หลินอวีฉีกวาดสายตามอง ทำให้ทุกคนนั่งอย่างนิ่งเงียบทันที
สถานะของนางนั้นสูงส่งจนไม่มีใครกล้าล่วงเกิน กระทั่งจ้องมองนางยังเป็นเรื่องยาก – ไม่ใช่ว่านางเป็นคนน่ารังเกียจ แต่นางมีเสน่ห์มากเกินไปจนพวกเขากลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
หากทำเช่นนั้นก็จะเป็นการรนหาที่ตาย
“นายหญิงที่เคารพ สถานการณ์ในปัจจุบันยอดขายของพวกเขาตกลงอย่างน้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะกระแสนิยมของตำหนักฮันหลิง” นักปรุงยาเฒ่าคนหนึ่งกล่าว
หลินอวีฉีเอนกายพิงเก้าอี้และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “หลังจากผ่านไปหลายวัน เจ้ายังไม่คิดวิธีแก้ปัญหาอีกหรือ?”
“นายหญิง การประลองปรุงยาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักปรุงยา พวกเราพ่ายแพ้ให้กับตำหนักฮันหลิงในเม็ดยาระดับสูง ดังนั้นลูกค้าจำนวนมากจึงสูญเสียความมั่นใจตำหนักเป่าหลินของพวกเรา และวิธีการที่จะแก้สถานการณ์เช่นนี้ได้ ท่านจะต้องเอาชนะตำหนักฮันหลิงด้วยการประลองปรุงยา” นักปรุงยาเฒ่ากล่าว
การมาของหลินอวีฉีนั้นยิ่งใหญ่เกินไป แม้แต่ปรมาจารย์นักปรุงยาก็ยังต้องให้เกียรตินาง
“อย่าพูดจาไร้สาระ เจ้ามีวิธีการแก้ปัญหายังไงก็พูดออกมาเร็วเข้า” ฉินอวีฉีโบกมือด้วยความรีบร้อน
ปรมาจารย์เฒ่ากล่าว “มีอยู่สองวิธี” เขาหยุดพูดและพูดต่อว่า “อย่างแรก คนที่ตำหนักฮันหลิงสามารถพึ่งพาได้มีเพียงแค่นักปรุงยาที่ชื่อหลิงฮันคนเดียวเท่านั้น ถ้าเขาสามารถโน้มน้าวเขาได้ เช่นนั้นตำหนักฮันหลิงก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม”
ฉินอวีฉีพยักหน้าและพูดว่า “แล้ววิธีที่สองล่ะ?”
“หลิงฮันเรียกตัวเองว่าเป็นนักปรุงยาระดับเจ็ด ที่พวกเขาต้องทำก็คือเชิญนักปรุงยาระดับแปดมาที่นี่และประลองกับเขา ไม่ว่าจะเป็นการประลองหลอมเม็ดยาระดับเจ็ดหรือระดับแปด พวกเขาก็ชนะอยู่ดี” ปรมาจารย์เฒ่ากล่าว
“อย่างไรก็ตาม ตำหนักหลินเป่าสาขาของพวกเราไม่มีนักปรุงยาระดับแปด ถ้าจะเชิญเขามาที่เมืองต้าหยิงแห่งนี้ อย่างน้อยจะต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือน และถ้าระหว่างทางเกิดการล่าช้าก็อาจจะต้องรอนานไปอีก”
หลินอวีฉีคิดไตร่ตรองอยู่สักพัก จากนั้นนางก็พูดว่า “ดูเหมือนวิธีการทั้งสองที่เจ้าพูดก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ อย่างแรกพวกเราจะโน้มน้าวหลิงฮันก่อน ถ้าเขายินดีที่จะเชื่อฟังก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเช่นนั้นก็สยบเขาซะ”
“ขอรับ!” นักปรุงยาเฒ่าพยักหน้า และเขาเชื่อว่าหลิงฮันจะต้องเห็นด้วย ตราบใดที่เขาไม่ใช่คนโง่
ทว่ามันกลับไม่เป็นไปตามที่เขาคิด แม้แต่หน้าของหลิงฮันก็ยังไม่ได้เห็น ทั้งยังถูกผู้ติดตามทั้งสองคนของหลิงฮันไล่กลับมาอีก หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นถึงหูหลินอวีฉี ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางกลายเป็นโกรธเกรี้ยวทันที และเปลี่ยนไปใช้วิธีที่สองคือเชิญนักปรุงยาระดับแปดมาที่นี่ให้เร็วที่สุดเพื่อสยบหลิงฮัน
แต่น่าเสียดายที่นักปรุงยาระดับแปดติดภารกิจอยู่ ว่ากันว่าพวกเขาได้รับสูตรปรุงยาโบราณมาและอยู่ในระหว่างการศึกษา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ และตำหนักเป่าหลินก็ทำได้แค่จ้องมองดูการเติบโตของตำหนักฮันหลิงในแต่ละวัน
แต่อย่างน้องครึ่งปีไม่ว่านักปรุงยาระดับแปดจะศึกษาสูตรปรุงยาเข้าใจแล้วหรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็ต้องมีเวลาพัก
ในเวลาเดียวกัน หลิงฮันเองก็กำลังศึกษาเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง
ในอดีตเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งถูกเรียกว่าเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา มันไม่เพียงแค่มีประสิทธิภาพน่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังหลอมยากเป็นพิเศษ ความซับซ้อนของมันเทียบได้กับเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขั้นต่ำ
หลังจากผ่านไปครึ่ง ในที่สุดหลิงฮันก็เข้าใจอย่างถ่องแท้
ต่อไปคือการหลอมจริง
หลิงฮันยังคงปวดใจอยู่เล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยหลอมมันสำเร็จมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว มันเท่ากับว่าเขาสูญเสียผลราชาพิรุณสีชาดอย่างสูญเปล่า
แต่ถ้าเขาไม่หลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง มันก็จะสูญเปล่ายิ่งกว่าที่เก็บเอาไว้เฉยๆ
หลังจากที่พยายามหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งอยู่หลายครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือ
ล้มเหลว! ล้มเหลว! ล้มเหลว! ล้มเหลว!
เม็ดยาระดับแปดหลอมได้ยากเป็นอย่างยิ่ง แม้หลิงฮันจะเข้าใจวิถีการหลอมเป็นอย่างดีแล้ว แต่ในการหลอมจริง มันก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ดี
หลิงฮันเริ่มเคร่งเครียด ผลพิรุณสีชาดที่เขามีเริ่มลดลงเรื่อยๆ จากหนึ่งร้อยยี่สิบเก้าเป็นแปดสิบเจ็ด นี่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาล้มเหลวไปทั้งหมดกี่ครั้ง
จนกระทั่งเหลือผลราชาพิรุณสีชาดสี่สิบหกผล ในที่สุดหลิงฮันก็หลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งสำเร็จ
แต่แค่หนึ่งเม็ดเท่านั้น!
มันไม่ใช่เพราะความสามารถของเขาไม่ถึง แต่เป็นเพราะเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งสามารถหลอมได้เตาละหนึ่งเม็ดเท่านั้น คุณภาพของมันไม่ได้วัดจากปริมาณที่หลอมสำเร็จ
ใช่ ในที่สุด!
หลิงฮันส่งเสียงหัวเราะ เขาไม่รีบใช้เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งนี้ทันที แต่กลับนั่งลงบนพื้นและสรุปข้อผิดพลาดทั้งหมดจากการปรุงยาครั้งนี้ แล้วนิสัยนี้เองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามีความก้าวหน้าในศาสตร์ปรุงยาเป็นอย่างมาก
ด้วยความช่วยเหลือจากต้นสังสารวัฎ ทำให้เขาเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
อีกสองวันต่อมา หลังจากที่สรุปข้อผิดพลาดของตัวเองเสร็จ เขาก็เริ่มหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งต่อ
ในเมื่อเขาเคยหลอมสำเร็จมาแล้ว เม็ดยาที่หลอมก็เริ่มมีคุณภาพสูงขึ้นทีละเล็กน้อย
หลิงฮันยิ้มกริ่ม ถ้าเขาใช้เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ระดับบ่มเพาะพลังของเขาก็จะเพิ่มสองขั้นเล็ก และนั่นจะทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอีกสองดาว
อย่างไรก็ตาม ถ้าเขากินเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งหนึ่งเม็ดจะต้องใช้เวลาดูดซับสามวัน หลิงฮันคิดว่าเขาเก็บตัวมานานมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าคงได้เวลาออกไปเพื่อดูสถานการณ์โลกภายนอก
เขาออกมาจากหอคอยทมิฬ และทันทีที่ผลักประตูห้อง ชูหวู่จิวก็รีบวิ่งมาหาด้วยท่าทางตื่นตระหนก “นายน้อยฮัน ในที่สุดท่านก็ออกมาสักที!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ตำหนักเป่าหลินกลับมาท้าประลองอีกครั้ง และพวกเขาต้องการประลองกับนายน้อยฮัน” ชูหวู่จิ่วกล่าว “การประลองเกิดขึ้นตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว แต่นายน้อยฮันไม่ออกมาสักที ตอนนี้ทุกคนจึงคิดว่านายน้อยฮันหวาดกลัวจนไม่กล้าออกมา”
หลิงฮันอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาไม่เคยให้ความสนใจความคิดเห็นของคนอื่น ในเมื่อเขารู้ตัวของตัวเอง แล้วจะสนความคิดของคนอื่นไปทำไม?
“หากเป็นเช่นนั้นไปที่ตำหนักฮันหลิง!”
หลิงฮันไปที่ตำหนักฮันหลิง และเมื่อมาถึงเขาก็พบว่าลูกค้าที่มาซื้อเม็ดยาแทบจะไม่มี ราวกับเป็นตำหนักร้าง
ดูเหมือนชื่อเสียงของตำหนักฮันหลิงที่สะสมเอาไว้ก่อนหน้านี้จะหายไปเพราะทุกคนคิดว่าหลิงฮันไม่กล้าออกมาประลอง
“ผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็ออกมาสักที!” เมื่อเห็นหลิงฮัน หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ก่อนหน้านี้พวกมันมาที่นี่เพื่อท้าพวกเราประลอง ถ้างั้นวันนี้พวกเราจะไปที่ตำหนักเป่าหลินและท้าพวกมันประลองอีกครั้ง!”
“ไปกันเลย!” หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น