่องการออกทะเล บัดนี้พวกเขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาแล้วเช่นกัน ออกทะเล ! จำต้องเดินทางออกทะเล !

ต้าเซี่ยยากจนมากยิ่งนัก หากส่งกองทัพเรือออกไปและแย่งชิงสมบัติเหล่านี้มาได้ปีละครา มิว่าเรื่องใดก็คงสามารถจัดการได้ทั้งสิ้น

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อยู่ที่นี่ด้วย เขายังคงนั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรและบัดนี้เบื้องหน้าเขามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่…ซึ่งก็คือเคานต์ปิซาร์โรนั่นเอง

ไป๋ยู่เหลียนนั่งอยู่ด้านข้าง เขามิเข้าใจเสียจริงว่าฟู่เสี่ยวกวนรีบให้ชายผู้นี้เข้ามาพบเพื่อเหตุใด เนื่องจากทั้งสองสนทนากันคนละภาษา ต่อให้ได้พบกันก็ไร้ซึ่งประโยชน์

ทว่าต่อมาเขาก็ต้องตกตะลึงจนเบิกตาโพลง… ฟู่เสี่ยวกวนสามารถเอ่ยภาษานกที่เขาฟังมิออกได้ !

เมื่อมองไปทางเชลยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา พบว่าอยู่ ๆ เชลยก็มีท่าทางดีอกดีใจมากยิ่งนัก !

ทั้งสองกำลังใช้ภาษานกสนทนากัน !

ให้ตายเถิด !

ไป๋ยู่เหลียนสูดลมหายใจเข้าลึก เขาสาบานต่อหน้าฟ้าดินได้เลยว่าก่อนหน้านี้ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยเอ่ยภาษานี้ออกมาแม้แต่คำเดียวและมิเคยเดินทางออกทะเลเลยด้วยซ้ำ !

อีกฝ่ายเป็นเพียงบุตรชายของพ่อค้าที่ดินในเมืองหลินเจียงผู้หนึ่งเท่านั้น !

เขาสามารถประพันธ์บทกวี ทำการเกษตร ทำการค้า แม้แต่สงครามก็ยังทำได้… เรื่องเหล่านี้ไป๋ยู่เหลียนมิได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ทว่าบัดนี้เขาตกตะลึงจนแทบสิ้นสติ

เจ้านี่ยังมีเรื่องอันใดที่ทำมิได้อีกกัน ?

เขาเป็นผู้รู้ทุกสรรพสิ่งจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

ภาษาอังกฤษของฟู่เสี่ยวกวนยิ่งสนทนาก็ยิ่งคล่องแคล่ว เนื่องจากเมื่อชาติที่แล้วเขาเป็นมือสังหารระดับแนวหน้าและจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอย่างน้อยหนึ่งภาษา

เพียงแต่ว่าเป็นเวลานานแล้ว ที่เขามิได้ใช้มันจึงทำให้รู้สึกติดขัดไปบ้างเล็กน้อย

ทันใดนั้นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามก็เดินตรงเข้ามาในห้องทรงพระอักษรด้วยสีหน้าเบิกบาน

เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะเข้ามาทูลรายงานเรื่องน่ายินดีต่อฝ่าบาทและต้องการสนทนากับฝ่าบาทเรื่องของการก่อตั้งกองทัพเรือแล้วออกทะเล

ทว่าพวกเขากลับพบว่าฝ่าบาทกำลังตะโกนโหวกเหวกโวยวายออกมาฟังมิได้ศัพท์ และพบว่าชาวต่างชาติผู้นั้นก็ตะโกนออกมาเช่นกัน

ต่อมาก็พบว่าฝ่าบาททรงขมวดพระขนงเข้าหากันและตะโกนออกมาอย่างดุดัน ชาวต่างชาติผู้นั้นมีท่าทางนิ่งราวกับยอมศิโรราบ ใบหูแดงเรื่อ

ทั้งสามคนจ้องมองหน้ากันด้วยความงุนงง ฝ่าบาท… ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยภาษาต่างประเทศได้เยี่ยงไร ?