บทที่ 149 หยงเยี่ยหลิวกวง (2)
มนุษย์ที่มีปีก !
สิ่งที่หยงเยี่ยหลิวกวงพูดทำให้ทุกคนตกตะลึง โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเริ่มตัวสั่น “ท่านกำลังบอกว่า… มนุษย์… ทุกอย่างเป็นเพราะมนุษย์.. !”
“นั่นมีเหตุผลมากทีเดียว ทำไมท่าทางของชุยอวี่คงเหินเปลี่ยนไปมากหลังจากที่เขากลับมา และทำไมถึงได้ดึงดันนักที่จะพุ่งเป้าหมายที่เผ่าของเรา ถูกไหม ?” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าว
หนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับล่างคนหนึ่งพลันกล่าวขึ้น “ฝ่ายบาทช่างหลักแหลมยิ่งนัก ความเป็นไปได้ที่จะเป็นอย่างนั้นสูงมากทีเดียว เฟิงเหย่าแห่งอาณาจักรวายุโหมก็สร้างปีกได้เช่นกัน เมื่อความเข้มข้นของสายเลือดพวกเขาพัฒนาไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ปีกของพวกนั้นก็จะปรากฏขึ้นมากจริง ๆ ดูเหมือนว่าชุยอวี่คงเหินจะเป็นมนุษย์ที่ปลอมตัวมา และจะต้องมาจากตระกูลเฟิงแน่ ๆ!”
ทว่าหยงเยี่ยหลิวกวงส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่การกระทำของเฟิงจูอิ่งอย่างแน่นอน ตระกูลเฟิงรับหน้าที่คุ้มกันหนึ่งในชายแดนของมนุษย์จากอสูรร้าย ดังนั้นความเกลียดชังต่อพวกอสูรของพวกเขาจึงรุนแรงนัก ศัตรูอันดับหนึ่งของพวกนั้นจะต้องเป็นเหล่าอสูร ดังนั้นพวกเขาจึงคอยช่วยเหลือพันธมิตรในการจัดการกับพวกอสูรอยู่เสมอ เฟิงจูอิ่งกับลูกสมุนของเขาไม่มีทางไปยั่วโมโหเทพอสูรเพื่อให้โจมตีและปล้นคลังของเราแน่นอน”
คนที่สนับสนุนพันธมิตรระหว่างเผ่าพันธุ์อัจฉริยะนั้นไม่มีทางที่จะแทรกแซงเขตแดนของเผ่าพันธุ์ใกล้เคียงและปล้นพวกเขาเป็นแน่ ที่สำคัญที่สุดตระกูลเองก็แทบไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเผ่าปักษาเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น หยงเยี่ยหลิวกวงก็เข้าใจเฟิงจูอิ่งเป็นอย่างดีทีเดียว
หรือหากจะพูดให้ถูกต้องกว่านั้น เขายังรอบรู้เกี่ยวกับจักรพรรดิทั้งเจ็ดของมนุษย์ รวมถึงความแกร่งกล้าของกลุ่มคนในสังกัดและปรมาจารย์ผู้มากความสามารถทั้งหลาย ความรู้นี้ยังรวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับเผ่าคนเถื่อน เผ่าวิญญาณ และชาวสมุทรอีกด้วย
อายุขัยที่ยาวนานของเผ่าปักษาและปรีชาชาญของพวกเขาทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงสามารถศึกษาโลกรอบตัวพวกเขาและรวบรวมข้อมูลเพื่อให้เขาเองสามารถเข้าใจศัตรูได้
ตอนนี้อายุเขาก็มากแล้ว และร่างกายก็เริ่มที่จะแสดงสัญญาณของการเสื่อมถอย แต่ถึงอย่างนั้น สมองของเขาก็ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทีเดียว
เมื่อโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนและคนอื่น ๆ ได้ยินคำของเขา ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเฟิงจะทำจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นท่านคิดว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรหรือฝ่าบาท ?” โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถามขึ้น
นางเข้าใจหยงเยี่ยหลิวกวงดีเช่นกันเพราะว่ารู้จักกันและกันมานานแล้ว อีกทั้งยังรู้ว่าเขาไม่มีทางลงมือโดยที่ยังไม่เห็นทางสว่างแน่ ตั้งแต่เขากล่าวถึงเรื่องความสงสัยออกมานั้น ก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้ข้อสรุปขึ้นมาแล้วด้วย
หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้เรามาสรุปก่อนเถอะว่าเขาเป็นมนุษย์ปลอมตัวมา เขาคงไม่สุ่มเลือกเอาตัวตนของชุยอวี่คงเหินมาโดยไม่มีเหตุผลแน่ และมันจะต้องเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนตัวประกันเมื่อสองปีที่แล้ว และคนที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการแลกเปลี่ยนนั่นได้….”
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเข้าใจทันที “แปลว่าอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยเป็นคนลงมืออย่างนั้นหรือ ใช่แน่.. .มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่จะเกลียดชังพวกเราถึงขนาดนั้นได้ !”
แม้ว่าตามหลักแล้วเผ่าปักษาจะเป็นศัตรูกับทั้งเผ่ามนุษย์ แต่อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยก็มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงกับการเผชิญหน้ากับเผ่าปักษา ดังนั้นความสัมพันธ์กับเผ่าปักษาจึงแย่ถึงที่สุด หนี้โลหิตที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นล้ำลึกเกินจะหยั่งถึงได้
มันจะไม่แปลกเลยหากมีคนบางกลุ่มในอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยทำแบบนี้กับพวกเขา
แต่อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยก็กว้างขวางเหลือเกิน
หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวขึ้น “หลังจากการแปลกเปลี่ยนครั้งนั้น พวกทูตก็พาพวกนั้นกลับไปยังเมืองล่องนภา โดยผ่านจุดรักษาความปลอดภัยที่อารามพลังต้นกำเนิด หอคอยแห่งความโกลาหล และเมืองล่องนภา ตัวประกันทุกคนถูกสอบสวนอย่างจริงจังก่อนจะได้รับการปล่อยตัวไป ข้าเชื่อว่ามนุษย์น่ะไม่มีทักษะที่จะสามารถหลอกแสงสัจธรรมได้หรอก ไม่อย่างนั้นแล้วคงมีสายสืบมนุษย์แอบเข้ามามากกว่าหนึ่งหรือสองคนแน่ ดังนั้นการใช้ตัวตนของชุยอวี่คงเหินจะต้องเกิดขึ้นหลังจากการคืนตัวประกัน……”
“ต้องใช่แน่ !” ข้าหลวงคนหนึ่งกล่าวขึ้น “พอพวกตัวประกันได้รับการปล่อยตัวแล้ว พวกนั้นก็ไม่ต้องตกอยู่ใต้การควบคุมของใครอีก หากมนุษย์คิดจะสังหารชุยอวี่คงเหินตอนนั้นและเข้ามาแทนที่เขา ก็คงยากนักที่เราจะจับพิรุธได้”
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนกล่าว “แต่นั่นก็หมายความได้ว่าคนที่โจมตีนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพวกทูต ! จะต้องเป็นใครบางคนจากในกลุ่มนั้นแน่ ๆ!”
“ส่งคนไปหาคำตอบเดี๋ยวนี้เลยว่าใครกันที่หายไปจากกลุ่มทูตตอนที่พวกเขาจากไป”
เหล่าข้าหลวงเริ่มพูดคุยกันอย่างออกรส
หยงเยี่ยหลิวกวงยกมือขึ้นอีกครั้ง “ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบกันหรอก พวกมนุษย์น่ะไม่ทิ้งร่องรอยที่ชัดเจนเอาไว้หรอก คนคนนี้อาจมีฐานันดรสูงส่งในบรรดามนุษย์ด้วยกัน แต่เขาอาจมีบทบาทที่ไม่เด่นนักในทางการทูตซึ่งนั่นทำให้เขาหายตัวไปอย่างเงียบ ๆ ได้ หากพวกเราสืบสาบสาวราวเรื่องกันในตอนนี้ พวกนั้นก็แค่บอกเราว่ามีคนป่วยและตายระหว่างทาง และถ้าพวกเราไปขุดร่างนั้นขึ้นมา ก็จะต้องพบร่างที่มีปีกถูกฝังไว้แน่ ๆ”
เผ่าปักษาพูดไม่ออก
แม้ว่าการวิเคราะห์ของหยงเยี่ยหลิวกวงจะไม่ได้ตรงจุดนัก อย่างน้อยเขาก็มีเหตุผลและประเด็นอยู่เหมือนกัน พวกมนุษย์ไม่มีทางทิ้งร่องรอยที่เห็นได้ชัดเอาไว้ให้พวกเขาเห็นอย่างแน่นอน
“แต่……” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปชั่วขณะ
เสียงของเขาทำให้ดวงตาของชาวเผ่าปักษาเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง
หยงเยี่ยหลิวกวงพูดต่อ “ข้าบอกแล้วว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นคนสำคัญในหมู่มนุษย์แน่ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่ทำเรื่องแบบนี้ และไม่มีทางที่จะมีพวกทูตค่อยช่วยปกปิดให้เขา อีกทั้งเขาคงไม่สามารถสร้างความวุ่นวายอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้แน่”
โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถามอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาทคิดว่าเป็นใครหรือ ?”
แต่แล้วหยงเยี่ยหลิวกวงก็ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้หรอกว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่ก็มีคนที่พอจะคาดเดาไว้อยู่บ้าง เขาจะเป็นคนที่ใกล้ชิดกับตระกูลจู หรือตระกูลหลี่ ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่ได้รับการป้องกันจากพวกทูตอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับตระกูลจูมากกว่า”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะ ?” ทุกคนต่างสงสัย
กลับเป็นโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนที่ตอบขึ้นในคราวนี้ “ใช่ จะต้องเป็นตระกูลจูแน่ เค่อเหลยซีต๋าบอกว่าคนคนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบุกขุมทรัพย์ของอวี้ชิงหลานด้วย จำได้ไหมล่ะหนึ่งในคนที่ตายที่นั่นเป็นใคร”
เผ่าปักษาหันไปสบตาและกล่าวขึ้นพร้อมกัน “หลี่ต้าวหง !”
ใช่แล้ว….
หลี่ต้าวหงตายไปในที่เก็บสมบัติของอวี้ชิงหลาน
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนวุ่นวายกันใหญ่ อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยใช้มันเป็นข้ออ้างในการกดดันเมืองล่องนภา โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนถูกบังคับให้ต้องพิสูจน์กับหลี่หวู่อี้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แผนของเผ่าปักษา อันที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวางแผนต่อต้านกันและกันเสียด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรพวกเขาก็ต่อสู้กันอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว ซึ่งหลี่ต้าวหงก็ต้องเสียชีวิตในการเผชิญหน้าแบบนั้นนั่นเอง
หลี่หวู่อี้เข้าใจว่าการสังหารหลี่ต้าวหงไม่ได้เป็นประโยชน์ใด ๆ กับเผ่าปักษา ต้องขอบคุณยิ่งนักที่หลี่ต้าวหงเป็นตัวปัญหาในขณะที่เผ่าปักษาต้องการให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ซึ่งชาวมนุษย์ส่วนมากนั้นพอใจกับการตายของเขา หลังจากเรียกค่าชดเชยจากเผ่าปักษาแล้ว หลี่หวู่อี้ก็กลับไปสนใจเรื่องภายในของอาณาจักรต่อ
ทว่าในตอนนี้ หยงเยี่ยหลิวกวงกลับหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง ทุกคนจึงเข้าใจว่าคนคนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับทูตของตระกูลหลี่แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงไม่กล้าโจมตีเจ้าชายอย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นตระกูลจู แต่ใครกันในบรรดาตระกูลจูที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ จูเฉินฮ่วนหรือ ?” หนึ่งในเผ่าปักษาประกาศความสงสัยของตัวเองขึ้น
หยงเยี่ยหลิวกวงส่ายหน้า “สายเลือดจักรพรรดิอสูรคงไม่มีใครที่จะอัจฉริยะถึงขนาดนี้ได้ แต่ก็ไม่ทุกอย่างที่จะเป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง อย่างไรแล้วตระกูลจูก็เชี่ยวชาญในทักษะวิชาการสะกดจิตอยู่เช่นกัน”
การที่ตระกูลที่มีความสามารถถึงเพียงนั้นจะมีอัจฉริยะในตระกูลสักคนหรือสองคนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
ในทางทฤษฎีแล้ว ซูเฉินเองก็ถูก ‘สะกดจิต’ โดยจูเซียนเหยาด้วยเหมือนกัน…
แต่นั่นก็ทำให้การระบุตัวตนยิ่งยากมากขึ้นไปอีก
ถึงแม้ว่าตระกูลจูจะเป็นสายเลือดจักรพรรดิอสูร แต่ก็ยังมีสมาชิกจำนวนหลายร้อยคนที่ไม่ใช่คนในสายเลือดตรง ๆ เผ่าปักษาและเผ่ามนุษย์เองก็เป็นศัตรูกันเช่นกัน ดังนั้นการที่หยงเยี่ยหลิวกวงรู้ว่าตระกูลจูมีความสามารถด้านใดจึงถือว่าน่าประทับใจทีเดียว
แม้ว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะฉลาดหลักแหลมนัก แต่ก็ยังขาดข้อมูลที่จะทำให้ระบุตัวซูเฉินได้
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะคิดหาทางออกให้กับเรื่องนี้ไม่ได้
“ข้าจะไปเก็บข้อมูลที่จำเป็นมาจากตระกูลจูมาเดี๋ยวนี้เลย” หนึ่งในเจ้าหน้าที่กล่าวขึ้น เขารับผิดชอบในส่วนของการรวบรวมข้อมูลอยู่แล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นหน้าที่ของเขานั่นเอง
แต่หยงเยี่ยหลิวกวงกลับตอบปักษาหนุ่มกลับไปอย่างเยือกเย็น “ถึงตอนนั้นคางคกพันพิษนั้นก็คงถูกจัดการไปแล้ว และเผ่าปักษาที่ปลอมตัวมาก็คงหนีไปไกลมากแล้วละ”
เผ่าปักษาทั้งหลายตะลึง
แล้วพวกเขาจะต้องทำอย่างไรล่ะ ?
หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวต่อไป “แค่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลจูก็มากพอแล้ว เรื่องบางเรื่องเราก็ตัดสินใจได้โดยไม่ต้องรู้คำตอบทั้งหมด หลานอิ่งชาง !”
“ขอรับ !” หนึ่งในเผ่าปักษาก้าวออกมาข้างหน้า
“ไปบอกเมืองนภาลัยราบให้เร็วที่สุดว่าพวกเราต้องการให้จัดส่งเมฆดาราทองคำอย่างเร่งด่วนในราคาที่ต่อรองได้ บอกให้พวกนั้นส่งมาเลยทันที แล้วก็ไปตรวจดูด้วยว่าใครเป็นคนที่มากับพวกทูตบ้าง และหาทางเข้าถึงคนพวกนั้นให้ได้ด้วย… คนพวกเดียวกันกับที่ไปถึงเมืองล่องนภา ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นมีความสัมพันธ์กับชายคนนั้นอย่างไร แต่ข้าเชื่อว่าจะต้องมีบางคนในนั้นที่ใกล้ชิดกับเขาแน่” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าขนลุก
ในที่สุด ข้าหลวงก็เข้าใจสิ่งที่หยงเยี่ยหลิวกวงจะสื่อเขาจึงตอบรับทันที “ฝ่าบาทฉลาดล้ำยิ่งนัก”
การจับตัวทูตนั้นไม่ต่างไปจากการจับตัวของชุยอวี่คงเหินเลย
หลังจากมอบหมายงานแล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงก็กล่าวต่อไป “เค่อเหลยซีต๋า ท่านคิดอย่างไรกับแผนนี้ล่ะ ?”
เค่อเหลยซีต๋าหรือ ?
เผ่าปักษาที่อยู่ ณ ตรงนั้นต่างก็ชะงักไป เว้นก็แต่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนเท่านั้น
เสียงหัวเราะของใครบางคนดังก้องขึ้นจากในความมืด “ฝ่าบาทสมควรแก่การเป็นจักรพรรดิจริง ๆ ข้า เค่อเหลยซีต๋า ไม่มีสิ่งอื่นใดจะกล่าวแล้วนอกจากสรรเสริญท่าน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเป็นมนุษย์ แม้ว่าข้าจะรู้จักเขามานานเป็นปีแล้ว แต่สมมติฐานของท่านก็เตือนใจข้าได้เป็นอย่างดีทีเดียว พอมาคิดดูแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกันที่ทำให้เขาเหมือนกับมนุษย์ ข้าเริ่มจะเข้าใจแล้วละ”
ใครบางคนเดินเข้ามาในโถง…. เป็นเค่อเหลยซีต๋านั่นเอง !
เค่อเหลยซีต๋าเป็นปรมาจารย์สายฟ้าและเชี่ยวชาญในเรื่องการควบคุมเสียง ไม่แปลกเลยที่ทุกบทสนทนาที่เกิดขึ้น ณ ที่นั่นจะไม่หลุดรอดโสตประสาทของเขาไปได้เลย
หยงเยี่ยหลิวกวงยังคงท่าทีไร้ความรู้สึกเช่นเดิม “ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ขอคาดเดาเป้าหมายของท่านด้วย ท่าน… ต้องการที่จะใช้ยาถอนพิษที่ไม่สมบูรณ์กับพิษของคางคกยักษ์ รวมถึงในการติดตามชุยอวี่คงเหิน และการคุกคามของคางคกนั่น เพื่อที่จะสร้างมือแห่งโชคชะตาขึ้นมาใหม่”
เค่อเหลยซีต๋าหัวเราะ “ที่สำคัญที่สุด จากนี้ไปมือแห่งโชคชะตาจะอยู่ในกฎหมายและไม่ต่อต้านอาณาจักรแห่งหมู่เมฆอีกแล้ว นอกจากนั้น ฝ่าบาทก็จะต้องจัดหาเงินทองและสิ่งของต่าง ๆ ให้ข้า รวมถึงเขตแดนของภูเขาดอกไม้ก็จะต้องเป็นของข้าด้วย เพราะอย่างไรแล้ว ตอนนี้ข้าก็ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย”
เผ่าปักษาที่เหลือต่างตกใจกับความต้องการของเค่อเหลยซีต๋า
เขาโลภเหลือเกิน… อีกฝ่ายไม่เพียงต้องการสถานะทางกฎหมาย แต่เขายังต้องการทรัพย์สมบัติอีกด้วยอย่างนั้นหรือ ?
หยงเยี่ยหลิวกวงไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วเลยด้วยซ้ำ “ข้าจะยอมทำตามเงื่อนไขของท่าน แต่ท่านเองก็จะต้องตกลงตามเงื่อนไขสองข้อของข้าเช่นกัน”
“เงื่อนไขอะไรกัน ?” เค่อเหลยซีต๋าผงะ ตอนแรกนั้นเขาคิดว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะมีข้อเรียกร้องมากมาย
สุดท้ายหยงเยี่ยหลิวกวงก็ตอบกลับมาเพียงแค่ว่า “เปลี่ยนชื่อและกฎขององค์กรของท่านเสีย”