บทที่ 1395 เป็นฝีมือของผู้ใด

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 1395 : เป็นฝีมือของผู้ใด?
  หลังจากที่หลิงหยุนสั่งการเหล่ากุ่ยเรียบร้อยแล้วเขาก็จัดการเก็บเครื่องมือสื่อสาร และเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาที่มืดมิด สายตาจับจ้องอยู่ที่รูปพระจันทร์เสี้ยว ในขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่เงียบๆ..
  ระหว่างนั้นเรือนร่างสมส่วนไร้ที่ติของหลิงหยุนก็กำลังยืนดูดซับเอาพลังจันทราเข้าไปด้วย และเวลานี้แสงจันทราก็ได้สาดส่องลงจากท้องฟ้าสู่ร่างของหลิงหยุนราวกับแม่น้ำสายใหญ่ และค่อยๆพัฒนากายเนื้อของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม
  ภาพของหลิงหยุนเวลานี้หากเขามิได้สวมชุดดำ แต่เป็นเสื้อคลุมยาวแบบที่นักบ่มเพาะสวมใส่กันแล้วล่ะก็ เมื่อมีคนธรรมดาทั่วไปผ่านมาพบเห็นเข้า คงต้องคิดว่าเขาเป็นเทพจากสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน!
  แต่สำหรับหลิงหยุนเวลานี้เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ต่างจากเนื้อหนังที่ห่อหุ้มร่างกายเท่านั้น..
  หลิงหยุนกำลังทบทวนความทรงจำต่างๆเกี่ยวกับหนิงหลิงยู่..
  หลังจากที่เขามาจุติบนโลกใบนี้เขาพบหนิงหลิงยู่ครั้งแรกที่โรงเรียนมัธยมจิงฉู และได้พบว่าร่างกายของนางนั้นเป็นกายทิพย์ ซึ่งแม้แต่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ก็ยังนับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง สักหนึ่งหมื่นปีจะสามารถพบได้สักคนกระมัง..
  ในความเห็นของหลิงหยุนต่อให้ทั้งพ่อและแม่เป็นเซียนทั้งคู่ โอกาสที่จะให้กำเนิดเด็กที่มีกายทิพย์นั้นก็เป็นสิ่งเกิดขึ้นได้น้อยนัก
  หลิงหยุนจำได้ว่าครั้งนั้นเขารู้สึกสุขใจเป็นอย่างมาก..
  และในคืนที่เขาไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิงที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิงนั้นเขาได้ฉกฉวยเอาพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ ทำการชำระล้างร่างกายให้หนิงหลิงยู่ และใช้พลังอมตะนี้เปลี่ยนกายทิพย์ของนางให้เป็นกายอัปสรแทน
  สำหรับหนิงหลิงยู่แล้วนางเป็นคนที่หลิงหยุนสนิทสนมรักใคร่มากที่สุด ซึ่งเหนือกว่าตี้เสี่ยวอู๋ ถังเมิ่ง และคนอื่นๆในชีวิตของเขามาก
  ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงนำหนิงหลิงยู่เข้าสู่เส้นทางของบ่มเพาะตน ถ่ายทอดวิชาดาราคุ้มกายให้กับนาง รวมถึงวิชาคลื่นคงคา และวิชาอื่นๆอย่างมังกรพรางร่างด้วย..
  ก่อนที่จะออกเดินทางจากจิงฉูเป็นครั้งแรกนั้นหลิงหยุนกับมู่หลงเฟยจื่อได้เดินทางไปที่อารามหลิงเจวี๋ย และที่นั่นเขาได้พบกับหลวงจีนเฉวียนจื้อ ทำให้เขาได้รู้ฐานะที่แท้จริงของตนเองจากปากหลวงจีนผู้นี้
  ในค่ำคืนวันหนึ่งเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นคนธรรมดาทั่วไปจะจดจำเพียงแค่ว่า เป็นคืนที่ฝนตกลงมาอย่างหนักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่สำหรับหลิงหยุนแล้ว คืนนั้นเป็นคืนที่เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับคนใกล้ชิดรอบตัวเขา
  จินเหยียวและซือกงถูร่วงตกลงจากหน้าผาสูงพร้อมกัน..
  หลวงจีนเฉวียนหมิงแห่งอารามหลิงเจวี๋ยได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเสียชีวิต..
  หนิงหลิงยู่ซึ่งยังเป็นเพียงทารกนั้นป่วยหนักไร้หนทางรักษาเป็นเหตุให้ฉินจิวยื่อต้องขึ้นเขาไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อารามหลิงเจวี๋ย และที่นั่นนางก็ได้พบกับหลิงหยุน..
  หลวงจีนเฉวียนหมิงได้บอกเล่าฐานะของหลิงหยุนให้กับฉินจิวยื่อรู้ก่อนที่จะสิ้นลมและได้อ้อนวอนให้นางนำหลิงหยุนกลับไปเลี้ยงดู..
  หลังจากนั้นฉินจิวยื่อก็รีบพาหลิงหยุนกลับลงเขาโดยที่ยังไม่ทันได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพร แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านกลับพบว่าหนิงหลิงยู่หายจากอาการป่วยอย่างน่าอัศจรรย์!
  และนับตั้งแต่นั้นมาฉินจิวยื่อก็ได้เลี้ยงหลิงหยุนมา ให้หนิงหลิงยู่เรียกเขาว่าพี่ชายมาโดยตลอด
  แม้ว่าหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่จะต่างบิดามารดากันแต่หลิงหยุนก็เพิ่งจะมารู้จากข้อมูลที่ได้จากจินเหยียวว่า ทั้งหนิงหลิงยู่และเขาต่างก็เกิดในวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน และปีเดียวกัน!
  เด็กน้อยทั้งสองคนรักใคร่กันดั่งพี่น้องมานับตั้งแต่นั้น..
  แต่ช่วงเวลาที่งดงามของเด็กน้อยทั้งสองก็เป็นเพียงแค่เวลาช่วงสั้นๆแปดปีเท่านั้นเพราะหลังจากอายุแปดขวบไปจนถึงสิบสองปี ทั้งคู่ต่างก็ค่อยๆเหินห่างกัน และช่องว่างของความห่างเหินนี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และร้าวลึกลงไปเรื่อยๆ
  เหตุผลก็คือ..เส้นลมปราณหยางเจวี๋ยของหลิงหยุนถูกคนทำลายตั้งแต่ยังเป็นทารก ทำให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้น และก็ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาได้ ทำให้เขาอยู่อย่างท้อแท้สิ้นหวัง
  ในขณะที่หนิงหลิงยู่นั้นกลับเป็นเด็กสาวที่สดใสงดงามไม่ว่าจะไปที่ใดก็ล้วนแล้วแต่ได้รับคำชื่นชมจากผู้คน  ช่องว่างนี้ยิ่งร้าวลึกขึ้นเมื่อทั้งคู่เข้าสู่วัยสิบสองปีแม้แต่ฉินจิวยื่อก็ไม่อาจช่วยลดช่องว่างของเด็กทั้งสองได้ ตลอดเวลาสามปีในวัยมัธยมต้น และอีกสามปีในวัยมัธยมปลาย แม้ทั้งคู่จะเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่กลับห่างเหินกันอย่างมาก
  จนกระทั่งหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นคนเด็กหนุ่มที่เก่งกาจและกล้าหาญ ทั้งคู่จึงได้กลับกลายมาเป็นพี่ชายกับน้องสาวที่รักใคร่กันดังเดิมอีกครั้ง..
  หนิงหลิงยู่คิดอะไรบ้างในช่วงระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้นหลิงหยุนที่เพิ่งมาจุติในร่างเดิมนี้ไม่อาจล่วงรู้ได้ จนกระทั่งในคืนที่ที่เขาหลับไหลและฝันไป ความฝันอันยาวนานนั้นได้หลอมรวมหลิงหยุนจากโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ให้เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับหลิงหยุนในโลกนี้ และในที่สุดเขาก็สามารถจดจำทุกอย่างได้
  แต่หลังจากนั้นหนิงหลิงยู่ก็ต้องเดินทางกลับไปตระกูลฉิน และอีกยี่สิบกว่าวันหลังจากนั้น สองพี่น้องจึงมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งที่ปักกิ่ง
  ในคืนที่หนิงหลิงยู่เข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่และรับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จนั้นมีสิ่งหนึ่งที่หลิงหยุนไม่อยากจะนึกถึง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะลืมเลือนไม่..
  แม้คำพูดนั้นจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรแต่น้ำเสียงของหนิงหลิงยู่นั้นกลับเย็นชาจนผิดสังเกต แต่ครั้งนั้นเขามัวแต่ตื่นเต้นกับการเก็บเกี่ยวรางวัลจากการรับทัณฑ์สวรรค์ของหนิงหลิงยู่ จึงไม่ทันได้คิดอะไรมาก
  แต่ครั้งนี้..น้ำเสียงที่เขาได้ยินจากคลิปนั้น กลับเย็นชากว่าครั้งนั้นนับสิบเท่า!
  สิ่งที่หลิงหยุนไม่อาจลืมได้อีกอย่างในคืนนั้นก็คือสายเทวะสายสุดท้ายที่ฟาดลงมาจากหลุมดำบนท้องฟ้า ในเวลานั้นหากไม่มีพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิที่คอยปกป้องไว้แล้วล่ะก็ สายฟ้าเทวะนั่นย่อมสามารถสังหารหลิงหยุนได้อย่างง่ายดายราวกับมดปลวก..
  คำถามคือ..เป็นฝีมือของผู้ใด  ความจริงหลิงหยุนเคยถามดวงจิตในพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์แล้วแต่เขาก็ได้แต่นิ่งเงียบ และเลี่ยงที่จะตอบคำถาม..
  และในคืนนั้นพู่กันจักรพรรดิก็ได้บอกกับเขาว่า เขาคือคนผู้นั้น!
  ส่วนในคืนที่เขารับทัณฑ์สวรรค์ที่ทะเลจีนตะวันออกนักพรตอาวุโสเล่ยถิงก็บอกกับเขาว่า ปีศาจที่ยิ่งใหญ่มักจุติมาพร้อมกับเทพเจ้า..
  แม้หลิงหยุนจะไม่ประกาศตนแต่ภายในใจของเขานั้นรู้ดีว่าตนเองก็คือคนผู้นั้น!
  ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับแต่เมื่อมาจุติใหม่บนโลกใบนี้ หลิงหยุนก็เริ่มฝึกฝนบ่มเพาะตนอย่างเอาจริงเอาจัง!
  และด้วยดวงจิตที่เคยฝึกถึงขั้นอมตะมาแล้วทำให้เขารู้ว่าผู้คนรอบตัวเขานั้นล้วนแล้วแต่มาจุติเพื่อเขาทั้งสิ้น
  ไม่เช่นนั้นแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จู่ๆ จะมีคนที่มีร่างกายเหมาะสำหรับการบ่มเพาะหลายคนมาเกิดในยุคเดียวกัน และในเมืองเล็กๆอย่างจิงฉูพร้อมกันเช่นนี้
  ไม่ว่าจะเป็นตี้เสี่ยวอู๋เฉิงเม่ยเฟิง ฉีเสี่ยวชิง ฉีเสี่ยวหง รวมทั้งศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้ง 72 คน และอีกมากมาย แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศที่หาได้ยากยิ่ง หากในเมืองหนึ่งพบเพียงแค่คนหรือสองคนก็นับว่ามากพอแล้ว..
  เหตุการณ์เช่นนี้สามารถอธิบายได้เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวคือ..มาเพื่อสร้างช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์!
  หลิงหยุนเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าเขาไม่ได้รับทัณฑ์สวรรค์ล้มเหลว สายฟ้าเทวะสีม่วงอันน่าสะพรึงกลัวเส้นสุดท้ายนั้น เขาเป็นผู้ที่วิ่งเข้ารับเองด้วยซ้ำไป และสามารถที่จะขึ้นสู่ความเป็นเทพได้แล้ว..
  แต่ใครบางคนกลับปฏิเสธไม่ยอมให้เขาขึ้นไปเป็นเทพได้และได้อาศัยช่วงจังหวะนั้นสังหารเขา!
  และคนผู้นั้นยังคอยตามจัดการกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ว่าจะเป็นทัณฑ์เมฆาหลากสีที่เกาะเตียวหยู สายฟ้าเทวะที่บ้านเลขที่-1 แม้กระทั่งทัณฑ์อสุนีบาตห้าธาตุที่ทะเลจีนตะวันออก…
  “นี่ข้าไปล่วงเกินผู้ใดเข้าจึงได้ถูกตามสังหารไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้”
  หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกหงุดหงิดหลังจากที่ใคร่ครวญเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของตนบนโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่!
  โลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่..
  โลกมนุษย์..
  ประเทศจีน..
  หลิงหยุนรู้ดีว่าทุกคนรอบตัวเขาเวลานี้ล้วนแล้วแต่ข้องเกี่ยวกับเขาทั้งสิ้น และผู้ที่เกี่ยวข้องผูกพันกับเขามากที่สุดก็คือหนิงหลิงยู่!
  และด้วยเหตุนี้เขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องผิดพลาดกับหนิงหลิงยู่โดยเด็ดขาด หลิงหยุนจึงไม่ยอมปล่อยให้เหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านเลยไปเฉยๆ และได้ให้เหล่ากุ่ยไปสืบความจริงดูอีกครั้ง
  แต่ถึงอย่างนั้นข้อมูลจากเหล่ากุ่ยฝ่ายเดียวอาจจะยังไม่เพียงพอ เขาจำเป็นต้องรู้ว่า ก่อนและหลังที่หนิงหลิงยู่เกิดนั้น มีปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้นบ้าง..
  และเรื่องเหล่านี้มีเพียงคนผู้เดียวเท่านั้นที่จะบอกเขาได้ ซึ่งก็คือฉินจิวยื่อ!
  เมื่อคิดได้เช่นนี้แววตาของหลิงหยุนก็เป็นประกายวูบขึ้นมาทันที เขาแทบไม่สามารถอดทนรอที่จะรีบไปช่วยแม่ของเขาได้
  “หลิงยู่เจ้าคงคิดว่าข้าวางใจเรื่องนี้แล้วสินะ!”
  ในเวลานั้นฉินตงเฉวี่ยกับหนิงหลิงยู่ก็ได้สนทนากันอยู่ราวยี่สิบกว่านาที และทั้งคู่ก็ยังคงคุยกันไม่หยุด เวลานี้ฉินตงเฉวี่ยไม่ได้รู้สึกโมโหอีกแล้ว แต่กำลังพูดคุยกับหนิงหลิงยู่อย่างอารมณ์ดี  “หลิงยู่เจ้ารู้หรือไม่ว่าน้ำเสียงของเจ้าในคลิปทำให้ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าตกใจมากเพียงใด พวกเราคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าเสียอีก วันหน้าอย่าเล่นอะไรแบบนี้อีกล่ะ!”
  “เรื่องที่เจ้าจะไปช่วยแม่ของเจ้าพร้อมกับพวกเรานั้นข้าตัดสินใจไม่ได้ เจ้าต้องถามพี่ใหญ่ของเจ้า..”
  ระหว่างที่พูดนั้นฉินตงเฉวี่ยก็ได้เหาะขึ้นไปบนฟ้า พร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือให้กับหลิงหยุนคุยกับหนิงหลิงยู่..
  หลิงหยุนรับโทรศัพท์มาพร้อมกับเอ่ยทักทาย“ว่าอย่างไรรึหลิงยู่”
  “พี่ใหญ่น้าหญิงบอกว่าพรุ่งนี้พี่กับจะออกเดินทางไปเทียนซานช่วยท่านแม่ ข้าต้องการไปกับพี่ด้วย..”
  “เอ่อ..”หลิงหยุนแสร้งทำเป็นลังเลใจ
  และความจริงแล้วในการเดินทางไปช่วยฉินจิวยื่อวันพรุ่งนี้เขาได้จัดการคัดเลือกคนที่จะไปปฏิบัติภารกิจครั้งนี้แล้ว แต่กลับไม่มีชื่อหนิงหลิงยู่แม้ตั้งใจว่าจะต้องพานางไปด้วยก่อนหน้านี้ก็ตาม..
  นั่นเพราะเขาได้เค้นถามข้อมูลจากตี๋ยั่วถังแล้วจึงได้รู้ว่าภายในสำนักกระบี่เทียนซานนั้น มียอดฝีมือด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ แต่ยังไม่มีผู้ใดเข้าสู่ขั้นรากฐานเลยสักคน
  เพียงแค่ลำพังความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ก็สามารถบุกเข้าไปสำนักกระบี่เทียนซานช่วยฉินจิวยื่อได้ไม่ยากแล้ว
  ฉะนั้นการไปช่วยฉินจิวยื่อครั้งนี้ของหลิงหยุนจึงไม่ต่างจากการไปท่องเที่ยวสำนักกระบี่เทียนซานเลยแม้แต่น้อย แทบไม่จำเป็นต้องพาหนิงหลิงยู่ไปด้วย ทำให้นางต้องเหาะกลับไปกลับมาลำบากเสียเปล่า..
  แต่เวลานี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วหลิงหยุนต้องการพานางไปด้วย เพราะต้องการอาศัยโอกาสนี้ สังเกตความผิดปกติของหนิงหลิงยู่ เพราะการที่จะเข้าใจผู้ใดสักคน วิธีที่ดีที่สุดคืออยู่กับคนผู้นั้นให้นานที่สุด
  อีกทั้งด้วยขั้นพลังของหนิงหลิงยู่เวลานี้ไม่ว่าจะเหาะมาจิงฉู หรือกลับไปตระกูลฉิน หลิงหยุนก็ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงในความปลอดภัยของนาง
  แต่เมื่อหลิงหยุนกำลังจะตอบตกลงและนัดหมายฉินตงเฉวี่ยกลับส่ายหน้า และสายตาของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่าให้เขาปฏิเสธนางไป
  หลิงหยุนนึกแปลกใจอย่างมากจึงได้เอ่ยถามฉินตงเฉวี่ยผ่านทางกระแสจิต
  –เหตุใดจึงไม่ต้องการให้นางไปด้วยงั้นรึ-
  ��