ตอนที่ 965 จงไปเรียนภาษาต้าเซี่ยทั้งหมด !

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 965 จงไปเรียนภาษาต้าเซี่ยทั้งหมด !

เคานต์ปิซาร์โรแทบจะกระอักเลือดออกมา

การที่จักรพรรดิทางตะวันออกผู้นี้สามารถสนทนาเป็นภาษาอังกฤษได้ก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพอแล้ว

ทว่าจักรพรรดิผู้นี้อยากให้เขามอบแผนที่เดินเรือให้ !

จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ?

นั่นคือสิ่งที่ข้าทำออกมาด้วยความยากลำบาก นั่นคือของสำคัญที่ต้องนำกลับไปยังฝูหล่างจีของข้า !

แต่ราวกับจักรพรรดิผู้นี้จะเป็นคนไร้เหตุผล ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาข้าคือผู้แข็งแกร่งที่เข้ายึดสมบัติของผู้อื่น แล้วดูตอนนี้สิ ตอนนี้ข้ากลับเป็นเชลยศึกเสียได้

เคานต์ปิซาร์โรรู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งนัก ในฐานะเชลยศึกผู้หนึ่ง ตามธรรมเนียมของฝูหล่างจี จะต้องกลายเป็นทาสของอีกฝ่ายและจักรพรรดิผู้นี้คือนายหัวของข้า นอกเสียจากข้าจะสามารถหนีออกไปได้

แล้วจะหนีออกไปได้เยี่ยงไร ?

บัดนี้ข้าสามารถทำอันใดได้บ้างกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยเรื่องไร้สาระกับคนผู้นี้อีก ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็จ้องเขม็งไปที่ปิซาร์โร มือของเขากดอยู่บนโต๊ะน้ำชา ลมปราณไหลแตะจุดตันเถียน ปิซาร์โรตื่นตกใจจนต้องผงะถอยหลังไปสามก้าว…

“แกรก ! ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา โต๊ะน้ำชาที่สวยงามหักออกเป็นสองซีกภายใต้เงื้อมมือของจักรพรรดิผู้นี้

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยบางอย่างขึ้นมาอีกครา ใบหน้าที่เขียวคล้ำของปิซาร์โรพลันซีดเผือด

พวกจัวอี้สิงเห็นเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของปิซาร์โรราวกับร้อนเสียเต็มประดา จิตสังหารอันน่าสะพรึงของฟู่เสี่ยวกวนอัดพุ่งไปที่ปิซาร์โร จากนั้นก็ดึงปืนกระบอกเล็กออกมา ปากกระบอกปืนเล็งไปที่ปิซาร์โรจนเขารู้สึกราวกับตกลงไปใต้ธารน้ำแข็ง

นี่คือพลังของจักรพรรดิฝั่งตะวันออกเยี่ยงนั้นหรือ ? !

นี่คือจิตสังหารที่ข้ามิสามารถต้านทานได้ !

มิต้องสงสัยเลยว่าจักรพรรดิตะวันออกผู้นี้จะสามารถยิงเขาให้ตายภายในนัดเดียวได้หรือไม่ !

ปิซาร์โรคุกเข่าลงกับพื้นดัง ตึง ! ประมาทเกินไปแล้ว เดิมทีคิดว่าหากล้างบางแคว้นหลิวได้ก็จะสามารถกวาดล้างโลกทางตะวันออกทั้งหมดได้ด้วย เพิ่งได้ทราบบัดนี้เองว่าอันใดเรียกว่าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง !

นี่คือประเทศที่เรียกว่าต้าเซี่ย จะต้องเป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดบนผืนปฐพีอย่างแน่นอน !

ต่อให้เป็นฝูหล่างจีที่ไร้พ่ายบนน่านน้ำ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับประเทศต้าเซี่ยก็เป็นเพียงมดตัวหนึ่งเท่านั้น

ปิซาร์โรหมดสิ้นความตั้งใจที่จะหนี ในช่วงเวลาของความเป็นความตายนี้เขาจึงตัดสินใจยอมจำนนแต่โดยดี

สีหน้าเรียบนิ่งของฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ จางหายไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีกครา จัวอี้สิงและคนอื่น ๆ เห็นชาวต่างชาติผู้นั้นเงยหน้าขึ้นพลางเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วเอ่ยอันใดสักอย่างพร้อมกับแสดงท่าทางออกมา

ต่อจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ชี้ไปทางไป๋ยู่เหลียนแล้วเอ่ยต่ออีกเล็กน้อยกับชาวต่างชาติผู้นั้น อีกฝ่ายพยักหน้ารัวคล้ายกับกำลังตอบรับฝ่าบาท

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นมาทันใด เก็บปืนกระบอกเล็กพลางเดินเข้าไปตบลงบนบ่าของปิซาร์โรด้วยท่าทีเป็นมิตร จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับไป๋ยู่เหลียนว่า “เจ้าพาเขาไปที่ท้องพระคลังเพราะหนึ่งในหีบสมบัติพวกนั้นมีแผนที่เดินเรืออยู่ ให้เขาหาจนเจอแล้วนำมามอบให้ข้า”

ไป๋ยู่เหลียนที่ฟังด้วยสีหน้างุนงงอยู่ครึ่งค่อนวัน จึงเพิ่งเข้าใจว่าฝ่าบาทบรรลุเป้าหมายแล้ว

“คนผู้นี้มีนามว่าปิซาร์โร จงทำดีต่อเขาสักหน่อยเพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องอาศัยเขา… ใช่ ! ให้เขาพักที่ห้องรับรองในหงหลูซื่อ ส่วนเชลยศึกที่เหลือก็ให้ราชองครักษ์จับตาดูให้ดี จงส่งเชลยศึกทั้งหมดไปเรียนภาษาประเทศต้าเซี่ยของพวกเราเสีย ! ”

ไป๋ยู่เหลียนพาปิซาร์โรออกไปแล้ว พวกขุนนางอาวุโสทั้งสามคนจึงนั่งลงด้วยสีหน้างุนงง โต๊ะนี้ใช้มานานเท่าใดแล้วนะ คงต้องให้กรมโยธาธิการทำขึ้นมาใหม่อีกสักตัว

“ทูลฝ่าบาท…พระองค์ พระองค์ตรัสภาษาของชาวต่างชาติได้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

จัวอี้สิงทูลถามประโยคนี้ด้วยท่าทีระมัดระวังเพราะจักรพรรดิพระองค์นี้ทรงลึกลับอย่างแท้จริง

“อ้อ ! เข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ “ชาวต่างชาติผู้นี้เดินทางข้ามมหาสมุทรมาจากทวีปยุโรป มาจากประเทศแถบชายฝั่งทะเลนามฝูหล่างจี ประเทศนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งโดยเฉพาะการสู้รบทางทะเล ทว่าก็หาใช่คู่มือของพวกเราไม่ เนื่องจากพวกเขายังมิได้เข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่ง แต่ก็คาดว่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้เช่นกัน…”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยเรื่องฝูหล่างจีให้พวกจัวอี้สิงฟังโดยละเอียดและมิได้ไต่ถามปิซาร์โรอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน ทว่าในเมื่อปิซาร์โรสามารถเดินทางมาจนถึงที่นี่จากระยะทางที่ห่างกันหลายพันลี้ได้ ก็คาดว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่งของฝั่งตะวันตกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วเช่นกัน

สิ่งที่ประเทศต้าเซี่ยต้องทำในตอนนี้คือการตะกายบนต้นไม้แห่งเทคโนโลยี ต้องมิล้าหลังไปกว่าเทคโนโลยีของชาวตะวันตก !

“ใต้เท้าเมิ่ง ประเดี๋ยวท่านเรียกเสนาบดีกรมโยธาธิการเหว่ยชังมาพบข้าสักหน่อย ข้ามีภารกิจสำคัญสองเรื่องที่ต้องมอบหมายให้เขาทำ… ส่วนเครื่องประดับเหล่านั้น หลังจากลงบัญชีเข้าท้องพระคลังแล้วให้เหลือทิ้งไว้เพียงเงินทอง ส่วนที่เหลือให้นำไปขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินทั้งหมด…”

เฮ้อ…ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจยาว ตามหลักการแล้วเงินทั้งหมดที่แลกมาได้ควรตกไปอยู่ที่การจัดตั้งกองทัพเรือซึ่งประกอบไปด้วยการสร้างท่าเรือราชนาวีขนาดใหญ่ การก่อตั้งสถาบันวิจัยทางเรือรวมไปถึงการก่อตั้งสามกองทัพเรือเพิ่มเติม

ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้มิสามารถเป็นเยี่ยงนั้นได้เพราะจำต้องนำเงินส่วนนี้มาวางรากฐานประเทศให้มั่นคงเสียก่อน อดีตแคว้นอี๋นั้นเรียกได้ว่ายากจนข้นแค้นมากยิ่งนัก เต้าถายของสองฟากฝั่งจิงตงและสองฟากฝั่งเหอเป่ยได้มอบตัวเลขมาแล้ว เอ่ยว่ากำลังรอการฟื้นฟู

กุญแจสำคัญคือว่า ‘รอ’

จะต้องมีเงินสนับสนุนจึงจะสามารถฟื้นฟูได้ หากมิมีเงินสนับสนุนก็เกรงว่าคงทำได้เพียงแขวนชีวิตของราษฎรเหล่านั้นเพื่อรอความตาย !

เยียนหานยวี่ดูแลแคว้นอี๋มาสองถึงสามปี เขาทำให้รากฐานของแคว้นอี๋ยับเยินจนสิ้นท่า พวกพ่อค้ารายใหญ่ในสี่มณฑลต่างก็โยกย้ายไปที่อื่นเกือบทั้งหมดแล้ว พวกที่เหลืออยู่ก็เป็นเพียงพ่อค้ารายย่อยที่หนีไปที่ใดมิได้กับเหล่าเกษตรกรในทุ่งนาที่มีข้อจำกัดอยู่มากมาย

“เงินที่แลกมานี้ จำนวน 100 ล้านนำไปสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่สองฟากฝั่งจิงตงและสองฟากฝั่งเหอเป่ย เพื่อแก้ไขปัญหารายได้ของเกษตรกร”

“จัดสรร 100 ล้านให้แก่สองฟากฝั่งจิงซีและสองฟากฝั่งหวายหนานเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง สำนักเสนาบดีต้องคอยเอาใจใส่เพราะมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ภัยแล้งนี้จะมาพร้อมกับภัยตั๊กแตนบุกทำลายผลผลิต ต้องให้ขุนนางประจำท้องที่เพิ่มการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ! ”

“ส่วนอีก 100 ล้านที่เหลือ อย่างน้อยต้องเหลือให้ข้า 50 ล้านตำลึงเพราะพวกท่านก็ได้เห็นแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่ศัตรูจะโผล่มาทางทะเลได้ตลอดเวลา แม้ครานี้พวกเราจะสามารถเอาชนะได้ แต่ก็สูญเสียเรือรบไปถึง 3 ลำ ส่วนอีก 3 ลำที่เหลือต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน”

“เรื่องนี้มิสามารถประมาทได้แม้แต่น้อย อู่ต่อเรือเจียงเฉิงมิเหมาะต่อการพัฒนาเรือของกองทัพแล้ว จำต้องสร้างอู่ต่อเรือใหม่ขึ้นมาแทน”

ในครานี้เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามมิได้ขัดแย้งอันใด หนานกงอี้หยู่เหลือบมองไปทางหลิวจิ่นพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าเช่นนั้น…ให้ขันทีหลิวออกทะเลไปปล้นอีกคราดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

เมื่อหลิวจิ่นได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันใด แม้ว่าเขาจะปล้นสมบัติมาได้หนึ่งลำเรือ ทว่าเมื่อเทียบกับไป๋ยู่เหลียนแล้ว… มันมิเหมาะที่จะยกขึ้นมาเอ่ยถึงมิใช่หรือ ?

ท่ามกลางสายตาคาดหวังของหลิวจิ่น องค์จักรพรรดิกลับส่ายพระพักตร์ไปมา “ต้องรอไปถึงปีหน้าก่อน เพราะบัดนี้จำนวนเรือรบมิเพียงพออย่างแท้จริง”

“สถานการณ์ในตอนนี้พวกเราต้องทำให้ภายในประเทศมั่นคงและพัฒนาขึ้นมาเสียก่อน ส่วนด้านนอก…ปัจจุบันพวกเรายังมิจำเป็นต้องเดินเรือคราใหญ่”

“เทคโนโลยีการเกษตรและการค้ามิสามารถทอดทิ้งได้แม้แต่เรื่องเดียว โครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกเหลือเวลาอีกสองปีครึ่งเท่านั้น บัดนี้ต้องเริ่มต้นใหม่ทั่วประเทศ ดังนั้นทุกมณฑลก็ให้ปฏิบัติตามแบบราชวงศ์อู๋ดั้งเดิม พวกท่านทั้งสามต้องให้ความสนใจต่อการพัฒนาของแต่ละมณฑลให้มาก”

“ฝานเทียนหนิงส่งจดหมายถึงข้าหนึ่งฉบับ เอ่ยว่าการตอบสนองของชาวบ้านในสองฟากฝั่งต้าหลี่และเยวี่ยซานยังมิมากนัก แม้ทั้งสี่มณฑลจะได้รับผลกระทบจากสงครามน้อยที่สุด แต่ด้านพื้นฐานสังคมยังล้าหลังจนเกินไป”

“ข้าให้หยุนซีเหยียนออกตระเวนไปที่สี่มณฑลนั้นแล้ว เพื่อตรวจสอบศักยภาพทางการค้าของที่นั่น”

“นอกจากนี้ก็ขอบอกพวกท่านสักหน่อยว่าข้าได้ถอดถอนโทษตายของตระกูลเฉิน ตระกูลหลู่และตระกูลโจวโดยให้พวกเขากลับมาทำกิจการเก่า แน่นอนว่ากิจการเหล่านั้นถือเป็นของประเทศ ให้พวกเขาเป็นตัวแทนดูแลจัดการโดยได้รับผลกำไรสองส่วน”

“เอาล่ะ ! พอเท่านี้ก่อน อ้อ…ในหลายวันนี้ข้ามีกิจจำต้องออกไปข้างนอก”

จัวอี้สิงชะงักงัน “ออกประพาสเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“ไม่ ! ข้าจะไปที่เซี่ยเย๋”