บทที่ 1397 : ค่ายกลที่แข็งแกร่ง
“ซิงเฉินเจ้าอย่าได้กังวลใจไป เรื่องนี้ท่านพ่อของข้าเป็นผู้จัดเตรียมเองทั้งสิ้น ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนกันเองทั้งนั้น จะเรียกว่ารบกวนได้อย่างไรกันเล่า”
“อีกอย่างตั้งแต่สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้เปิดหให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้นั้น ที่นี่ก็จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากมาย พวกเราตระกูลฉินเริ่มคุ้นเคยมากแล้ว..”
ฉินตงเฉวี่ยอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มหลังจากได้ฟังคำอธิบาย เย่ซิงเฉินก็เพียงแค่พยักหน้า แต่มิได้ตอบอะไร
ระหว่างทางที่ทุกคนในรถนั่งชื่นชมทัศนียภาพด้านนอกไปตลอดระยะทางยี่สิบกว่ากิโลเมตรและในที่สุดก็เข้าสู่เขตหลินถง ซึ่งเป็นเขตที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิองค์แรกของประเทศจีน!
และทันทีที่รถแล่นเข้าสู่เขตหลินถงหลิงหยุนก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอย่างบอกไม่ถูก แรงกดดันนี้ดูเหมือนจะเกิดจากปราณมังกร ปราณจักรพรรดิ และพลังหยิน พลังเหล่านี้ล้วนแข็งแกร่งและมีพลัง จนสามารถสะกัดกั้นจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนไว้ได้!
ปกติแล้วจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะสามารถครอบคลุมระยะทางได้ในรัศมีแปดพันเมตรแต่เมื่อเข้าเขตหลินถง จิตหยั่งรู้ของเขากลับถูกสะกัดกั้นไว้ให้สามารถส่งออกได้ในรัศมีไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรด้วยซ้ำไป
“ที่นี่มีค่ายกล!”
หลิงหยุนเอ่ยออกมาทันทีและเขารู้สึกว่าอำนาจของค่ายกลแห่งนี้มีพลัง และแข็งแกร่งเหนือกว่าค่ายกลที่พระราชวังต้องห้ามเสียอีก..
หนึ่งกิโลเมตร..แปดร้อยเมตร.. ห้าร้อยเมตร.. สามร้อยเมตร.. หนึ่งร้อยเมตร!
เมื่อรถค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้บริเวณสุสานจักพรรดิจิ๋นซีนั้นจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็ถูกสะกัดกั้นให้มีรัศมีที่ค่อยๆหดเล็กลงเรื่อยๆ แม้แต่รัศมีที่เหลือเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรก็อันตธานหายไปด้วย..
และด้วยเหตุที่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งนี้มีอายุนานมากกว่าสองพันปีพลังหยินในบริเวณนี้จึงค่อนข้างแข็งแกร่งยิ่งนัก คนธรรมดาย่อมไม่สามารถสัมผัสได้ แต่หลิงหยุนนั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจน!
แต่ถึงแม้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะถูกสะกัดกั้นไว้จนไม่อาจใช้ได้แต่เขากลับไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจนัก เพราะเวลานี้เขากำลังดูดซับเอาปราณมังกร ปราณจักรพรรดิ และพลังหยินที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับตนเองเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
“นี่..จิตหยั่งรู้ของข้าถูกสะกัดกั้นจนใช้ไม่ได้อีกแล้ว!” โม่วู๋เตาร้องตะโกนออกมาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“ข้าเองก็เช่นกัน!”เย่ซิงเฉินเอ่ยตามมา
“พี่หลิงหยุน..ข้า.. ข้า..”
คนที่แย่ที่สุดดูเหมือนจะเป็นไป๋เซียนเอ๋อเพราะหลังจากที่รถเคลื่อนเข้าใกล้บริเวณอันตธานหายไปด้วย..
และด้วยเหตุที่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งนี้มีอายุนานมากกว่าสองพันปีพลังหยินในบริเวณนี้จึงค่อนข้างแข็งแกร่งยิ่งนัก คนธรรมดาย่อมไม่สามารถสัมผัสได้ แต่หลิงหยุนนั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจน!
แต่ถึงแม้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะถูกสะกัดกั้นไว้จนไม่อาจใช้ได้แต่เขากลับไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจนัก เพราะเวลานี้เขากำลังดูดซับเอาปราณมังกร ปราณจักรพรรดิ และพลังหยินที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับตนเองเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
“นี่..จิตหยั่งรู้ของข้าถูกสะกัดกั้นจนใช้ไม่ได้อีกแล้ว!” โม่วู๋เตาร้องตะโกนออกมาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“ข้าเองก็เช่นกัน!”เย่ซิงเฉินเอ่ยตามมา
“พี่หลิงหยุน..ข้า.. ข้า..”
คนที่แย่ที่สุดดูเหมือนจะเป็นไป๋เซียนเอ๋อเพราะหลังจากที่รถเคลื่อนเข้าใกล้บริเวณค่ายกล สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปในทันที และเริ่มซีดลงมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่านางถูกสะกดไว้ด้วยค่ายกล ร่างกายจึงเริ่มอ่อนแอ!
“เซียนเอ๋อนี่เจ้าเป็นอะไรรึ!”
ฉินตงเฉวี่ยเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงนางคิดไม่ถึงว่าไป๋เซียนเอ๋อจะไม่สามารถต้านทานต่อพลังของค่ายกลแห่งนี้ได้
“จอดรถ!”
หลิงหยุนร้องตะโกนสั่งให้คนขับจอดรถทันทีจากนั้นจึงหันไปถามฉินตงเฉวี่ยว่า “ที่นี่ห่างจากสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีเท่าใด”
“หากวิ่งไปตามถนนเส้นนี้ซึ่งมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกก็น่าจะอีกราวหนึ่งกิโลเมตรก็จะถึงทางเข้าสุสานแล้ว!”
“ถ้าเช่นนั้นห้ามตรงไปเด็ดขาดกลับรถ.. กลับไปทางเดิมเดี๋ยวนี้!”
หลิงหยุนร้องตะโกนสั่งเสียงดังเพราะจากอาการของไป๋เซียนเอ๋อเวลานี้ หากยังฝืนขับตรงไปอีก นางต้องคืนกลับสู่ร่างเดิมเป็นแน่!
คนขับรถรีบเลี้ยวรถกลับออกจากเส้นทางเข้าสู่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีทันทีแล้วรีบขับออกจากเขตแดนของค่ายกลอย่างรวดเร็ว
“ขับตรงไปด้านหน้าเรื่อยๆก่อน..”
และเมื่อขับออกไปได้ไกลถึงห้ากิโลเมตรหลิงหยุนก็สั่งให้หยุดรถ จากนั้นทุกคนต่างก็ลงมาจากรถ รวมทั้งแวมไพร์ทั้งห้าด้วย
“แล้วพวกเจ้าล่ะรู้สึกเช่นใดบ้าง”
หลังจากที่เห็นอาการของไป๋เซียนเอ๋อค่อยๆดีขึ้นหลิงหยุนจึงหันไปถามเอ็ดเวิร์ดกับเจสเตอร์แทน
“เจ้านายที่เคารพสุสานจักรพรรดิโบราณแห่งนี้น่ากลัวมากจริงๆ! พวกเราทั้งห้ารู้สึกคล้ายกับถูกพลังงานบางอย่างสะกดไว้ และเป็นพลังงานที่แข็งแกร่งอย่างมาก ทำให้พวกเราไม่สามารถใช้ได้แม้แต่เวทย์มนต์แวมไพร์!” แวมไพร์ทั้งห้าพากันร้องบอกหลิงหยุนเนื่องจากพวกมันก็เป็นปีศาจชนิดหนึ่ง จึงมีอาการไม่ต่างจากไป๋เซียนเอ๋อเลยแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทั้งหมดคงจะไม่สามารถเข้าตระกูลฉินได้!”
หลิงหยุนรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งนี้จึงได้แต่หันไปสั่งหวังชงเซียวว่า
“หวังชงเซียวเจ้าพาแวมไพร์ทั้งห้าไปหาโรงแรมในซีอานพักแทน..”
จากนั้นจึงหันไปทางเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ซิงเฉิน ข้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว เจ้าช่วยพาเซียนเอ๋อไปหาโรงแรมพักในซีอานพร้อมกับหวังชงเซียวจะได้หรือไม่”
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องไปหาโรงแรมให้ยุ่งยาก..”
ฉินตงเฉวี่ยร้องขัดขึ้นจากนั้นจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด “เรื่องสำคัญเพียงนี้แต่ข้ากลับลืมคิดไปได้..” “ทางด้านชานเมืองของซีอานล้วนแล้วแต่เป็นกิจการของตระกูลฉินที่นั่นมีโรงแรมห้าดาวอยู่สองแห่ง พวกเจ้าทั้งหมดไปพักที่นั่นน่าจะสะดวกกว่า..”
หลิงหยุนพยักหน้าเห็นด้วย“ได้.. ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดก็ไปพักที่นั่น!”
จากสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีขยายออกไปโดยรอบในระยะหลายร้อยกิโลเมตรนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเขตอิทธิพลของตระกูลฉินทั้งสิ้น ซึ่งครอบคลุมไปถึงซีอาน และด้านใต้ทั้งหมดของส่านซีเลยทีเดียว
สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนั้นอยู่ห่างจากชานเมืองด้านตะวันออกของซีอานไปราวยี่สิบกว่ากิโลเมตรด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงไม่นึกแปลกใจเมื่อฉินตงเฉวี่ยบอกว่า พื้นที่โดยรอบนี้ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจของตระกูลฉิน
ในเมื่อสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีมีค่ายกลที่แข็งแกร่งเช่นนี้หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนกะทันหัน ทำให้เกิดฉุกละหุกและโกลาหลเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงเหลือเพียงหลิงหยุนตี้เสี่ยวอู๋ และโม่วู๋เตาที่อยู่ภายในรถ..
หลังจากที่ฉินตงเฉวี่ยลงจากรถไปเพื่อนำกลุ่มของเย่ซิงเฉินกับหวังชงเซียวไปพักที่โรงแรมของตระกูลฉินนั้น โม่วู๋เตาก็รีบหันไปพูดกับหลิงหยุนด้วยแววตาเป็นประกาย
“หลิงหยุนดูเหมือนค่ายกลที่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งนี้ จะแข็งแกร่งกว่าค่ายกลที่พระราชวังต้องห้ามมาก..”
“ถูกต้อง!เจ้าอย่าลืมว่าจักรพรรดิจิ๋นซีเป็นจักรพรรดิองค์แรกงของประเทศจีน สุสานของเขาจะไม่มีการสร้างค่ายกลที่แข็งแกร่งและทรงพลังครอบคลุมไว้ได้อย่างไรกันเล่า”
หลิงหยุนอธิบายจากนั้นจึงเหลือบมองโม่วู๋เตาพร้อมกับกำชับว่า “ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน ห้ามเจ้าเข้าไปจับผีที่นั่นโดยเด็ดขาด และห้ามทำสิ่งใดหากไม่ได้รับความยินยอมจากตระกูลฉิน เข้าไปเดินดูและชื่นชมทโลกในอดีตได้เท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่..”
โม่วู๋เตาพยักหน้า“นี่.. ข้ารู้หรอกน่า! เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วง”
“เช่นนั้นก็ดี!เพราะหากเจ้ากล้าแม้แต่จะคิดทำอะไรนอกลู่นอกทาง รับรองว่าเจ้าตายแน่!”
หลิงหยุนทำเสียงดุข่มขู่โม่วู๋เตาไว้อีกครั้งจากนั้นจึงหันไปมองสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออก หลิงหยุนจ้องมองภูเขาลูกเล็กๆที่ไม่สูงมาก และเขาก็สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ภายใน จึงได้หันไปบอกกับโม่วู๋เตาว่า
“หึ..แค่เจ้าแอบเข้าไปด้านใน ก็คงถูกวิญญาณของทหารนักรบสังหารตายเสียก่อนแล้ว!”
“…..”โม่วู๋เตาถึงกับหวาดกลัวจนพูดไม่ออก
“เสี่ยวอู๋..”
หลิงหยุนคร้านที่จะสนใจโม่วู๋เตาอีกจึงหันไปพูดกับตี้เสี่ยวอู๋แทน “ไว้มีเวลาข้าจะถ่ายทอดวิชาใหม่ให้กับเจ้า..” และหลิงหยุนก็ตั้งใจที่จะถ่ายทอดวิชามังกรทองคะนองและวิชาใต้ปฐพีให้กับตี้เสี่ยวอู๋..
เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่(ขั้นพลังชี่-3) แล้ว อีกทั้งยังฝึกฝนวิชานู่เตาจนสำเร็จขั้นสูงสุดแล้ว หลิงหยุนเห็นว่าสมควรที่จะต้องถ่ายทอดวิชาใหม่ให้กับตี้เสี่ยวอู๋บ้าง
“ขอบคุณพี่หยุน!”ตี้เสี่ยวอู๋เอ่ยขอบคุณหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“ไหนๆพวกเราก็ต้องคอยพวกนางกลับมาข้าว่าเราออกไปเดินเล่นกันหน่อยจะดีกว่า!” หลิงหยุนเอ่ยขึ้น และเดินนำตี้เสี่ยวอู๋กับโม่วู๋เตาลงไปลงไปดูทัศนียภาพโดยรอบ
หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงฉินตงเฉวี่ยกับเย่ซิงเฉินก็กลับมา
“เรียบร้อยดีหรือไม่”หลิงหยุนเอ่ยถามฉินตงเฉวี่ย
ฉินตงเฉวี่ยพยักหน้าพร้อมกับบอกหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิต
–เฮ้อ..นับว่าโชคดีที่เจ้าตัดสินใจได้ทันเวลา เซียนเอ๋อบอกกับข้าว่าเมื่อครู่นางเกือบจะคืนร่างเดิมแล้ว!-
–เป็นความผิดของข้าเอง..-
หลิงหยุนจึงตอบกลับไปว่า“ข้าเองก็คิดเพียงแค่ว่าพลังหยินของเหล่าภูติผีวิญญาณไม่มีผลต่อเซียนเอ๋อ แต่กลับลืมคิดไปว่า ที่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีย่อมต้องมีการสร้างค่ายกลปกปักรักษาไว้!”
และที่หลิงหยุนไม่ให้ไป๋เซียนเอ๋อตามไปปักกิ่งด้วยนั้นก็ด้วยเหตุผลที่ว่าปักกิ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าจักรพรรดิ ต่อให้ไม่มีการสร้างค่ายกล ย่อมต้องมีการร่ายมนต์คาถาเพื่อสะกดเหล่าปีศาจและภูติผีวิญญาณไว้ จึงไม่เหมาะที่จะให้ไป๋เซียนเอ๋อไปที่นั่น
แต่ที่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนั้นเป็นเพียงแค่สุสานโบราณ หลิงหยุนจึงคิดว่าจะไม่มีปัญหาใดกับไป๋เซียนเอ๋อ แต่เขาลืมคิดไปว่า ผู้สร้างสุสานแห่งนี้ย่อมต้องคิดถึงเรื่องโจรผู้ร้าย และยอดฝีมืออีกนับไม่ถ้วนที่คิดจะบุกรุกเข้ามาภายในสุสาน จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างค่ายกลแข็งแกร่งปกปักรักษาไว้อีกชั้น
ตราบใดที่ค่ายกลแห่งนี้ไม่ถูกทำลายไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นใด หากเข้ามาในบริเวณนี้จิตหยั่งรู้ของพวกเขาก็จะถูกสะกัดกั้นไว้ทันที จึงแทบไม่ต้องพูดถึงการใช้พลังเหนือธรรมชาติ แม้แต่เหาะเหินไปมาในบริเวณสุสานแห่งนี้ยังทำไม่ได้ จึงแทบไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่จะบุกรุกทำลายสุสานอีก..
พูดง่ายๆก็คือที่ผ่านมาหลิงหยุนประเมินสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีต่ำเกินไปนั่นเอง!
“เอาล่ะพวกเราล่าช้ากันมากแล้ว ท่านตาฉินคงจะกำลังรอพวกเราอยู่เป็นแน่ รีบไปกันดีกว่า หวังว่าท่านตาฉินจะไม่ดุที่พวกเราไปถึงช้ากว่ากำหนด!”
หลิงหยุนร้องบอกทุกคนแล้วรีบเดินขึ้นรถไปทันที
“เขากล้ารึ!” ฉินตงเฉวี่ยร้องออกมาและทำสีหน้าไม่พอใจนักจากนั้นจึงหันไปพูดกับเย่ซิงเฉิน “ข้าโทรบอกเหตุผลเขาแล้ว ให้เขารอหน่อยจะเป็นไรไป!”
จากนั้นรถตู้คันหรูก็เคลื่อนเข้าสู่รัศมีค่ายกลของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีมากยิ่งขึ้นแต่ครั้งนี้ทุกคนสามารถปรับตัวได้แล้ว และเพียงแค่ห้าหกนาที รถหรูคันยาวก็แล่นผ่านหน้าประตูทางเข้าสุสานซึ่งเป็นจุดชมวิวอย่างช้าๆ..
หลิงหยุนและโม่วู๋เตาเปิดกระจกลงและพากันสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด ทั้งคู่สัมผัสได้ถึงพลังหยินที่แข็งแกร่ง แน่นอนว่าพลังหยินที่นี่ถูกสะสมมานานนับหลายพันปี จึงแข็งแกร่งจนแพร่กระจายออกมาถึงด้านหน้าประตูทางเข้า
‘ช่างเป็นค่ายกลที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!’
ทั้งหลิงหยุนและโม่วู๋เตาต่างก็หันไปมองหน้ากันทั้งคู่ต่างก็คิดเหมือนกันอยู่ในใจเงียบๆ เพราะถึงแม้ว่าพลังหยินที่นี่จะรุนแรงอย่างมาก แต่กลับไปเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวที่เป็นคนธรรมดา เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือที่สร้างค่ายกลแห่งนี้จะต้องเป็นถึงปรมาจารย์อย่างแน่นอน!
ตราบใดที่ผู้เข้ามาท่องเที่ยวชมทัศนียภาพเป็นเพียงคนธรรมดาพลังหยินเหล่านี้จะไม่ทำอันตรายใดๆ แต่หากเป็นผู้บ่มเพาะตนเข้ามา และคิดที่จะกระทำการใดๆต่อสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งนี้แล้วล่ะก็ พลังหยินเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นพลังงานที่ดุร้าย และสังหารคนผู้นั้นตายในทันที
นั่นเพราะค่ายกลแห่งนี้สามารถเลือกปฏิบัติต่อผู้คนที่แตกต่างกันไปได้คนลักษณะต่างกัน ก็มีวิธีการตอบโต้ที่แตกต่างกัน นี่จึงเป็นค่ายกลที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!