ตอนที่ 550 นานวันเข้าเกิดเป็นความรัก

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

สีหน้าของท่านบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ยิ่งทียิ่งอึมครึม เขาโบกมือ ปัดปลายนิ้วเรียวบางที่สัมผัสเบาๆบนหน้าผากของตนเองออกไป ดวงตาหงส์คู่นั้นยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง 

 

 

“อยู่ในสำนักหยินหยาง อย่างได้เอ่ยเรื่องอันไร้สาระ” 

 

 

เขาทำท่าเคร่งขรึม ดูไม่ตลกเลยสักนิด แถมยังนั่งลงที่ข้างโต๊ะอ่านหนังสือด้วยสีหน้าที่สูงส่งและเย็นชาต่อไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเก็บมือกลับมา โดยมิได้โกรธเคือง 

 

 

ตลอดทางที่ติดตามเขากลับมายังสำนักหยินหยาง นางก็คุ้นเคยกับนิสัยนี้ของเขาเสียแล้ว 

 

 

ทำตัวสูงส่งเย็นชาไร้อารมณ์ ความคิดก็เคร่งครัดโบราณอย่างยิ่ง 

 

 

หากเปรียบเทียบกับท่านอาจารย์แล้ว ก็นับว่าไม่ต่างกันเท่าไร 

 

 

แต่ว่าดวงหน้านั้น กลับมีรูปโฉมที่งดงามอย่างร้ายกาจ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ใบหน้าเช่นนี้ สมควรเป็นของผู้ที่เจ้าเล่ห์โปรยเสน่ห์อย่างเหลือเฟือต่างหาก แต่ว่ารูปโฉมกับอุปนิสัยของเขากลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง 

 

 

อุปนิสัยเช่นนี้ น่าเบื่อที่สุด 

 

 

นางดึงร่างที่โน้มออกไปกว่าครึ่งกลับมา นั่งลงที่ข้างโต๊ะเตี้ยนั่นอย่างเรียบร้อย 

 

 

ดวงตาดอกท้อจับจ้องไปที่เขา ข้อศอกซ้ายชันอยู่บนโต๊ะเตี้ย ฝ่ามือก็เท้าคางเอาไว้ แทบจะมองดูเขาจนทะลุอยู่แล้ว 

 

 

ขณะที่ถูกนางจ้องมองจนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมานั้น ท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ก็ต้องยอมเอ่ยปากขึ้นมาในที่สุด “ไม่ได้เสียความทรงจำ พวกเราไม่ใช่คนคุ้นเคยกัน” 

 

 

“ก่อนหน้านี้ไม่คุ้น ต่อไปก็ค่อยๆคุ้นเคยกันไปเอง” ดวงหน้าของตู๋กูซิงหลันมีรอยยิ้มน้อยๆ ในใจก็ทำการสำรวจไปเรื่อยๆ สัญชาติญาณของนางจะต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน 

 

 

บนร่างของคนผู้นี้…..มีกลิ่นอายของท่านอาจารย์และเสี่ยวเฉวียนเฉวียน 

 

 

นางยกมุมปากขึ้นมา ถามออกไปอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่เคยได้ยินประโยคหนึ่งมาหรือไม่?” 

 

 

“หืม?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มหวานออกมา เอ่ยออกไปว่า “นานวันเข้าก็เกิดเป็นความรัก” 

 

 

รอยยิ้มของนางก็มีเล่ห์กลอย่างยิ่ง คำพูดนี้เหมือนเข้าหูท่านบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ไป ก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

“เจ้าสำนักเช่นข้าไม่มีเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา ไม่มีทางเกิดจิตปฏิพัทธ์กับเจ้าได้” เขาเงียบขรึมไปอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ยอมเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง 

 

 

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เห็นว่าเขาจะมีท่าทีต้องการผลักใสนางออกไปแม้สักครึ่งคำ 

 

 

ทั้งยังอนุญาตให้นางติดตามจากวังตันติ่งกงมาที่สำนักหยินหยาง 

 

 

แถมยังให้สิทธิพิเศษที่ผู้อื่นแม้แต่ฝืนก็ยังไม่กล้า ปล่อยให้นางเข้ามากระโดดโลดเต้นอยู่ด้านในราวกับจิ้งจอกน้อยเจ้าเล่ห์ ในห้องของเขาได้อย่างตามใจ 

 

 

ชนิดที่เรียกว่านางจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น 

 

 

แม้ว่าตู๋กูซิงหลันเองก็รู้ดี แต่นางก็ไม่ได้รีบร้อน เพราะอย่างไรคนก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่มีทางหนีไปไหนได้ 

 

 

นางพึ่งจะมาถึงดินแดนจิ่วโจว ยังไม่มีที่หยั่งเท้า ในเมื่อสวรรค์เมตตาให้ได้พบกันอย่างบังเอิญเช่นนี้ ก็รั้งอยู่ที่ข้างกายเขานี่แหละ 

 

 

ต่อให้ความจำเสื่อม ก็ยังคงสามารถใช้เวลา…..ค่อยๆบ่มเพาะความรู้สึกขึ้นมาได้ไม่ใช่หรือ? 

 

 

ใครบอกว่าไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปแล้ว นางไม่มีทางเชื่ออย่างเด็ดขาด 

 

 

นางหรี่ดวงตาลงราวกับจิ้งจอกน้อยเจ้าเล่ห์ 

 

 

ตอนนี่ยังไม่ต้องเร่งรัดเอาความจริงเรื่องฐานะของเขาก็ได้ จึงเปลี่ยนเป็นถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านเจ้าสำนักไปที่วังตันติ่งกงด้วยเรื่องใด?” 

 

 

สายตาของเขายังคงอยู่ที่หนังสือ ริมฝีปากแดงขยับน้อยๆ “หากมีคนใช้นามของเจ้าไปแอบอ้างทำเรื่องผิดคุณธรรม เจ้าจะยังนั่งดูโดยไม่สนใจ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันตบลงไปบนขอบโต๊ะเตี้ยในทันที “ถ้าเป็นข้าจะต้องให้เฉือนเนื้อเถือกระดูกมันจนตาย” 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “……” 

 

 

อืม วรยุทธ์ของนางเขาเองก็ได้เห็นมาแล้ว ผู้อื่นยังไม่ทันทำสิ่งใดกับนาง นางก็เล่นงานพวกมันจนเป็นเนื้อบดไปก่อนแล้ว 

 

 

ซ่งชิงอี….ถูกผีกุ่ยหลัวซาฉีกเนื้อออกมาทีละชิ้นๆทั้งเป็น จุดจบของนางแม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือสภาพสมบูรณ์  

 

 

“ข้าก็ว่าแล้วไง พวกเรามีวาสนาต่อกันอย่างลึกล้ำหรือไม่จริง?” ตู๋กูซิงหลันอมยิ้มอยู่ในหน้าตลอดเวลา 

 

 

“คนของวังตันติ่งกงเห็นว่าข้าหน้าตาดี ก็เล่นจับข้ามาปรุงยา ถึงได้บังเอิญพบกับเจ้าที่มาสะสางความชั่ว อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ อ้ายย่าห์…. บางครั้งพรหมลิขิตก็ช่างเป็นเรื่องเหมาะเจาะจริงๆ….” 

 

 

นางสูดลมหายใจยาวๆช้าๆ ใช้ประกายตามองดูเขา 

 

 

อืม ท่านเจ้าสำนักยังคงทำตนเป็นสุนัขแก่เฝ้าบ้าน สีหน้าแววตาไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด 

 

 

“ดึกมากแล้ว นอนเถอะ” กระทั่งเมื่อพระจันทร์คล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว เขาถึงได้ขยับแขนเสื้อ โบกเทียนที่มีอยู่เพียงเล่มเดียวในห้องให้ดับไป 

 

 

ทั้งยังไม่สนใจว่าในห้องมีคนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ลุกขึ้นเดินไปที่เตียงด้วยตนเอง เอนตัวลงนอนอย่างช้าๆ  

 

 

ตู๋กูซิงหลันอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องลงมาผ่านหน้าต่าง ยื่นศีรษะไปดู พลางถามอย่างจริงจังว่า  

 

 

“ท่านเจ้าสำนัก ตอนนอน เจ้าไม่ต้องถอดเสื้อผ้าหรือ?” 

 

 

“ไม่ถอด” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “….” 

 

 

ให้ตายเถอะ พูดมากอีกสองคำมันจะตายหรืออย่างไร! 

 

 

นอนโดยไม่ถอดเสื้อผ้า แล้วมันจะเรียกว่านอนได้อย่างไร? 

 

 

ก็นางยังคงครุ่นคิดถึงบั้นเอวของเขาอยู่เลย เห็นเขาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับ ต่อให้อยากจะตีคน แต่ก็หาข้ออ้างไม่ได้ 

 

 

อย่างไรก็ต้องใช้หลักฐานแทนคำพูดสินะ 

 

 

“อย่าได้คิดอะไรให้วุ่นวายไป ข้ามิใช้ผู้ที่เจ้าเฝ้าฝันถึง” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่คล้ายจะอ่านใจของนางออก จึงได้เอ่ยออกมาอีกประโยคหนึ่ง 

 

 

พอสิ้นเสียงเขาก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้งหนึ่ง อยู่ๆก็มีฉากกันลมจากที่ใดไม่รู้เลื่อนออกมา 

 

 

ฉากกันลมสีดำบดบังสายตาของตู๋กูซิงหลันเอาไว้จนหมดสิ้น 

 

 

นางได้แต่นวดขมับ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “พอมีฉากบังลมกั้นแบบนี้ เจ้าดูเหมือนนอนอยู่ในโลงศพเลย ไม่เอาน่า” 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “….” 

 

 

หากว่าเป็นไปได้ล่ะก็ เขาอยากจะเย็บปากนางเสียจริงๆ 

 

 

แต่อย่างไรก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจตู๋กูซิงหลันอยู่ดี 

 

 

นับตั้งแต่ที่เขามายังดินแดนจิ่วโจว ก็ไม่เคยหลับสนิทได้สักครั้ง 

 

 

ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอมีนางอยู่ข้างกาย แค่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกฮว๋ายฮวา ก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้ว 

 

 

ครั้งนี้จึงหลับรวดเดียวจนถึงสว่างเลย 

 

 

ห้องของเขาตั้งอยู่ทางตะวันออกและหันหน้าไปทางตะวันตก แสงสว่างจึงไม่ได้ส่องเข้ามาตรงๆ 

 

 

ในห้องมักจุดกระถางไฟอยู่เสมอ เพราะเขาออกจะไม่ชอบความหนาว 

 

 

ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา ก็ได้เห็นตู๋กูซิงหลันทำตากลมโตจ้องมองอยู่ด้านข้าง 

 

 

นางนั่งหัวเราะฮิฮะอยู่ที่ข้างเตียงของเขา พลางส่งโจ๊กชามหนึ่งมาถึงตรงหน้า 

 

 

“ท่านเจ้าสำนัก กินข้าวเช้าได้แล้ว” 

 

 

“อ๋อ นี่เป็นอาหารเช้าที่ศิษย์สตรีในสำนักของท่านทำขึ้น ข้าเพียงแต่ยืมดอกไม้ถวายพระเท่านั้น” 

 

 

เมื่อมีฐานะเป็นถึงฮ่องเต้หญิงของแผ่นดิน นางย่อมไม่มีทางได้หัดทำอาหารอยู่แล้ว ชาตินี้ทั้งชาติก็คงเป็นไปไม่ได้ 

 

 

ท่านเจ้าสำนักมองดูนางอยู่แวบหนึ่ง ทันทีที่เขาขยับตัว ตู๋กูซิงหลันเคลื่อนไหวตามจนล้มลงไป 

 

 

ชามโจ๊กในมือหกใส่ร่างของเขาอย่างพอดิบพอดี 

 

 

“อ้ายย่าห์ จริงๆเลยนะ…..ท่านเจ้าสำนักผลักผู้อื่นทำไมกัน……” 

 

 

เอาชามมาชนเช่นนี้ทำเอาผู้อื่นคิดอยากจะจับนางคว่ำกับพื้นแล้วตีหนักๆสักรอบ 

 

 

แต่เพราะว่าด้านนอกดันมีศิษย์ที่ขวัญกล้าหลายคนคอยดักฟังอยู่ 

 

 

พอได้ยินเช่นนี้ก็เป็นเรื่องแล้ว 

 

 

ปกติแล้วท่านเจ้าสำนักจะเย่อหยิ่งเย็นชา ต่อให้เป็นโฉมงามในใต้หล้าก็ยังไม่คิดจะเหลือบดู 

 

 

แต่ว่าตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายรุกคืบ….ไปผลักหนุ่มน้อยที่งดงามผู้นั้น? 

 

 

ดังนั้นทุกคนจึงตกใจขึ้นมา 

 

 

………………… 

 

 

 

 

 

ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันถือผ้าเช็ดหน้าที่ตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ก่อนจะเกิดเรื่อง มือน้อยๆโบกผ้าไปมา เตรียมจะช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับเขา 

 

 

“มามามา พวกเรามาเช็ดกันก่อน เสื้อผ้านี่ก็ต้องถอดออกมา ข้าจะซักให้เจ้าจนสะอาดเอง….” 

 

 

ทางหนึ่งพูดทางหนึ่งเช็ด ทางหนึ่งเช็ดทางหนึ่งก็ถอดไปด้วย 

 

 

เมื่อคืนนี้ นางคิดจะรอให้เขาหลับสนิทแล้วค่อยลงมือ แต่ไหนเลยจะรู้ว่าพอเขาหลับ…..รอบกายก็ปรากฏเขตอาคมขึ้นมา 

 

 

และนางก็ไม่รู้หนทางที่จะปลดผนึกเขตอาคมของเขา เพราะแค่แตะเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้เขาตื่นขึ้นมาได้…. 

 

 

ดังนั้นนางจึงได้แต่นั่งอยู่ข้างโต๊ะเตี้ยตลอดทั้งคืน นั่งมองไปๆก็หลับไปเสียเฉยๆ จนกระทั่งเช้าวันนี้ พวกศิษย์สตรีส่งอาหารเช้าเข้ามาถึงได้ตื่น 

 

 

…………………..