ตอนที่ 1228

Alchemy Emperor of the Divine Dao

เมื่อหยุนหยงหวัง คังซิวหยวนและเฉินหลุยจิงเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่มีวันลืมเรื่องของดินแดนฮงเทียน ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามอย่างหนักและหวังจะโค่นห้านิกายโบราณสักวันหนึ่งเพื่อปลดปล่อยหลายร้อยล้านชีวืตในทวีปฮงเทียน

ตอนนี้พวกเขาสองคนกลายเป็นนักปรุงยาระดับห้า ส่วนเฉินหลุยจิงกลายเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลาง ถ้าพวกเขาพยายามเช่นนี้ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อก็อาจมีสักวันหนึ่งที่พวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับห้านิกายโบราณ

นี่คือความหมายของการมีชีวิตอยู่ของพวกเขา

ทว่าตอนนี้กลับมีคนบอกพวกเขาว่าทวีปฮงเทียนขึ้นมาบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผ่านการเปิดสวรรค์ นี่ทำให้พวกเขาตกตะลึงมาก เช่นนั้นต่อไปนี้พวกเขาควรทำอะไรดี?

“ล…แล้วห้านิกายโบราณสาขาย่อยที่อยู่ในทวีปฮงเทียนล่ะ?” คังซิวหยวนถาม

“แน่นอน หายไปแล้ว” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หายไปแล้ว!

คังซิวหยวนและหยุนหยงหวังไม่อยากจะเชื่อ ห้านิกายที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในทวีปฮงเทียนหายไปแล้ว?

เมื่อพวกเขาทั้งสองคนจ้องมองหลิงฮันตกตะลึง และเกิดความรู้สึกแปลกๆ พรสวรรค์ด้านปรุงยาของชายหนุ่มคนนี้น่าทึ่งมากและยังมาจากทวีปฮงเทียน ทั้งยังเรียกตัวเองว่าหลิงฮัน จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะนึกถึงอาจารย์

ถึงเวลาจะผ่านไปหมื่นปี แต่ถ้าอาจารย์ของพวกเขายังไม่ตายและทะลวงผ่านระดับทลายมิติแล้วล่ะ? เช่นนั้นเขาก็จะมีอายุขัยเพิ่มมากขึ้นและยังมีชีวิตอยู่!

ชื่อแซ่เดียวกันและยังมีพรสวรรค์ด้านปรุงยาที่ยากจะหยั่งถึง

“เอ่อ…ผู้อาวุโส พวกเราควรจ่ายให้ท่านเท่าไหร่ดี?” คังซิวหยวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

อีกฝ่ายเป็นนักปรุงยาระดับเจ็ด เมื่อเทียบกับตำหนักฮันหลิงแล้วมันมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับเขา

หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ไม่จำเป็น ข้าหลอมเม็ดยาให้พวกเจ้าฟรี”

ทั้งคังซิวหยวนและหยุนหยงหวังต่างก็รู้สึกประหลาดใจ นี่มันมากเกินไปแล้ว!

แค่มีนักปรุงยาระดับเจ็ดอยู่ในตำหนักฮันหลิงของพวกเขา ก็สามารถเพิ่มชื่อเสียงให้กับตำหนักฮันหลิงได้อย่างมากแล้ว แต่เขากลับไม่รับค่าแรงและหลอมเม็ดยาให้ฟรี

นั่นหมายความว่า…ผลประโยชน์ทั้งหมดตกเป็นของพวกเขา

ถึงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนดีเช่นนี้อยู่บนโลก แต่นี่มันดีเกินกว่าที่จะทำใจเชื่อได้

เมื่อพวกเขาถามถึงเหตุผล หลิงฮันเพียงแค่ยิ้มกลับมาและไม่ตอบคำถามของพวกเขา แล้วปล่อยให้ทั้งสองคาใจ

ในทางกลับกัน เฟิงโป๋วหยุน เฮ่อเหลียนเทียนหยุน มู่หลงชิงและติงผิงทำหน้าที่ของตัวเองในการหาข้อมูลเฉพาะของห้านิกายโบราณ รวมถึงที่อยู่ของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะ กาลเวลาผ่านไปนานหนึ่งหมื่นปี…บางทีนิสัยของคนก็อาจเปลี่ยน

ยิ่งไปกว่านั้น อัจฉริยะอย่างพวกเขาจะประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ได้ก็ต่อเมื่อผ่านการต่อสู้จริง ไม่ใช่ปิดด่านฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ตลอดเวลา

ส่วนคนที่อยู่ด้านในหอคอทมิฬอย่างกวงหยวนและชูหวู่จิว พวกเขาสะสมพลังจนมากพอแล้วที่จะทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้า

ดังนั้น หลิงฮันเลยพาพวกเขาไปด้านนอกเมืองเพื่อรับทัณฑ์สวรรค์

ครึ่งวันต่อมา สภาพของทั้งสองคนเหมือนกับถูกฟ้าผ่าเกือบตาย ถ้าไม่ได้เม็ดยาช่วยชีวิตที่หลิงฮันเตรียมเอาไว้ล่ะก็ พวกเขาอาจจะไม่รอดก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าแล้ว!

สำหรับพวกเขานี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ

พวกเขาเองก็สามารถทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าได้!

เขาแบมืออกมา เปรี๊ยง เกิดประกายสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธคนใดก็ต้องหวาดหวั่น สายฟ้านี่มันเป็นไปด้วยแรงกดดันที่น่าเกรงขาม

“หลังจากสังเกตทัณฑ์สวรรค์อยู่หลายครั้ง ในที่สุดข้าก็เข้าใจเศษเสี้ยวพลังสายฟ้าของทัณฑ์สวรรค์!” หลิงฮันหัวเราะ และดาบอสูรนิรันดร์ก็ลอยไปมาอยู่บนหัวของเขา ในฐานะที่มันเป็นดาบของหลิงฮัน จึงเป็นธรรมดาที่มันจะมีเจตจำนงของเขาอยู่ ดังนั้น

ตอนนี้แม้จะเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลางทั่วไปก็ต้องคุกเข่าและยอมจำนนต่อพลังสายฟ้าของสวรรค์

ชูหวู่จิวและกวงหยวนรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงอยู่ด้านหน้าหลิงอันและพูดว่า “ขอบคุณนายน้อยฮันเป็นอย่างยิ่ง ความสำเร็จทั้งหมดเป็นเพราะท่าน!”

พูดตามตรง ถ้าพวกเขาไม่ได้หลิงฮันช่วย ระดับพลังของพวกเขาในตอนนี้คงอยู่ที่ระดับห้วงจิตวิญญาณและไม่มีทางบรรลุระดับนี้ได้ตลอดชีวิตที่เหลือของพวกเขา และถ้าไม่ได้ติดตามหลิงฮัน ป่านนี้พวกเขาคงเป็นได้แค่จอมยุทธทั่วไปในจักรวรรดิราชวงศ์ต้าหลิง

พวกเขาโชคดีที่ได้รู้จักหลิงฮัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาเลือกอย่างชาญฉลาดและติดตามถูกคน มิฉะนั้น ทำไมหลิงฮันถึงมีผู้ติดตามแค่สี่คนที่อยู่รอบตัวเขา?

หลิงฮันโบกมือและให้พวกเขาทั้งสองคนลุกขึ้นยืน และไม่ให้ทั้งสองคนฝึกฝนอยู่ในหอคอยทมิฬอีก พวกเขาต้องเดินตามเส้นทางของตัวเองได้แล้ว มิฉะนั้นทัณฑ์สวรรค์ครั้งต่อไป อาจทำให้พวกเขาตายได้

ทั้งสามคนกลับไปที่เมืองต้าหยิง โดยที่ชูหวู่จิวและกวางหยวนในฐานะตัวแทนของหลิงฮันไปอยู่ที่ตำหนักฮันหลิง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาก็สามารถติดต่อหลิงฮันได้ทันที ในขณะที่หลิงฮันกำลังฝึกหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง

หากเขาสามารถหลอมมันได้สำเร็จ เขาก็จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

ชางเย่และหยวนเฉินเหอเองก็ออกจากหอคอยทมิฬ พวกเขาเดินทางไปที่ภูเขานอกเมืองต้าหยิงเพื่อต่อสู้กับพวกโจรและขัดเกลาความสามารถในการต่อสู้ของตัวเอง นั่นเป็นเพราะพวกเขาเก็บตัวฝึกฝนบ่มเพาะพลังนานเกินไป ถ้าไม่ได้ต่อสู้จริงบ้าง มันอาจทำให้พวกเขาไม่ประสบความในอนาคต

ในสถานการณ์ที่สงบเช่นนี้ หลิงฮันยังคงฝึกฝนหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งอย่างต่อเนื่อง

ตามทฤษฎีแล้ว จอมยุทธระดับสุริยันจันทราจะสามารถหลอมเม็ดยาระดับแปดได้ แต่ระดับนักปรุงยาและบ่มเพาะพลังนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางทีนักปรุงยาระดับเจ็ดอาจเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น ส่วนนักปรุงยาระดับหนึ่งเป็นถึงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูง

ระดับบ่มเพาะพลังเป็นเพียงแค่ตัวกำหนดขีดจำกัดของเม็ดยาที่จะหลอมได้ นั่นเป็นเพราะนักปรุงยาต้องใช้ทั้งพลังปราณและพลังของเปลวเพลิง

เมื่อหลิงฮันก้าวเข้าสู่ระดับสุริยันจันทรา เขาจึงตัดสินใจที่จะลองหลอมเม็ดยาระดับแปด และด้วยความสามารถของเขามันไม่ใช่ปัญหาเลยที่จะบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูง ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาที่จะหลอมเม็ดยาระดับเก้า…

……

ตำหนักเป่าหลิน

“โอ้ ตำหนักฮันหลิงมีนักปรุงยาที่มีพรสวรรค์แบบนั้นอยู่ด้วย? แม้กระทั่งปรมาจารย์หลีก็ยังพ่ายแพ้?” หญิงสาวที่งดงามคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างกล่าว เรียวขาของนางขาวเนียบราวกับหยก

เสียงที่อ่อนหวานของนางนั้นฟังดูมีเสน่ห์มากจนผู้คนที่นั่งอยู่ที่นี่รู้สึกนั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่เมื่อพวกเขาคำนึงถึงตัวตนของนาง ก็ไม่มีใครแสดงสีหน้าหยาบคายออกมาให้เห็นและแสดงความเคารพนับถือเมื่ออยู่ต่อหน้านาง

นางคือผู้นำตำหนักเป่าหลินแห่งเมืองต้าหยิง ชื่อของนางคือหลินอวีฉี นางเพิ่งดำรงตำแหน่งผู้นำได้ไม่ถึงสามเดือน และตามข่าวลือว่ากันว่าหลินอวีฉีมีอิทธิพลมากในตำหนักเป่าหลินสาขาหลัก แล้วด้วยเหตุผลบางอย่างนางจึงถูกย้ายมาที่นี่

แล้วใครจะกล้ามีความคิดไม่ดีกับนาง?