บทที่ 1394 ยังคลางแคลงใจ

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 1394 : ยังคลางแคลงใจ
  ครั้งนี้หลิงหยุนรีบกดรับสายทันที!
  “พี่หยุนนี่พี่กำลังทำอะไรอยู่ หลิงยู่โทรไปแล้วพี่ไม่รับสาย เธอก็เลยโทรมาหาฉัน!” ถังเมิ่งร้องตะโกนถามมาจากปลายสายทันที
  “อ่อ..งั้นรึ”
  หลิงหยุนถึงกับยิ้มออกมาและตอบกลับไปทันที“ข้าเพิ่งจะออกไปคุยงานนอกบ้าน จึงไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมา หลิงยู่โทรหาเจ้าทำไมรึ”
  “หลิงยู่บอกให้พี่รีบโทรกลับหาเธอด้วยฉันวางสายก่อนล่ะ พี่จะได้รีบโทรหาเธอ!” ทันทีที่พูดจบ ถังเมิ่งก็กดตัดสายทิ้งไป
  หลังจากถังเมิ่งวางสายไปแล้วหลิงหยุนจึงหันไปพูดกับฉินตงเฉวี่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าเลิกกังวลใจได้แล้ว ดูเหมือนหลิงยู่จะสบายดี!”
  และในจังหวะนั้นโทรศัพท์มือถือของฉินตงเฉวี่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นสัญญาณข้อความเข้าในแอพ WeChat
  และเมื่อเปิดดูจึงพบว่าเป็นข้อความเสียงจากหนิงหลิงยู่ฉินตงเฉวี่ยไม่ลังเล และรีบเปิดข้อความเสียงฟังทันที
  “น้าหญิงท่านกำลังทำอะไรอยู่ เหตุใดท่านจึงไม่รับสายข้า? พี่ใหญ่ก็เช่นกัน? ข้ากังวลแทบแย่แล้ว!”
  ครั้งนี้น้ำเสียงของหนิงหลิงยู่เต็มไปด้วยความกังวลใจและความเป็นห่วงเป็นใย และนี่ต่างหากที่ควรเป็นน้ำเสียงของหนิงหลิงยู่ที่พูดกับฉินตงเฉวี่ยอยู่เป็นประจำ
  หลังจากได้ฟังข้อความเสียงจากหนิงหลิงยู่แล้วหลิงหยุนจึงรีบกดโทรศัพท์โทรหานางทันที และหนิงหลิงยู่ก็กดรับตั้งแต่ครั้งแรกที่เสียงเรียกเข้าดังขึ้น แล้วคำถามมากมายก็พร่างพรูออกมาจากปากของนาง
  “พี่ใหญ่เหตุใดพี่จึงไม่รับสายข้า พี่ทำอะไรอยู่กันแน่? แล้วเหตุใดเพิ่งจะโทรหาข้า?”   “ข้ากับน้าหญิงสนทนากันอยู่นอกบ้านจึงไม่ได้นำโทรศัพท์ติดตัวมาด้วย ว่าแต่เจ้าโทรมามีอะไรงั้นรึ” หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
  “พี่ใหญ่พอดีวันนี้เพิ่งจะเสร็จจากเข้าค่ายฝึกของทหารเสร็จ แล้วพรุ่งนี้ก็จะต้องไปมหาวิทยาลัยอีกแล้ว แต่.. ข้าไม่อยากไปเรียน ข้าอยากไปช่วยท่านแม่พร้อมกับพี่ใหญ่!”
  หลิงหยุนเพิ่งจะนึกได้ว่าช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา นักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยหยานจิง จะต้องเข้าค่ายอบรมของทหาร และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายพอดี
  “เจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าพรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางไปช่วยท่านแม่”หลิงหยุนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
  “ถังเมิ่งบอกข้าข้าเพิ่งจะโทรหาเขาก่อนหน้าที่พี่จะโทรมา..” หนิงหลิงยู่ตอบกลับทันที
  “หลิงยู่ข้าเพิ่งจะคุยกับน้าหญิง นางบอกข้าว่า สี่ห้าวันที่ผ่านมาเจ้าไม่ติดต่อนางเลย เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ อีกทั้งโทรศัพท์ของเจ้าก็ติดต่อไม่ได้ตลอดเวลา..”
  หนิงหลิงยู่ได้แต่บ่นกระปอดกระแปดอยู่ปลายสาย“พี่ใหญ่.. กลางวันข้าก็ต้องเข้าค่าย กลางคืนก็ต้องไปอยู่ตามป่าเขาเพื่อฝึกฝนวิชา จึงได้แต่เก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในแหวนพื้นที่..”
  “พี่ใหญ่แหวนพื้นที่สะดวกสบายก็จริง แต่ก็ทำให้โทรศัพท์มือถือใช้งานไม่ได้ พวกเราก็เลยขาดการติดต่อกันยังไงล่ะ..”
  หลิงหยุนฟังไปก็พยักหน้าไป“แล้วเวลานี้เจ้าอยู่ที่ไหน”
  “ตอนนี้ข้าอยู่บนเขาหยุนเหมิงด้านชานเมืองของปักกิ่งทุกคืนข้ามักจะมาฝึกฝนวิชาที่นี่ พี่ใหญ่คะ ข้ามีอะไรจะบอกพี่ด้วย!”
  “เวลานี้ข้าสามารถเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-6)ได้แล้ว ข้าสามารถบินได้เร็วมากกว่าหนึ่งพันเมตรต่อวินาทีเชียวล่ะ จากปักกิ่งไปจิงฉู ข้าใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วก็เหาะไปถึงแล้ว!”   “…”
  หลิงหยุนถึงกับพูดอะไรไม่ออกเขาไม่ได้ประหลาดใจกับความก้าวหน้าในการฝึกที่รวดเร็วอย่างน่ากลัวของนาง แต่เขานึกอัศรรย์ใจกับความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับขั้นพลังใหม่ของนางต่างหาก!
  โลกใบนี้ค่อยๆเล็กลง..ไม่เพียงเกิดขึ้นกับหลิงหยุน แต่ยังเกิดขึ้นกับหนิงหลิงยู่ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ด้วย
  สำหรับตัวเขาเองนั้นเขาคือผู้ที่อยู่ในขั้นอมตะกลับมาเกิด การเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจนัก แต่กับหนิงหลิงยู่ นางเพิ่งจะผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วไปได้ไม่นาน ไม่เพียงสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังปรับตัวเข้ากับขั้นพลังใหม่ได้อย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์!
  หลิงหยุนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบร้องถามออกไปทันที “หลิงยู่.. แล้ววิชาดาราคุ้มกายเล่า เจ้าก้าวหน้าไปมากเพียงใดแล้ว”
  หนิงหลิงยู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจทันที“พี่ใหญ่ พี่เคยบอกข้าว่าคืนวันพระจันทร์เต็มดวงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการฝึกดาราคุ้มกาย ในคืนนั้นข้าก็เลยตั้งใจฝึกฝนดาราคุ้มกายโดยเฉพาะ เวลานี้ข้าเข้าสู่ระดับที่ห้าของด่านที่สามแล้ว!”
  “อืมมระดับเดียวกับข้า..”
  หลิงหยุนพยักหน้าและได้แต่คิดว่ากายอัปสรของหนิงหลิงยู่นั้น สามารถฝึกบ่มเพาะพลังก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าที่เขาคิดมากนัก!
  จากนั้นหลิงหยุนก็เปลี่ยนมาเปิดให้เสียงของหนิงหลิงยู่ดังออกลำโพงเพื่อให้ฉินตงเฉวี่ยสามารถได้ยินด้วย เพราะเขากำลังจะถามถึงเรื่องข้อความเสียงที่เป็นปัญหา ซึ่งหนิงหลิงยู่ส่งมาให้ฉินตงเฉวี่ยในคืนนั้น
  “หลิงยู่..ในคืนนั้นน้าหญิงบอกข้าว่าเจ้าส่งข้อความเสียงมาให้นาง แต่นางรู้สึกว่าน้ำเสียงของเจ้าฟังดูห่างเหินผิดปกติ คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ”
  ระหว่างที่คุยกับหนิงหลิงยู่นั้นหลิงหยุนก็จับสังเกตมาโดยตลอด และไม่พบความผิดปกติใดๆเกิดขึ้นเลย เขาจึงเริ่มถามถึงเรื่องคลิปเสียงนั่น
  “ห๊ะ!เสียงของข้าทำให้น้าหญิงตกใจกลัวงั้นรึ?!”
  หนิงหลิงยู่ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน “ฮ่าๆๆ พี่ใหญ่ คืนนั้น ก่อนที่จะไปฝึกดาราคุ้มกาย ข้าเข้าเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ก่อนที่อาจารย์จะเริ่มสอน ได้เอาหนังเกี่ยวกับการต่อสู้ในจักรวาลมาให้นักศึกษาดู ระหว่างนั้นอาจารย์ก็บอกกับนักศึกษาว่า เขาเชื่อเรื่องเอเลียนส์มากๆ และเชื่อว่าในจักรวาลนี้จะต้องมีมนุษย์ต่างดาวอยู่จริงๆ แต่อยู่ในมิติที่ทับซ้อนกันกับโลกของเรา..”
  “และประโยคที่ข้าพูดออกไปนั้นข้าก็แค่เลียนเสียงพูดของเอเลียนส์…”
  หลิงหยุนกับฉินตงเฉวี่ยได้ฟังคำอธิบาของหนิงหลิงยู่ก็ถึงกับหันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงง..
  แล้วทั้งคู่ก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาพร้อมกันทั้งคู่ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆในคำอธิบายของหนิงหลิงยู่ ในความโล่งใจนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความโกรธในการหยอกเย้าครั้งนี้ของหนิงหลิงยู่!
  “หลิงยู่ข้าว่าครั้งนี้เจ้าคงต้องชะตาขาดแล้ว เจ้าเตรียมรับระเบิดอารมณ์ของน้าหญิงได้เลย!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ส่งโทรศัพท์มือถือในมือให้กับฉินตงเฉวี่ยทันที!
  จากการทดสอบของหลิงหยุนนั้นทุกคำถามที่เขาถามไป หนิงหลิงยู่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน และไม่มีท่าทีลังเล หรืออึกอักเลยแม้แต่น้อย
  และอย่างน้อยคำตอบของนางก็ฟังดูมีเหตุมีผล..
  หลิงหยุนไม่มีอะไรจะถามหนิงหลิงยู่อีกแล้วเขาจึงส่งโทรศัพท์ให้กับฉินตงเฉวี่ย แต่นั่นก็ทำให้เขาไม่เชื่อหนิงหลิงยู่อีกต่อไป
  นั่นเพราะหนิงหลิงยู่นับเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดและมีไอคิวสูงยิ่งนักซึ่งหลิงหยุนรู้ดีกว่าใครๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ถามคำถามเหล่านั้นเพื่อทดสอบความผิดปกติของหนิงหลิงยู่เป็นแน่
  “หลิงยู่เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าล้อเล่นกับข้าเช่นนี้เชียวรึ” ฉินตงเฉวี่ยดุหนิงหลิงยู่ทันที
  “น้าหญิง..ตอนนั้นข้ากำลังดูหนังเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวอยู่พอดี ก็เลยเลียนเสียงตอบกลับไป.. แต่คิดไม่ถึงว่าท่านจะ..”
  “หากเจ้าจะล้อข้าเล่นก็ต้องดูเวลาตอนนั้นพี่ของเจ้าอยู่ต่อหน้าศัตรูที่เก่งกาจมากมาย แต่เจ้ากำลับใช้น้ำเสียงเช่นนั้นตอบกลับมา..”
  หลังจากมั่นใจว่าหนิงหลิงยู่ปลอดภัยและไม่มีอะไรผิดปกติกับนาง ฉินตงเฉวี่ยก็ไม่สามารถอดกลั้นอารมณ์โกรธไว้ได้อีกต่อไป
  “น้าหญิง..นี่ท่านโกรธข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ ข้าผิดไปแล้ว..”
  หนิงหลิงยู่เห็นฉินตงเฉวี่ยโมโหจริงจังเช่นนั้นจึงรีบอธิบายให้นางฟันทันที “ที่ข้าพูดว่าไม่เป็นห่วง ก็เพราะพี่ใหญ่บอกข้าก่อนไปว่า ในสายตาของเขายอดฝีมือเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากมดปลวกที่แค่ยกเท้าเหยียบก็ตายแล้ว.. นี่เป็นคำพูดของพี่ใหญ่จริงๆ ข้าจึงไม่ได้กังวลใจอะไร..”
  ฉินตงเฉวี่ยฟังแล้วถึงกับหันไปทำตาเขียวใส่หลิงหยุนและหลิงหยุนก็เพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆ
  ฉินตงเฉวี่ยจึงตอบกลับไปว่า“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ไม่ควรใช้น้ำเสียงเช่นนั้นกับข้า!”
  “ค่ะน้าหญิงข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก!” หนิงหลิงยู่ยอมรับผิดแต่โดยดี เพราะรู้ว่าฉินตงเฉวี่ยกังวลใจมากจริงๆ
  “เจ้าสำนึกผิดก็ดีแล้ว!”
  ฉินตงเฉวี่ยยังคงถามต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน“แต่หลังจากสิ้นสุดงานชุมนุมชาวยุทธ เจ้าไม่นึกเป็นห่วงพวกเราเลยงั้นรึ ไม่คิดที่จะโทรมาถามไถ่ข้าบ้างรึ? แต่กลับเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในแหวนพื้นที่ตลอดทั้งวันทั้งคืนเช่นนั้น!”   “น้าหญิงหาใช่ว่าข้าไม่เป็นห่วงท่านกับพี่ใหญ่จึงไม่โทรถามไถ่ เพียงแต่ความแข็งแกร่งของพี่ใหญ่ในคืนนั้น ทุกคนในกลุ่มก็ได้เห็นกันหมดแล้ว บทสรุปของงานชุมนุมชาวยุทธในคืนนั้นก็ชัดเจน ข้าจึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง..”
  หนิงหลิงยู่อธิบายเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิด..
  “กลุ่ม!กลุ่มอะไรกัน?”
  “ก็กลุ่มในแอพQQ ที่ตี้เสี่ยวอู๋ตั้งขึ้นมายังไงล่ะน้าหญิง โม่วู๋เตาจัดการส่งคลิปการต่อสู้ในคืนนั้นลงไปในกลุ่มแล้ว ทุกคนต่างก็ได้เห็นกันหมด..”
  “เฮ้อ…”
  หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและหมดความคลางแคลงใจในตัวหนิงหลิงยู่ทันที
  หลิงหยุนลืมเรื่องกลุ่มในQQ ไปเสียสนิท ในเมื่อโม่วู๋เตาอัดคลิปในคืนนั้นไว้ตลอด มีหรือที่เขาจะไม่ส่งให้คนอื่นๆดูด้วย  และในเมื่อหนิงหลิงยู่เห็นเหตุการณ์ในคืนนั้นทั้งหมดแล้วนางยังต้องกังวล และเป็นห่วงอะไรอีกเล่า
  และเหตุผลนี้ก็ฟังขึ้นกว่าเหตุผลที่นางบอกว่าต้องการเลียนเสียงมนุษย์ต่างดาวเสียอีก..
  “อ่อ..เป็นเช่นนี้เองหรอกรึ”
  ในคืนนั้นทุกคนต่างก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการต่อสู้แต่โม่วู๋เตากลับเอาแต่อัดคลิปวีดีโอ หมอนี่วันๆเอาแต่พูดว่าฝึกวิชา แต่ความจริงมีแต่กินกับนอนทั้งวัน หลิงหยุนไม่เคยเห็นโม่วู๋เตาเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในแหวนพื้นที่เหมือนคนอื่นๆเลย เขามันถือติดมือไว้ตลอดเวลา
  หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของหนิงหลิงยู่หลิงหยุนก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อที่จะฝึกวิชาดาราคุ้มกาย
  นี่คือสัญญาณเตือนอะไรหรือไม่นะ
  แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็อดที่จะคิดระแวงไม่ได้!   แต่ในเมื่อหนิงหลิงยู่เองก็สามารถอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจนเช่นนี้หากจะโทษ ก็คงต้องโทษการสื่อสารของโลกใบนี้ที่พัฒนามาได้ก้าวหน้าเร็วเกินไป ทำให้การติดต่อ และการรับรู้ข่าวสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว..
  หนิงหลิงยู่ไม่ได้แปลกไปกระมัง..มันก็เป็นแค่น้ำเสียเท่านั้น!
  แต่ถึงกระนั้นน้ำเสียงเย็นชาของหนิงหลิงยู่ก็ยังคงดังก้องอยู่ในหูของหลิงหยุนและรบกวนจิตใจของเขาไม่น้อย!
  “นางตั้งใจเลียนเสียงมนุษย์ต่างดาวจริงๆงั้นรึ”
  หลิงหยุนต้องการที่จะยืนยันเพื่อความมั่นใจเขาลูบไล้โทรศัพท์ในมืออยู่ครู่หนึ่ง และกำลังคิดว่าจะโทรหาใครดี ในที่สุดก็นึกถึงฉีเสี่ยวชิงเป็นคนแรก และหลิงเย่วเป็นคนที่สอง แต่แล้วเขาก็เก็บโทรศัพท์มือถือไป และเรียกเครื่องมือสื่อสารออกมาติดต่อหาเหล่ากุ่ยแทน
  “เหล่ากุ่ยข้ามีบางเรื่องต้องการให้เจ้าช่วยสืบให้หน่อย เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!”   “ข้าต้องการให้เจ้าสืบเรื่องของหลิงยู่แต่ห้ามบอกเรื่องนี้ให้นางรู้โดยเด็ดขาด!”
  “เจ้าไปสืบดูให้ละเอียดว่าในคืนที่มีงานชุมนุมชาวยุทธนั้น หลิงยู่ได้ไปที่มหาวิทยาลัยหรือไม่ ในเย็นวันนั้นนางเข้าเรียนนวิชาอะไร? รวมทั้งใครคืออาจารย์ผู้สอน? อ่อ.. แล้วก็อย่าลืมสืบมาด้วยว่า ในชั่วโมงนั้นมีการเปิดหนังให้นักศึกษาดูหรือไม่? ถ้ามี หนังที่อาจารย์เปิดให้ดูนั้นคือหนังเรื่องใด? ยิ่งได้รายละเอียดมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!”
  เหล่ากุ่ยเป็นหัวหน้าของเหล่านักรบตระกูลหลิงอีกทั้งยังเป็นหัวหน้าทีมหน่วยข่าวประจำตระกูลหลิงที่หลิงหยุนขอให้เย่ซิงเฉินช่วยฝึกอบรมให้ด้วย หลิงหยุนจึงต้องการอาศัยโอกาสนี้ตรวจสอบการข่าวของเหล่ากุ่ยไปในตัวด้วย
  แม้หนิงหลิงยู่จะสามารถตอบทุกคำถามได้อย่างสมบูรณ์แบบสมเหตุสมผลและไร้ข้อสงสัย แต่หลิงหยุนก็ยังคงต้องการรู้ความจริงอยู่ดี  เพราะความสมเหตุสมผลอาจจะไม่ใช่ความจริงก็เป็นได้!
  หนิงหลิงยู่นั้นสำคัญกับหลิงหยุนมากเขาจึงจำเป็นต้องสืบรู้ความจริงทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจว่าหนิงหลิงยู่ไม่มีปัญหาใดจริงๆ!
  และหากมีปัญหาเกิดขึ้นจริงจะต้องเป็นปัญหาที่ใหญ่มากทีเดียว!