บทที่ 1398 : หมู่บ้านตระกูลฉิน
รถคันยาวค่อยๆเคลื่อนผ่านหน้าประตูซึ่งเป็นจุดชมวิวและยังคงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ก่อนจะเลี้ยวซ้ายตรงเข้าสู่หุบเขาเล็กๆแห่งหนึ่ง
ภายในหุบเขาเล็กๆแห่งนี้คือหมู่บ้านและด้านหน้าทางเข้าก็มีป้ายหินที่เขียนไว้ว่า ‘หมู่บ้านตระกูลฉิน’
เมื่อมาถึงบริเวณนี้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็สามารถใช้ได้แล้ว แต่ในรัศมีเพียงแค่สามร้อยเมตรเท่านั้น
แต่หลิงหยุนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ส่วนตี้เสี่ยวอู๋ โม่วู๋เตา และแม้แต่เย่ซิงเฉินนั้น จิตหยั่งรู้ของทั้งสามคนยังคงถูกสะกัดกั้นไว้ไม่สามารถใช้ได้เลยแม้แต่น้อย..
ไม่เพียงแค่จิตหยั่งรู้ที่ถูกสะกัดกั้นเพราะแม้แต่ลมปราณที่หมุนเวียนอยู่ภายในร่างของหลิงหยุนนั้น ก็หมุนเวียนได้ช้าลงอีกด้วย ทำให้ความแข็งแกร่งของเขานั้นลดลงจากเดิมกว่าเจ็ดสิบส่วนเลยทีเดียว!
“ท่านพี่ฉินขั้นพลังของท่านถูกสะกัดไว้หรือไม่”
เย่ซิงเฉินหันไปถามฉินตงเฉวี่ยและเป็นคำถามที่ทุกคนในรถก็อยากรู้คำตอบเช่นกัน
“ย่อมต้องถูกสะกัดกั้นเป็นแน่!”
ฉินตงเฉวี่ยตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วจึงอธิบายต่อว่า “แต่ภายในกายข้ามีสายเลือดตระกูลฉิน การสะกัดกั้นจึงไม่มากมายเหมือนอย่างพวกเจ้า พลังของข้าถูกสะกัดกั้นไว้เพียงยี่สิบหรือสามสิบส่วนเท่านั้น!”
เพียงแค่นั้นเองหรอกรึ!
หลิงหยุนสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเพราะเหตุใดที่ผ่านมาตระกูลฉินจึงสามารถต้านทานทายาทของราชวงศ์จากแคว้นทั้งหกได้ แม้หลายปีที่ผ่านมาตระกูลฉินจะเผชิญกับมรสุมหนักหน่วงมากเพียงใด แต่กลับยังสามารถปกปักรักษาสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งนี้ไว้ได้ แท้จริงแล้วเป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง! ภายในรัศมีของค่ายกลที่ปกปักรักษาสุสานแห่งนี้ยอดฝีมือทั่วไปจะถูกสะกัดกั้นพลังไว้ถึงเจ็ดสิบส่วน ในขณะที่คนตระกูลฉินถูกสะกัดกั้นไว้เพียงแค่ยี่สิบหรือสามสิบส่วน..
หลิงหยุนเชื่อว่าหากเกิดการต่อสู้ภายในสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนี้ ไม่เพียงคนตระกูลฉินจะสามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้ แต่ยังอาจได้รับพลังส่งเสริมจากค่ายกลแห่งนี้ด้วย..
ด้วยเหตุนี้ตราบใดที่ยังต่อสู้อยู่ภายในค่ายกล ตระกูลฉินย่อมเหนือกว่าอย่างมาก!
และเมื่อคิดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนก็เริ่มรู้สึกหวาดหวั่นต่อสำนักกระบี่เทียนซานขึ้นมาไม่น้อย!
นั่นเพราะแม้ตระกูลฉินจะเป็นฝ่ายได้เปรียบถึงเพียงนี้แต่เมื่อสิบแปดปีก่อนสำนักกระบี่เทียนซานกลับสามารถบดขยี้ตระกูลฉินได้อย่างง่ายดาย จนแทบจะทำลายตระกูลฉินให้สิ้นชื่อไปแล้ว นั่นบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวไม่น้อยของสำนักกระบี่เทียนซาน! “จอดรถ!”
ไกลออกไปนั้นหลิงหยุนมองเห็นฉินฉางชิงพาคนกลุ่มใหญ่ออกมายืนเรียงแถว เพื่อรอต้นรับคณะของตน เขาจึงรีบสั่งให้จอดรถ และร้องบอกทุกคนให้ลงจากรถทันที
“ลงจากรถกันได้แล้ว!”
หลิงหยุนเดินนำตี้เสี่ยวอู๋เย่ซิงเฉิน และโม่วู๋เตาเข้าไปทักทายฉินฉางชิง
“ท่านตาฉิน!”
“หลิงหยุนตั้งแต่ที่พวกเราจากกันเมื่อครั้งก่อนข้าก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้พบกับเจ้าอีกครั้ง ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง!”
ฉินฉางชิงเดินเข้ามาจับไม้จับมือหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังด้วยความดีอกดีใจ..
“ท่านตาฉินข้าเองก็คิดถึงท่านมากเช่นกัน อยากจะมาเยี่ยมเยียนท่าน แต่ก็มีภารกิจรัดตัวจนไม่อาจหาเวลามาได้จริงๆ!”
ฉินฉางชิงรีบร้องบอกหลิงหยุนที่แสดงความรู้สึกผิดออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน“หลิงหยุน ในเมื่อเจ้าก็กลับมาถึงบ้านแล้ว เหตุใดยังต้องพูดอะไรเช่นนี้อีกเล่า”
มือข้างหนึ่งของฉินฉางชิงจับมือหลิงหยุนไว้แน่นส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นตบบ่าของเขาเบาๆอย่างอ่อนโยน
หลิงหยุนพบว่าหลังจากที่ฉินฉางชิงกลับมาตระกูลฉินครั้งนี้ ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งเดือนครึ่ง แต่เขากลับสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8ได้แล้ว อีกทั้งยังมั่นคงมากอีกด้วย
และอีกเพียงแค่ครึ่งระดับเท่านั้นก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 และสามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติได้!
หลังจากหลิงหยุนเอ่ยทักทายฉินฉางชิงแล้วคนอื่นๆก็พากันเอ่ยทักทายเขาเช่นกัน
“ท่านตาฉินสบายดีหรือไม่!”
ตี้เสี่ยวอู๋กับโม่วู๋เตานั้นเคยพบฉินฉางชิงที่จิงฉูก่อนหน้านี้แล้วจึงสามารถเรียกเขาว่าท่านตาฉินได้อย่างสนิทสนม
“สบายดีข้าสบายดี!”
ฉินฉางชิงหันไปตอบพร้อมกับยิ้มให้เด็กหนุ่มทั้งคู่เขารู้ดีว่าสองคนนี้คือพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกับหลิงหยุน แต่เมื่อเห็นขั้นพลังของตี้เสี่ยวอู๋กับโม่วู๋เตา ก็ถึงกับเอ่ยออกมาด้วยความตกตะลึง
“โอ้..นี่พวกเจ้าสองคนก้าวหน้าไปได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
“ท่านตาฉินต่อให้พวกเราสองคนก้าวหน้ารวดเร็วเช่นใด ก็ยังไม่สามารถตามหลิงหยุนได้ทัน..” โม่วู๋เตาเอ่ยออกมาอย่างถ่อมตัว
“เย่ซิงเฉินคาราวะอาวุโส!”
แต่เย่ซิงเฉินนั้นแตกต่างจากโม่วู๋เตากับตี้เสี่ยวอู๋นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับฉินฉางชิง จึงได้แต่เอ่ยเรียกเขาว่าอาวุโสแทน
“หลิงหยุนแม่นางเย่ผู้นี้คงจะเป็นศิษย์ของแม่เจ้าสินะ นางเสมือนหงส์ท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์!”
ฉินฉางชิงจ้องมองเย่ซิงเฉินอย่างพินิจพิจารณาแต่กลับไม่สามารถเห็นขั้นกำลังภายในของนาง ในใจจึงได้แต่นึกตกใจไม่น้อย..
เขารู้ว่าเย่ซิงเฉินนั้นคือธิดาพรรคมารแต่เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้
“แม่นางเย่ความสัมพันธ์ของเจ้ากับหลิงหยุน ข้าและคนตระกูลฉินต่างก็รับรู้แล้ว..”
ฉินฉางชิงจ้องมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“เจ้าเองก็ไม่ใช่คนนอก แต่เจ้ากลับเรียกข้าว่าอาวุโส.. ในเมื่อหลิงหยุนเรียกข้าว่าท่านตาฉิน หากเจ้าไม่รังเกียจก็เรียกข้าตามหลิงหยุนเถิดนะ..”
“ท่านตาฉิน!”
เย่ซิงเฉินรีบเปลี่ยนมากเรียกฉินฉางชิงตามหลิงหยุนทันที..
“นั่นล่ะ..ถูกต้องแล้ว! พวกเราในที่นี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนในครอบเดียวกัน!” ฉินฉางชิงย้ำคำว่า‘ครอบครัวเดียวกัน’ เสียงดัง จนคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ได้ยินกันชัดเจนถ้วนหน้า
“ท่านพ่อ!”ฉินตงเฉวี่ยที่ไปอยู่นอกตระกูลฉินมานาน ในเมื่อกลับมาบ้านก็จำเป็นต้องทักทายฉินฉางชิงเหมือนเช่นคนอื่นๆ
“อ่อ..ในที่สุดเจ้าก็กลับบ้านได้แล้วรึ”
ฉินฉางชิงทำเสียงตำหนิลูกสาวแต่ในแววตานั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่อย่างชัดเจน
“หลิงหยุน..มาๆ ข้าจะพาเจ้าไปแนะนำให้รู้จักกับคนตระกูลฉินทั้งหมด!”
ฉินฉางชิงกับฉินตงเฉวี่ยนั้นมักคุยกันได้ไม่นานเขาจึงคร้านที่จะใส่ใจนาง และเดินจูงมือหลิงหยุนไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“หลิงหยุนนี่ล้วนเป็นลูกหลานตระกูลฉินทั้งสิ้น พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นลูกของพี่ชายน้องชายแม่เจ้า วันหน้าเจ้าข้าคงต้องฝากฝังเจ้าดูแลพวกเขาด้วย..” หลิงหยุนจ้องมองไปยังกลุ่มคนนับสิบซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายเกือบทั้งหมด และมีทั้งเด็กหนุ่มกับชายวัยกลางคน ส่วนเด็กสาวอีกสองสามคนก็กำลังยืนจับกลุ่มกัน และจ้องมองมาทางเขา..
หลิงหยุนยิ้มให้กับทุกคนพร้อมกับตอบไปว่า“ท่านตาฉิน ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนในครอบครัวของข้า แม้ท่านไม่เอ่ยปาก ข้าก็ต้องดูแลพวกอยู่แล้ว..”
ฉินฉางชิงเริ่มแนะนำสมาชิกตระกูลฉินให้หลิงหยุนรู้จักทีละคนเขายกมือขึ้นชี้ไปทางชายวัยกลางคน พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“คนผู้นี้คือฉินชุนเฟิงเขาเป็นพี่ชายของท่านแม่เจ้า เจ้าก็ต้องเรียกเขาว่าท่านลุง!”
ฉินชุนเฟิงเป็นลูกชายคนโตของตระกูลฉินและเวลานี้ก็อายุได้สี่สิบแปดปีแล้ว อยู่ในขั้นเซียงเทียน-6 เขาเป็นชายร่างผอมบาง และดูเหมือนจะไม่พิถีพิถันเรื่องการแต่งตัวนัก แม้จะอยู่ในชุดเสื้อผ้าชาวจีนโบราณ แต่กลับยังดูหล่อเหลาและสง่างามไม่น้อย ใบหน้าของเขานั้นเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา
อุปนิสัยใจคอของหลิงหยุนเป็นเช่นใดนั้นฉินชุนเฟิงเคยได้ยินจากฉินตงเฉวี่ยและหนิงหลิงยู่มาก่อนแล้ว
และในเมื่อฉินชุนเฟิงเป็นลูกชายคนโตของตระกูลฉินและเป็นพี่ชายของฉินจิวยื่อ ตามธรรมเนียมแล้วหลิงหยุนควรต้องคุกเข่าคาราวะ..
“หลิงหยุนคาราวะท่านลุงชุนเฟิง!”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ย่อตัวคุกเข่าลงหนึ่งข้างเพื่อทำการคาราวะฉินชุนเฟิง ถึงแม้เขาจะเป็นลูกชายของฉินจิวยื่อ แต่นอกเหนือจากฉินฉางชิงแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดในตระกูลฉินที่จะควรคู่ให้เขาต้องคุกเข่าลงทั้งสองข้างได้
“หลิงหยุนเจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้!”
ฉินชุนเฟิงเอ่ยออกมาและไม่มีทางที่เขาจะยอมให้หลิงหยุนคุกเข่าคาราวะ จึงรีบโน้มตัวลงไปประคองหลิงหยุนไว้ พร้อมกับต่อทันที
“หลิงหยุนต่อให้เจ้าเป็นลูกบุญธรรมของน้องสาวข้า แต่ฐานะของเจ้าเวลานี้เป็นเช่นใดทุกคนย่อมรู้ดี ข้าไม่อาจรับการคาราวะจากเจ้าได้จริงๆ!”
น้ำเสียงของฉินชุนเฟิงนั้นบ่งบอกถึงกความจริงใจเหตุผลก็ชัดเจนตรงไปตรงมา และนั่นทำให้หลิงหยุนและคนอื่นๆ นึกชื่นชมในตัวเขาไม่น้อย
“หลิงหยุนชุนเฟิงเป็นคนชัดเจน เขาไม่อาจรับการคาราวะของเจ้าได้ เจ้าก็ลุกขึ้นเถิด!” ฉินฉางชิงร้องบอกหลิงหยุนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ส่วนนั่นก็ฉินเซี่ยฮัวเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเจ้า แต่แก่กว่าหลิงเสี่ยวพ่อของเจ้าไม่กี่ปี..” ฉินฉางชิงรีบแนะนำลูกชายคนต่อไปทันที
ฉินเซี่ยฮัวไม่ใช่ลูกชายของฉินฉางชิงแต่เป็นหลานชาย และอยู่ในขั้นเซียงเทียน-6 เช่นเดียวกับฉินชุนเฟิง คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่กำยำ บ่งบอกถึงความเป็นคนดุดันกล้าได้กล้าเสีย
ตั้งแต่ที่หลิงหยุนมาถึงนั้นฉินเซี่ยฮัวก็ได้แต่แอบมองหลิงหยุนมาโดยตลอด เพียงแต่หลบอยู่ด้านหลังไม่แสดงตัวออกมาอย่างชัดเจน แต่ในเมื่อฉินฉางชิงเอ่ยแนะนำเช่นนี้ เขาจึงรีบยกมือขึ้นพร้อมกับร้องบอกหลิงหยุนด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ท่านลุง..พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะแนะนำข้าว่าลุงสองเท่านั้น เหตุใดยังเอ่ยชื่อของข้าด้วยเล่า”
ฉินฉางชิงหันไปมองพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า“มีชื่อก็ต้องแนะนำชื่อสิ เหตุใดจึงไม่ให้ข้าแนะนำชื่อของเจ้าเล่า”
‘เซี่ยฮัว..ดอกไม้ในฤดูร้อน เฮ้อ.. ผู้ใดกันช่างตั้งชื่อนี้ให้กับเจ้า!’
หลิงหยุนได้แต่นึกขันอยู่ในใจแต่ก็รีบตรงเข้าไปคาราวะฉินเซี่ยฮัวพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “หลิงหยุนคาราวะท่านลุงสอง..” ฉินชุนเฟิง..ฉินเซี่ยฮัว.. ฉินจิวยื่อ.. ฉินตงเฉวี่ย.. และนี่คือทายาทรุ่นกลางทั้งสี่ของตระกูลฉิน!
เรื่องของฉินเซี่ยฮัวนั้นฉินตงเฉวี่ยได้เคยเล่าให้หลิงหยุนฟังนานแล้ว เขาไม่ชอบให้ผู้ใดเรียกชื่อนี้ของเขามาตั้งแต่เด็ก เพราะชื่อนี้ฟังดูคล้ายกับชื่อของผู้หญิง และเขาก็อยากจะเปลี่ยนชื่ออยู่หลายครั้ง แต่พ่อของเขาไม่ยินยอม และเมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตไปเมื่อสิบแปดปีก่อน ฉินฉางชิงก็ยังห้ามไม่ให้เขาเปลี่ยนชื่ออีก..
“เจ้าเรียกข้าว่าลุงสองก็พอแล้ว..”
ฉินเซี่ยฮัวรีบกระโดดมาข้างหน้าพร้อมกับยกมือห้ามไม่ให้หลิงหยุนเรียกชื่อเขาจากนั้นจึงพูดต่อว่า
“หลิงหยุนพวกเราได้ยินชื่อของเจ้ามานานแล้ว ไว้วันหน้าเจ้าต้องหาเวลามาดื่มกับข้าบ้างล่ะ!”
ฉินเซี่ยฮัวมีนิสัยชอบดื่มหลิงหยุนจึงพยักหน้ารับปากทันที.. “หลิงหยุน..ส่วนนี่ก็ ฉินลี่.. ฉินเหว่ย.. ฉินเฉียง.. ฉินเหยวีน..”
ฉินฉางชิเริ่มแนะนำทายาทในรุ่นหลานของเขาให้หลิงหยุนรู้จักและแต่ละคนก็มีอายุลดหลั่นเรียงลำดับกันไปตั้งแต่ 27ไปถึง 15 ปี และเล็กสุดคือหกขวบเท่านั้น!
ส่วนฉินตงเฉวี่ยก็ทำหน้าที่แนะนำเย่ซิงเฉินตี้เสี่ยวอู๋ และโม่วู๋เตาให้กับคนในตระกูลฉินรู้จัก
หลังจากนั้นฉินฉางชิงก็เดินนำทุกคนเข้าไปในบ้าน..
หมู่บ้านตระกูลฉินนั้นมีพื้นที่กว้างคูณยาวราวหนึ่งกิโลเมตรและตรงกลางมีบ้านเก่าๆหลังหนึ่งตั้งอยู่ ดูเป็นบ้านโบราณเก่าแก่ไม่ต่างจากบ้านตระกูลหลิงในปักกิ่ง..
และบ้านเก่าแก่หลังนี้ก็คือที่พักของฉินฉางชิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลฉินคนปัจจุบันและยังเป็นผู้อาวุโสที่สุดในตระกูลฉินอีกด้วย
รอบๆบ้านของผู้นำตระกูลฉินยังมีบ้านอีกหลายร้อยหลังซึ่งมีขนาดไม่เล็กนัก เป็นบ้านร้างที่ไร้ผู้คนอาศัยมานานหลายปี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ
“หลิงหยุนบ้านหลังนี้อาจจะเก่าไปบ้าง และไม่สะดวกสบายเหมือนกับบ้านของเจ้าที่จิงฉู หวังว่าเจ้าคงจะอยู่ได้นะ..”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมตอบกลับไปทันที“ท่านตาฉิน ข้าชอบบ้านโบราณเช่นนี้มากต่างหากเล่า!”
“งั้นรึ!เช่นนั้นก็ดี..”
ฉินฉางชิงพยักหน้าพร้อมกับเดินจับมือหลิงหยุนเดินนำทุกคนเข้าไปภายในบ้าน..