‘เมืองเทียนหยวน’ คือหนึ่งในเมืองระดับสองของดินแดนมหาเทพ และเป็นหนึ่งในสี่เมืองรองของมณฑลชิงโจว
หลังผ่านการคัดเลือกของอำเภอซ่างหยวน ฉินอวี้โม่และศิษย์ตระกูลฉื่อทั้งหกต้องเข้าร่วมการคัดเลือกในเมืองเทียนหยวน ในการคัดเลือกรอบนี้ ผู้เข้าแข่งขันฝีมือโดดเด่นจำนวนห้าสิบคนจะได้ผ่านเข้าไปพบกับจอมยุทธ์ที่ได้รับการคัดเลือกจากเมืองรองอีกสามเมืองและเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายของมณฑลชิงโจวด้วยกัน
สองวันต่อมา ฉินอวี้โม่และคณะก็มาถึงนอกเมืองเทียนหยวน
อำเภอซ่างหยวนเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของดินแดนที่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นและตระกูลฉื่อเองก็ต่ำต้อยไร้ความสำคัญยิ่งกว่า ฉินอวี้โม่หารือกับฉื่อซิ่งและจ้าวตั๋วก่อนหน้านี้และไม่ได้ส่งใครเดินทางมากับคณะด้วย เวลานี้คณะเดินทางของนางเป็นเพียงกลุ่มจอมยุทธ์เจ็ดคนที่กลมกลืนกับฝูงชนและไม่มีสิ่งใดโดดเด่น
ครานี้ฉินอวี้โม่สวมอาภรณ์บุรุษและใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยทำให้รูปลักษณ์โดยรวมของนางดูเคร่งขรึมมากขึ้น ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเช่นกัน หากไม่คุ้นเคยกับคนเหล่านั้นก็ไม่มีทางที่ผู้ใดจะจดจำพวกเขาได้
การคัดเลือกรอบสองใกล้เข้ามาแล้วและเมืองเทียนหยวนในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมาอย่างมีชีวิตชีวา
เมื่อฉินอวี้โม่และคณะเดินทางมาถึง หลายคนก็กำลังต่อแถวเพื่อเข้าสู่ตัวเมือง
หน้าประตูเมืองเทียนหยวนในตอนนี้มีศิษย์สวมเครื่องแบบนับสิบคนยืนเฝ้าอยู่ด้วยสีหน้าทะนงตนขณะกวาดสายตามองดูผู้คนที่เดินทางผ่านเข้า-ออกด้วยแววตาเย้ยหยัน
“พี่ชาย คนเหล่านั้นที่หน้าประตูคือใครหรือ?”
หลังจากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต่อแถวตามหลังฝูงชนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว นางก็แตะไหล่คนที่อยู่ข้างหน้าตนเบา ๆ และเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร
“น้องชายคงจะมาเพื่อชมเรื่องที่น่าตื่นเต้นในเมืองเทียนหยวนสินะ”
เมื่อบุรุษผู้นั้นหันกลับมาและพบว่าผู้ที่แตะเรียกตนมีความแข็งแกร่งเพียงขอบเขตนภาเซียนขั้นต้น เขาไม่มีท่าทีเย้ยหยันหรือรังเกียจใด ๆ ขณะกล่าวออกมา
“ใช่แล้วล่ะ ข้าได้ยินว่ามีการคัดเลือกศิษย์ที่น่าตื่นเต้นที่นี่ พวกเราจึงเข้ามารับชมเรื่องสนุก ๆ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบโดยไม่ปฏิเสธ ในเวลานี้นางยับยั้งพลังของตนไว้จนเหลือเพียงขอบเขตนภาเซียนขั้นต้นเพื่อมิให้เป็นการดึงดูดความสนใจมากเกินไป การที่จอมยุทธ์ธรรมดา ๆ มาเข้าร่วมรับชมความสนุกจะไม่กระตุ้นความสนใจจากขุมกำลังใหญ่อย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่แปลกใจเลย กลุ่มคนที่หน้าประตูเหล่านั้นคือคนจากตระกูลเฝิง—ตระกูลอันดับห้าของเมืองเทียนหยวน หลายวันมานี้พวกเขาส่งคนมาเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่หน้าประตูเมือง แต่ข้าก็ไม่ทราบหรอกว่าพวกเขากำลังรอผู้ใด”
บุรุษผู้นั้นกล่าวตอบโดยไม่สงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่ ความแข็งแกร่งของนางอยู่ในระดับธรรมดาซึ่งไม่อาจทราบได้ว่ามาจากเมืองเล็กเมืองใด และการได้พบกันในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ก็มิใช่เรื่องแปลกเช่นกัน
“ตระกูลเฝิงอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย หากจำไม่ผิด ตระกูลที่หนุนหลังตระกูลจูน่าจะเป็นตระกูลเฝิงที่บุรุษผู้นี้กล่าวถึง การที่พวกเขาส่งคนมาเฝ้าหน้าประตูตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ หรือว่าพวกเขาจะมาดักรอเล่นงานพวกนางกัน ?
“ถูกต้อง ตระกูลเฝิง นอกเหนือจากสี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลเฝิงก็ถือได้ว่าเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองเทียนหยวน เป็นธรรมดาที่น้องชายจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพวกเขา”
บุรุษผู้นั้นอธิบายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร แม้เห็นแล้วว่าน้องชายตรงหน้าดูธรรมดาอย่างมาก ทว่าไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกถูกชะตาและอยากพูดคุยด้วยอีกสักหน่อย
“ในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ จอมยุทธ์ธรรมดา ๆ อย่างพวกเราจะคิดท้าทายหรือสร้างปัญหาให้กับตระกูลใหญ่ไม่ได้เด็ดขาด ตระกูลใหญ่เหล่านั้นอยู่ในเมืองแห่งนี้มาอย่างยาวนาน ต่อให้ไม่ทรงพลังมากเท่ากับสี่ตระกูลใหญ่ พวกเขาก็มิใช่กลุ่มคนที่เราจะยั่วยุให้ขุ่นเคืองได้ น้องชาย…หากเจ้าคิดจะเข้าร่วมชมเรื่องสนุก ๆ ละก็ จงทำตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้ อย่าทำอะไรให้กลายเป็นเป้าสายตาเด็ดขาด”
บุรุษผู้นั้นกล่าวเตือนให้ฉินอวี้โม่ระวังตัว
“ได้เลย ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ขอบคุณพี่ชายที่เตือนข้า”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับโดยไม่กล่าวสิ่งใด เนื่องจากเห็นว่าตอนนี้เดินมาถึงใกล้กับประตูเมืองแล้ว นางจึงไม่เอ่ยถามให้มากความอีก
ณ หน้าประตูเมืองเทียนหยวน กลุ่มคนจากตระกูลเฝิงเริ่มหมดความอดทนเล็กน้อย
“พี่เยี่ย กลุ่มคนพวกนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาจากเมืองเล็ก ๆ เราเพียงบุกไปกวาดล้างพวกเขาโดยตรงก็สะสางปัญหาทุกอย่างได้แล้ว เหตุใดท่านผู้อาวุโสใหญ่จึงต้องสั่งให้เรามารออยู่ที่นี่ทุกวันด้วยเล่า ?”
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูมีอายุประมาณยี่สิบปีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเล็กน้อย
ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาได้รับคำสั่งให้ออกมาเฝ้าหน้าประตูเมืองเพื่อดักรอกลุ่มคนจากอำเภอซ่างหยวนที่จะเดินทางมาเข้าร่วมการคัดเลือก ทว่าหลังจากรอติดต่อกันมานานห้าวันแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของคนเหล่านั้นและพวกเขาไม่ทราบเลยว่าคนเหล่านั้นจะมาถึงเมื่อใด
ในฐานะตระกูลอันดับห้าของเมืองเทียนหยวน แม้ตระกูลเฝิงจะไม่กล้าสร้างปัญหาหรือกวนใจตระกูลใหญ่ทั้งสี่ ทว่าการทำลายตระกูลเล็ก ๆ ที่ไร้อิทธิพลอย่างตระกูลฉื่อก็ถือว่าง่ายดายยิ่งนัก พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดผู้อาวุโสจึงไม่ส่งพวกเขาไปที่อำเภอซ่างหยวนและทำลายตระกูลฉื่อให้สิ้นซาก ทว่ากลับสั่งให้พวกเขารออย่างไร้จุดหมายเช่นนี้
“นี่เป็นคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่ ทำตามไปเถอะน่า !”
เฝิงเยี่ย—ศิษย์ที่โดดเด่นและมีพรสวรรค์ที่สุดของตระกูลเฝิงในปัจจุบันนี้เป็นหนึ่งในตัวเต็งที่น่าจับตามองในการคัดเลือกครานี้ แม้ความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลเฝิงจะด้อยกว่าสี่ตระกูลใหญ่มากนัก ทว่าความแข็งแกร่งของเฝิงเยี่ยก็อยู่ในระดับเดียวกับบรรดาจอมยุทธ์อัจฉริยะของตระกูลใหญ่ทั้งสี่และมีพรสวรรค์ที่มากกว่าคนเหล่านั้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เนื่องจากสิ่งนี้ ตระกูลเฝิงจึงให้ความสำคัญกับเฝิงเยี่ยเป็นอย่างมาก ตราบใดที่เขาแสดงผลงานได้ดีและให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจในการคัดเลือกครานี้ หรืออาจถึงขั้นเข้าร่วมหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายได้สำเร็จ ตระกูลเฝิงจะมีโอกาสเอาชนะสี่ตระกูลใหญ่และกลายเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งของเมืองเทียนหยวนได้
ด้วยการที่ได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสใหญ่ เฝิงเยี่ยจึงนำคณะศิษย์เหล่านี้มาเฝ้าหน้าประตูเมืองเพื่อรอการมาถึงของฉินอวี้โม่และคณะศิษย์ของตระกูลฉื่อด้วยตัวเอง
เขาก็ไม่คิดที่จะประมาทในความสามารถของฉินอวี้โม่และคณะแม้แต่น้อย สำหรับผู้ที่ได้รับความสนใจมากเช่นนี้ทั้งที่เป็นเพียงคณะเดินทางจากเมืองเล็ก ๆ เขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นจะต้องมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น จากข่าวสารที่เขาได้รับมา สตรีนามว่าฉินอวี้โม่ที่สามารถเตะจอมยุทธ์ราชาเซียนครึ่งก้าวกระเด็นออกจากสังเวียนไปได้ทีละคน ๆ อย่างง่ายดายนั้น เกรงว่าพลังของนางคงจะไม่ด้อยไปกว่าตัวเขาเท่าใดนัก
เฝิงเยี่ยชื่นชอบและกระหายการต่อสู้เป็นทุนเดิม และฉินอวี้โม่ก็กระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ของเขาได้มาก เขาตั้งตารอเป็นอย่างยิ่งว่าจอมยุทธ์มากฝีมือที่ทำให้จูยงหวาดหวั่นนั้นแท้จริงจะเป็นอย่างไร
“แต่ว่า…พี่เยี่ย ผู้อาวุโสใหญ่ก็ทำเกินไปจริง ๆ คนเหล่านั้นเป็นเพียงกลุ่มคนจากเมืองเล็ก ๆ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งท่านมารอที่นี่กับพวกเราด้วยตัวเองเลย”
ศิษย์อีกคนกล่าวแสดงความไม่พอใจและรู้สึกว่าเฝิงเยี่ยไม่ได้รับความเคารพมากเท่าที่ควร ในฐานะศิษย์ฝีมือดีที่สุดของตระกูลเฝิง การที่เขาต้องมาเฝ้ารอกลุ่มคนที่ต่ำต้อยข้างหน้าประตูเมือง ช่างเป็นสิ่งที่น่าหงุดหงิดยิ่งนัก
“หุบปาก ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่รึว่าอย่าดูแคลนผู้ใด ต่อให้เป็นเพียงศิษย์มากพรสวรรค์จากเมืองเล็ก ๆ คนเหล่านั้นก็อาจจะไม่พ่ายแพ้ต่อเจ้า !”
เฝิงเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชาและความรู้สึกซับซ้อนก็ฉายวาบในแววตาของเขาครู่หนึ่งก่อนหายไป
จริงอยู่ว่าเขาไม่จำเป็นต้องออกมาเฝ้าหน้าประตูเมืองด้วยตัวเอง พรสวรรค์ของเขาถือว่าน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งและได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ฝีมือดีที่สุดของตระกูลเฝิง แน่นอนว่าตระกูลเฝิงให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก ทว่าแท้จริงแล้วเส้นทางชีวิตของเฝิงเยี่ยมิได้สวยหรูดังที่เห็นภายนอกเลยสักนิด
เดิมทีเขามิใช่ศิษย์ของตระกูลเฝิงโดยตรงทว่าเพิ่งเข้าร่วมตระกูลเมื่อห้าปีก่อนเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดบางอย่าง เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลก็เมตตาและให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก แม้แต่ผู้นำตระกูลเฝิงเองก็เห็นคุณค่าของเขาเช่นกัน ทว่าก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่คอยกีดกันและหน่วงรั้งเขาไว้
ผู้นำของตระกูลเฝิงมีบุตรชายที่มีพรสวรรค์ไม่มากเท่าเฝิงเยี่ยและเขาริษยาศิษย์อันดับหนึ่งผู้นี้เป็นอย่างมาก เขากังวลว่าเฝิงเยี่ยจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลไปจากตนและมักระแวงอยู่เสมอ ผู้นำตระกูลเฝิงเองก็พยายามควบคุมเฝิงเยี่ยและสั่งให้เขาทำสิ่งต่าง ๆ ที่แม้แต่เด็กรับใช้ก็ไม่เต็มใจทำ…
บรรดาศิษย์หลายคนที่ติดตามเฝิงเยี่ยออกมาหน้าประตูเมืองในตอนนี้ล้วนเป็นคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาและเชื่อมั่นในตัวเฝิงเยี่ยเป็นอย่างมาก ในหัวใจของพวกเขา พี่เยี่ยผู้นี้ไม่ควรต้องออกมาทำหน้าที่นี้ด้วยซ้ำ ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน ด้วยบุญคุณของผู้อาวุโสใหญ่ ต่อให้เป็นภารกิจที่น่าหดหู่เพียงใด เฝิงเยี่ยก็ไม่มีทางคัดค้าน
เวลานี้บุรุษหนุ่มข้างหน้าก็ผ่านเข้าเมืองไปแล้ว ฉินอวี้โม่จึงก้าวเดินต่อไป
“ช้าก่อน !”
เฝิงเยี่ยเอ่ยเรียกและหยุดฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งกำลังจะเดินผ่านตนเข้าไปในเมือง
“คุณชาย มีอะไรหรือขอรับ ?”
ฉินอวี้โม่เงยหน้าขึ้นสบตาเฝิงเยี่ยและแสร้งแสดงท่าทางประหม่ากังวลขณะเอ่ยถามเสียงอ่อน
“ไม่มีอะไร หลังจากเข้าเมืองไปก็ระวังด้วยล่ะ อย่าเข้าไปท้าทายบุคคลที่ไม่ควรท้าทาย !”
เฝิงเยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่าอนุญาตให้นางผ่านไปได้ เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติจากร่างของฉินอวี้โม่ ราวกับว่าจอมยุทธ์ตรงหน้าเขาตั้งใจยับยั้งระดับพลังที่แท้จริงไว้…
เพราะเหตุนั้น เฝิงเยี่ยจึงเอ่ยเรียกคนตรงหน้าโดยสัญชาตญาณและแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจอย่างรอบคอบทว่าไม่พบสิ่งใดผิดปกติ เขาพบว่าพลังของฉินอวี้โม่อยู่เพียงขอบเขตนภาเซียนขั้นต้นเท่านั้นและความผันผวนของพลังเล็กน้อยที่สัมผัสได้เมื่อครู่คงเป็นเพียงสิ่งที่เขาเข้าใจผิดไปเอง
ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษหนุ่มที่ดูตื่นกลัวผู้นี้คงมิใช่เป้าหมายที่พวกเขาออกมาดักรออยู่
“ขอบคุณคุณชายที่เตือนขอรับ”
ฉินอวี้โม่ยกมือประกบกำปั้นโดยที่ยังคงแสดงสีหน้า ‘ตึงเครียด’ เช่นเดิมก่อนเดินเข้าตัวเมืองไปอย่างช้า ๆ
แม้ว่าความแข็งแกร่งของฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ จะไม่ได้ถูกยับยั้งไว้ ทว่าพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกเล็กน้อย เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีใครที่จดจำคณะศิษย์ตระกูลฉื่อได้และพวกเขาก็ผ่านเข้าตัวเมืองไปได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล
“เกือบไปแล้วเชียว ! เฮ้อ~”
ภายในเมืองเทียนหยวน ฉินอวี้โม่และคณะทำการจองห้องพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งทันทีที่เข้ามาในเมือง เมื่อทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่
เฝิงเยี่ยผู้นั้นไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ พลังวิญญาณของเขาเหมือนจะความพิเศษแตกต่างจากธรรมดา เพียงเดินผ่านเขา พลังที่ฉินอวี้โม่ระงับไว้ก็เกิดการผันผวนเล็กน้อยทันที หากมิใช่เพราะนางควบคุมมันไว้ได้ทันเวลา เกรงว่าเฝิงเยี่ยคงจับผิดนางได้เสียแล้ว
“ตระกูลเฝิงให้ความสำคัญกับเรามากถึงเพียงนี้เลยรึ ? สำหรับคณะจอมยุทธ์จากเมืองเล็ก ๆ อย่างเรา พวกเขาถึงขั้นส่งคนไปดักรอหน้าประตูเมืองตั้งมากมาย”
จางเหิงกล่าวและหัวใจรู้สึกชื่นชมฉินอวี้โม่มากขึ้นเรื่อย ๆ นางคาดการณ์ถึงสิ่งนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วและแนะนำให้พวกเขาทุกคนเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตนเพื่อมิให้คนตระกูลเฝิงจำได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางทราบว่ายิ่งคณะเดินทางมีสมาชิกจำนวนมากเพียงใดก็จะเป็นที่สะดุดตามากเพียงนั้น คณะของพวกเขาจึงเดินทางกันมาเพียงเท่านี้เพื่อแฝงตัวให้กลมกลืนกับฝูงชนมิให้โดดเด่นจนเกินไป
“นี่คงจะเป็นเพราะจูยงเปิดเผยข้อมูลของลูกพี่อวี้โม่ต่อคนตระกูลเฝิง มันจึงดึงดูดความสนใจของพวกเขา”
ฉื่อไท่หลางแค่นเสียงในลำคอและกล่าวออกไป ในความจริง ตระกูลเฝิงไม่ได้สนใจเขาและศิษย์ตระกูลฉื่อคนอื่น ๆ หากแต่สนใจฉินอวี้โม่เพียงคนเดียวเท่านั้น
ไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลเฝิงด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่คนจากสี่ตระกูลใหญ่ หากทราบเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็ไม่มีทางเลยที่พวกเขาเหล่านั้นจะปล่อยปละละเลยได้ ถึงอย่างไรแล้วแม้ว่าจะมีพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวเช่นเดียวกัน จอมยุทธ์คนอื่น ๆ ก็รับมือกับกระบวนท่าเดียวของนางไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉินอวี้โม่ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวจนเกินไป !
“เฝิงเยี่ยนั่นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว หลังจากนี้ทุกคนต้องระวังตัวให้มากล่ะ ตราบใดที่เราไม่ถูกจับได้ก่อนการคัดเลือกจะเริ่มต้นก็คงเพียงพอ เพราะเมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลเฝิงคงไม่กล้าทำอะไรเราอีก”
ฉินอวี้โม่กล่าวเตือนทุกคน ในเมื่อตระกูลเฝิงส่งคนออกไปดักรอพวกนางอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาจะต้องมีจุดประสงค์ไม่ดีแน่ บางทีตระกูลเฝิงอาจวางแผนทำอะไรสักอย่างเพื่อให้พวกนางหมดโอกาสเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบต่อไป
“ไม่ต้องห่วงลูกพี่ พวกเราจะเก็บตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมและไม่ออกไปก่อเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน”
ฉื่อไท่หลางและบรรดาศิษย์ตระกูลฉื่อคนอื่น ๆ พยักศีรษะตอบรับ พลังของพวกเขาไม่ได้แกร่งกล้าเท่ากับฉินอวี้โม่ พวกเขาจึงไม่ต้องการออกไปหาเรื่องใส่ตัว
“เอาล่ะ หลังจากนี้ข้าจะออกไปที่ศูนย์การค้าประจำเมืองและเลือกดูสิ่งของที่น่าสนใจสักหน่อย ทุกคนพักอยู่ในโรงเตี๊ยมก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวต่ออีกประโยค นางรู้สึกได้ว่ามีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ในทิศทางของโรงประมูลของเมืองเทียนหยวน เวลานี้คฤหาสน์เฟิงหัวของนางไม่มีประสิทธิภาพมากเท่าเดิมอีกต่อไปและฉินอวี้โม่ยังต้องรวบรวมวัสดุอีกจำนวนหนึ่งเพื่อที่จะพัฒนามันให้ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้น นางจะมีไพ่ตายสำคัญสำหรับการเอาตัวรอดที่ทรงพลังที่สุด !