ภาคที่ 5 บทที่ 148 จักรพรรดิหยงเยี่ยหลิวกวง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 148 จักรพรรดิหยงเยี่ยหลิวกวง (1)

ห่างออกไปจากเมืองล่องนภาหลายร้อยลี้ อสูรคางคกร่างยักษ์กำลังพุ่งตัวไปด้วยความเกรี้ยวกราด

ความเร็วที่คางคกยักษ์เคลื่อนที่นั้นไม่ได้สูงนัก และขนาดของมันใหญ่โตจนทำให้ไม่สามารถกระโดดได้ อสูรร้ายทำได้เพียงคลานไปตามพื้น แต่ทุก ๆ ก้าวของมันก็พาร่างมหึมานั้นเคลื่อนไปได้ไกลถึงร้อยจั้งเลยทีเดียว

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากร่างมโหฬารนั้นได้ยินไปถึงในเมือง ไม่ว่ามันจะประทับเท้าขนาดใหญ่นั้นลงครั้งใด ขุนเขาทั้งหลายก็จะต้องสั่นสะท้านและผืนดินก็แทบจะแตกออก

เทพอสูรไม่สนใจลักษณะภูมิประเทศใด ๆ ในระหว่างทางเลยแม้แต่น้อย

มันยังเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลดละและทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า

พื้นดินที่ใต้เท้าของมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และท้องฟ้าเบื้องบนก็เปลี่ยนเป็นสีครึ้มจากร่างขนาดใหญ่ของมัน ระลอกคลื่นพิษไร้ที่สิ้นสุดหลั่งไหลออกมาจากร่างนั้นและกระจายปะปนไปในอากาศตลอดเวลา

หากไม่ใช่เพราะซูเฉินเป็นเผ่ามนุษย์มาตั้งแต่แรก การกระทำของเขาเช่นนี้ถือเป็นบาปมหันต์เลยก็ว่าได้

อาณาเขตแห่งนี้ซึ่งเป็นของเผ่าปักษากลายสภาพเป็นพื้นที่ที่ไม่น่ามองไปในทันที เทพอสูรเคลื่อนหายไปบนพื้นอย่างบ้าบิ่นพร้อมกับสังหารผู้คนและทำลายที่อยู่อาศัยไปมากมาย ใครก็ตามที่รู้ตัวช้าและหลบไปไม่ทันก็จะต้องถูกร่างยักษ์นั้นบดบี้จนแหลกละเอียดโดยไม่มีโอกาสที่จะได้หนีเสียด้วยซ้ำ

นี่คือธรรมชาติของสงครามอย่างแท้จริง !

ในสงครามนั้นไม่มีที่ว่างให้กับความปราณีแต่อย่างใด

ซูเฉินรู้ว่าเผ่าปักษาเคยทำอะไรไว้กับชาวมนุษย์ พวกเขาทำเรื่องโหดร้ายเอาไว้มากมายเมื่อครั้งที่สถานการณ์ยังเข้าข้างฝ่ายชาวอาร์คาน่าอยู่

ชุยอวี่คงเหินเองก็ไม่ใช่คนดีนักเช่นกัน

ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วทำไมเขาถึงถูกพวกมนุษย์จับตัวไว้ล่ะ ?

นั่นก็เพราะปักษาหนุ่มได้ปล้นสะดมเมืองมนุษย์ที่บริเวณชายแดนนั่นเอง

แต่ซูเฉินก็ยังไม่เคยมีคำถามกับการกระทำของชุยอวี่คงเหินเลยสักครั้ง

หลังจากเข้าไปในสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้ว ซูเฉินก็ใช้เวลาช่วงหนึ่งไปกับการเดินทางไปรอบเมือง และได้เห็นความโหดร้ายป่าเถื่อนของเมืองในเขตชายแดนอีกด้วย

ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องเล่าถึงเรื่องเลวร้ายของศัตรูให้พวกเขาฟัง ซูเฉินชินชากับเรื่องพวกนี้ไปแล้ว และการให้ค่ากับผลลัพธ์ของมันก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน อย่างเช่นเรื่องการแสดงความปราณีต่อศัตรูนั้น เขามองว่าไม่ต่างไปจากการทำร้ายตัวเองเลย

ซูเฉินไม่คิดจะไว้ชีวิตทั้งพวกคนเถื่อนและเผ่าปักษา

ดังนั้น เมื่อเขาตัดสินใจที่จะยกระดับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะกำจัดพวกวัชพืชออกไปทั้งหมดด้วย

ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาคงไม่มีอะไรที่จะมายืนยันได้ว่าได้ทำคุณประโยชน์เพื่อให้มนุษยชาติรุ่งเรืองขึ้น

การเฟื่องฟูด้วยสันติวิธีนั้นดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มีความรุนแรงหรือการนองเลือดแล้ว ใครกันเล่าที่จะมอบโอกาสในการก้าวไปสู่ความโดดเด่นได้ ?

ดังนั้นการเลือกที่จะไม่ใช้ประโยชน์จากโอกาสเพื่อที่จะโจมตีคู่ต่อสู้นั้นนับเป็นข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่เช่นกันในบางครั้ง และยังถือเป็นการทรยศเผ่าพันธุ์ของตัวเองอีกด้วย

อย่างน้อยที่สุด ซูเฉินก็เชื่อเช่นนั้น

ร่างแยกร่างแล้วร่างเล่าปล่อยสายฟ้าและพายุหมุนใส่คางคกพันพิษ และพาร่างนั้นเข้าใกล้เมืองล่องนภามากขึ้น ซึ่งร่างแยกทั้งหลายดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านใด ๆ ต่อความฉุนเฉียวของคางคกเลยแม้แต่น้อย

จากนั้นร่างแยกก็ไม่จำเป็นต้องโจมตีอีกต่อไป ตราบใดที่หนึ่งในนั้นเหาะไปมาที่ตรงหน้าเจ้าคางคกราวกับแมลงที่น่ารำคาญได้ อสูรยักษ์ก็พร้อมจะไล่ตามร่างนั้นไปอย่างไม่ลดละ

เมื่อเผ่าปักษาที่บินผ่านไปมากเห็นดังนั้นก็เดือดดาลทันที

พวกเขากระโจนเข้าใส่ซูเฉินโดยไม่รอช้า พร้อมกับส่งการโจมตีใส่เขา

แต่ร่างแยกของซูเฉินก็ไม่ได้สนใจการโจมตีพวกนั้นแต่อย่างใด เขาไม่พยายามที่จะหลบหลีกมันเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มเหมือนจะหันไปสนใจกับสิ่งที่อยู่ด้วยหลังและเคลื่อนไปทางคางคกพิษก่อนจะชี้ไปและกล่าวขึ้นในที่สุด “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น !”

แม้ว่าประโยคนี้จะเป็นเพียงคำพูดที่แสนธรรมดา แต่ซูเฉินก็ใส่กำแพงใจ ซึ่งเป็นวิชาอาร์คาน่าระดับ 7 เข้าไปด้วยอย่างเต็มที่

ชายหนุ่มเคยใช้วิชาอาร์คาน่านี้สำเร็จมาแล้วด้วยความช่วยเหลือจากเทียนไขชีวิต ทว่าในตอนนี้ร่างแยกร่างหนึ่งของเขากลับแข็งแกร่งพอที่จะใช้วิชาเดียวกันนั้นได้แล้ว

และเพราะผลจากวิชาสื่อวิญญาณ เทพอสูรคางคกพันพิษจึงสามารถเข้าใจความหมายที่ซูเฉินจะสื่อได้

“กรรรร !” มันคำรามอย่างเกรี้ยวกราดทันที

ลิ้นขนาดมหึมาของมันสะบัดไปในอากาศดูอันตรายยิ่งนัก

คราวนี้ ร่างแยกของซูเฉินไม่ได้พยายามหลบลิ้นของอสูรร้ายแต่อย่างใด ร่างนั้นยอมให้ลิ้นยักษ์ปะทะเข้าใส่ตัวเองและแตกสลายออกที่ตรงนั้นในทันใด

แต่คางคกพันพิษก็รู้ว่ายุงที่หลบหลีกได้เก่งกาจเหลือเกินนั้นยังไม่ตายจริง ๆ

เขายังคงรอมันอยู่ที่ตรงนั้น

เสียงคำรามนั้นเต็มไปด้วยโทสะขณะที่อสูรร้ายพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูงสุด ส่วนเผ่าปักษาที่บินไปมาอยู่โดยรอบนั้นก็ไม่ได้หันมาสนใจอะไรอื่นอีกแล้ว

ยุง… พวกนั้นเป็นยุงทั้งนั้น !

ณ วังแสงตะวันชั่วกาลแห่งเมืองล่องนภา

วังแสงตะวันชั่วกาลเป็นพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมืองนี้ถูกก่อตั้งเป็นครั้งแรก ที่แห่งนี้ผ่านการเฟื่องฟูและล่มสลายของราชวงศ์มาแล้วมากมาย อีกทั้งยังเคยถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่มาแล้วหลายครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น ชื่อของมันก็ไม่เคยถูกเปลี่ยนเลย

ช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดก็คือช่วงหลังจากที่หยงเยี่ยหลิวกวงขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นานนัก

ผู้คนพยายามที่จะยกยอปอปั้นจักรพรรดิองค์ใหม่และบอกกับเขาว่าชื่อของที่นี่ช่างคล้ายคลึงกับจักรพรรดิหนุ่มเหลือเกิน ซึ่งจะเป็นลางร้ายสำหรับเขาที่เป็นจักรพรรดิ ดังนั้นการทำลายมันและสร้างขึ้นมาใหม่จึงถือเป็นทางเลือกที่ดีในตอนนั้น

โชคดีที่หยงเยี่ยหลิวกวงคัดค้านความเห็นเหล่านั้น

ตระกูลหยงเยี่ยหลิวกวงเป็นที่รู้จักเช่นนั้นก็เพราะพวกเขาเคยเป็นกลุ่มมือสังหารที่เชี่ยวชาญในด้านการทำภารกิจสายลับในยามกลางคืน

เผ่าปักษาส่วนมากไม่ใช่มือสังหารที่มีพรสวรรค์นัก ความนึกคิดส่วนมากของพวกเขาออกจะคล้ายกับพวกนกที่ชอบจะบินไปในอากาศและอยู่เหนือปัญหาทุกอย่างในทางโลก การเป็นนักรบหรือมือสังหารนั้นไม่เหมาะกับพวกเขาสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นชาวปักษาก็ยังจำเป็นจะต้องมีคนที่ทำหน้าที่เหล่านี้ ดังนั้นจึงทำให้ต้องคิดหาหนทางมากมายเพื่อที่จะส่งเสริมอาชีพที่ขาดคนเหล่านี้ ปักษาไรปีกเป็นกลุ่มที่จะทำเช่นนั้นได้ และตระกูลหยงเยี่ยหลิวกวงก็เช่นกัน

และนี่ก็คือที่มาของชื่อตระกูลนี้นั่นเอง

หากปราศจากการเสียสละของตระกูลหยงเยี่ยหลิวกวงและความเต็มใจที่จะอยู่กับความมืดมิดแล้ว เมืองล่องนภาคงไม่มีทางที่จะรักษาการควบคุมของพวกเขาในเขตแดนนี้เอาไว้ได้อย่างแน่นอน

ดังนั้น หยงเยี่ยหลิวกวงกับวังแสงตะวันชั่วกาลจึงไม่ได้ต่อต้านกัน แต่พวกเขากลับเข้าขากันได้ดีเสียมากกว่า

สำหรับหยงเยี่ยหลิวกวงแล้ว การอาศัยอยู่ในวังแสงตะวันชั่วกาลถือเป็นสมดุลที่ดีและเป็นไปตามหลักหยินและหยาง

อีกทั้งสภาพของวังที่ค่อนข้างทรุดโทรมนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน

เพราะเผ่าปักษานั้นมีศัตรูอยู่รอบตัว อีกทั้งยังไม่มีวี่แววว่าจะสามารถอยู่อย่างสงบสุขกันได้ หยงเยี่ยหลิวกวงจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษเพื่อเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองทำงานหนักขึ้น เพื่อที่ว่าวันหนึ่งเผ่าปักษาอาจทวงคืนทวีปกลับมาได้อีกครั้ง

วังแสงตะวันชั่วกาลยังคงสภาพเดิม และผลที่ตามมาก็คือชื่อเสียงของหยงเยี่ยหลิวกวงก็แพร่กระจายออกไปกว้างขวางขึ้น ทุกคนต่างรู้จักเขาในฐานะผู้ดูแลกฎที่มุ่งมั่นในหน้าที่และซื่อสัตย์ยิ่งนัก

ในช่วงเวลาหลายพันปีมานี้ หยงเยี่ยหลิวกวงกลายเป็นที่รู้จักในด้านปรีชาชาญ ความกล้าหาญ พละกำลัง และความเด็ดเดี่ยวของเขา ซึ่งคุณสมบัติแต่ละอย่างเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะความยากลำบากมากมายที่ปักษาหนุ่มต้องประสบมา

วันนี้ จักรพรรดิผู้กล้าหาญคนนี้กำลังยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของเผ่าปักษาอีกครั้ง

หยงเยี่ยหลิวกวงนั่งอยู่บนบัลลังก์ในวังแสงตะวันชั่วกาล

ใบหน้าของปักษาหนุ่มดูอ่อนน้อม ในขณะที่ร่างของเขาค่อนข้างเล็ก และมีสีผิวที่คล้ำสักหน่อย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลหยงเยี่ยหลิวกวง

โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนและเหล่าหัวหน้านักบวชของนางยืนอยู่ที่เบื้องล่าง

หยงเยี่ยหลิวกวงกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด แต่ผู้คนที่เบื้องล่างนั้นกำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด

“ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะต้องจับชุยอวี่คงเหินให้ได้ !”

“ถูกต้อง และตระกูลชุยอวี่ก็จะต้องมีส่วนรับผิดชอบกับเรื่องนี้ด้วย !”

“ไม่หรอก เป้าหมายหลักในตอนนี้ควรจะเป็นเทพอสูรคางคกพันพิษนั่นต่างหาก !”

“ข้าเห็นด้วยกับการเป็นพันธมิตรกับเค่อเหลยซีต๋า”

“เป็นพันธมิตรกับมือแห่งโชคชะตาอย่างนั้นหรือ ? ทำไมเจ้าถึงคิดจะเอาศักดิ์ศรีของเผ่าปักษาไปทิ้งอย่างนั้นล่ะ เจ้านั่นน่ะเป็นเศษสวะของชาวอาร์คาน่า”

“เผ่าคนเถื่อนก็เคยเป็นพันธมิตรกับชาวอาร์คาน่ามาก่อน”

“อย่าเปรียบเทียบเผ่าปักษาที่สูงส่งอย่างพวกเรากับพวกคนเถื่อนนั่นเลย”

“หยุดเถียงกันเองได้แล้ว คางคกพันพิษกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเรา ข้าคิดว่าตอนนี้เราต้องถอยทัพก่อน”

“หนีตั้งแต่สงครามยังไม่เริ่มเลยหรือ ?”

“เจ้าเรียกมันว่าการหนีได้อย่างไรกัน เมืองล่องนภาน่ะป้องกันตัวเองจากคางคกไม่ได้ และถ้าไม่ใช่เพราะพิษนั่น… ดังนั้นถ้าเจ้าไม่สนใจที่จะร่วมมือกับเค่อเหลยซีต๋า แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราทำอย่างไรได้อีกล่ะ ?”

“ข้ามีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง”

“อะไรล่ะ”

“ทำไมเราไม่ล่อคางคกนั่นไปทางชายแดนของพวกมนุษย์เสียล่ะ”

“ความคิดอะไรของเจ้า ! ไม่รู้หรืออย่างไรว่าชายแดนฝั่งมนุษย์น่ะไกลออกไปเพียงไร กว่าจะไปถึงที่นั่น เทพอสูรก็คงใกล้ตายพอดี ถ้าเป็นอย่างนั้น สิ่งที่พวกเราทำก็ไม่ได้เป็นการพาพวกนั้นไปลงเหวกับเราด้วยหรอก แต่จะเป็นการให้ของขวัญกับพวกมนุษย์เสียมากกว่า !”

“และก็จะเป็นการทำลายเมืองมากมายในระหว่างทางด้วย ชายแดนฝั่งตะวันออกน่ะไม่เหมือนกับฝั่งตะวันตก ที่นั่นมีเมืองและหมู่บ้านมากมาย หลายแห่งในนั้นยังเป็นเมืองและหมู่บ้านที่สำคัญด้วย !”

การถกเถียงยังคงดำเนินต่อไป เผ่าปักษานั้นต่างไปจากพวกคนเถื่อนที่มักจะตะโกนและสบถคำหยาบคายใส่กันราวกับว่าการต่อสู้กันเองอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เผ่าปักษานั้นเรียกได้ว่ามีมารยาทกว่ามากทีเดียว ต่อให้พวกเขาต้องสู้กันเอง ก็คงเป็นการต่อสู้กันด้วยคำพูดเสียมากกว่า

แน่นอนว่าเผ่าปักษาเห็นว่าการถกเถียงอย่างรุนแรงนั้นช่างไร้อารยะยิ่งนัก

หยงเยี่ยหลิวกวงพลันส่งเสียงกระแอมไอและส่งสัญญาณให้พวกเขาหยุด

ทั้งโถงนั้นตกอยู่ในความเงียบในทันที

เป็นเพราะความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิหยงเยี่ยหลิวกวงนั่นเอง

หากหยงเยี่ยหลิวกวงยังไม่กล่าวอะไร คนอื่น ๆ จะได้รับอนุญาตให้เจื้อยแจ้วได้ตามที่ต้องการ แต่ทันทีที่เขาเอ่ยปากพูด หน้าที่ของทุกคนก็คือจะต้องเงียบและฟังอย่างตั้งใจ

หยงเยี่ยหลิวกวงเหลือบมองผู้คนที่รอบข้างและถามขึ้น “มีใครบอกข้าได้ไหมว่าทำไมชุยอวี่คงเหินถึงได้ทำเช่นนี้ ?”

คำถามนั้นทำให้ทุกคนเงียบ

เป็นคำถามที่จี้จุดดีจริง ๆ

อย่างไรแล้ว ชุยอวี่คงเหินก็ยังเป็นชาวปักษาเช่นกัน ต่อให้เขาให้ร้ายกับอาณาจักรของตัวเองและทำให้บรรดาสมาชิกต้องอับอาย แต่ก็ไม่มีสาเหตุใดเลยที่เขาจะต้องแก้แค้นด้วยวิธีที่ป่าเถื่อนเช่นนี้กับอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ

หยงเยี่ยหลิวกวงหันหน้าไปหาโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน “เจ้าพบกับชุยอวี่คงเหินมาก่อนแล้ว คิดว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ?”

โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนไม่คิดเลยว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะถามเกี่ยวกับชุยอวี่คงเหิน นางจึงผงะไปเล็กน้อย

หลังจากไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ นางก็ตอบกลับไป “ข้าสนทนากับเขาแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยากนักที่ข้าจะวิเคราะห์เขาได้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็พูดกับข้าด้วยท่าทางมั่นใจทีเดียว นั่นไม่ใช่สิ่งที่เผ่าปักษาคนอื่น ๆ จะทำได้”

หยงเยี่ยหลิวกวง ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย เขาเพียงกล่าวกลับไปว่า “ท่าทางของเขาดูมีสติดีใช่ไหม”

“ถูกต้อง” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนพยักหน้า

แน่นอนว่าเขาต้องสงวนท่าทีให้ดูใจเย็น ไม่เช่นนั้นแล้วชุยอวี่คงเหินคงไม่มีทางหลอกโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนได้อย่างแน่นอน

หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวต่อไป “ดังนั้นก็สรุปได้ว่าเขายังไม่ได้บ้า สติของเขายังดีและการรับรู้ก็ยังปกติอยู่ อีกอย่าง ในเมื่อพร้อมเสี่ยงชีวิตเพื่อมาหลอกผู้นำนิกายเพื่อจะขโมยของศักดิ์สิทธิ์ ก็แสดงความกล้าหาญของเขาคงทำงานได้ดีอยู่”

เมื่อได้ยินดังนั้น โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็เข้าใจแล้วว่าหยงเยี่ยหลิวกวงกำลังพยายามจะพูดอะไร “ท่านหมายความว่า…..”

หยงเยี่ยหลิวกวงถอนใจและกล่าวต่อไป “เผ่าปักษาที่ยังสติดีและปฏิบัติกับพวกปักษาอย่างเราด้วยวิธีการบ้า ๆ แบบนั้นมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ชุยอวี่คงเหินถูกพวกมนุษย์ข่มเหง แต่พวกเราเป็นคนที่คืนอิสระให้กับเขา ตระกูลชุยอวี่อาจดูถูกเขาเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็ควรโจมตีตระกูลชุยอวี่หรือพวกมนุษย์ ไม่ใช่อาณาจักรแห่งหมู่เมฆ และที่สำคัญที่สุด คนที่มีเจตนาที่จะทำลายอย่างชัดเจนเช่นนั้นคงไม่สนใจเรื่องความมั่งคั่งหรอก วันหนึ่งเดี๋ยวก็จะต้องทุกลายตัวเองไปอยู่ดี แต่ชุยอวี่คงเหินไม่ใช่แบบนั้น เขาชัดเจนกับการกระทำของตัวเองมากทีเดียว…. พวกเจ้าไม่รู้สึกบ้างหรือว่าเป้าหมายและแรงจูงใจของเขามันประหลาดอยู่น่ะ”

เผ่าปักษาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตะลึงและหันมองหน้ากันด้วยความไม่แน่ใจ

หนึ่งในหัวหน้านักบวชถามขึ้นด้วยความสงสัย “ฝ่าบาท ท่านหมายความว่า ?”

หยงเยี่ยหลิวกวงตอบ “ข้าสงสัยว่าเขาจะไม่ใช่ชุยอวี่คงเหินตัวจริง !!”

“แต่เค่อเหลยซีต๋าก็ยืนยันแล้วว่าปีกของเขาเป็นปีกจริง ๆ” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกล่าวขึ้น

หยงเยี่ยหลิวกวงส่ายหน้า “เค่อเหลยซีต๋าแค่ยืนยันว่าเขามีปีกเท่านั้น แต่ไม่ได้ยืนยันว่าเขาคือชุยอวี่คงเหิน จริง ๆ เผ่าปักษาไม่ได้เป็นพวกเดียวที่มีปีก อย่างไรแล้วพวกมนุษย์เองก็สามารถมีปีกได้เหมือนกัน”