บทที่ 1399 : ของขวัญ
  ภายในหมู่บ้านตระกูลฉินนั้นบรรดาลูกสะใภ้ต่างก็ไม่ได้ออกไปต้อนรับหลิงหยุนที่ด้านหน้าพร้อมกับคนอื่นๆ ทุกคนต่างก็ง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงต้อนรับคณะของหลิงหยุน
  หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจและพบว่ายังมีอีกสิบกว่าคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับงานภายในบ้าน บ้างก็วุ่นอยู่กับการทำอาหารในครัว บ้างก็อยู่ในสวนฆ่าเป็ดฆ่าไก่แล้วก็ปลา แต่ละคนทำงานไปและคุยกันไปอย่างมีความสุข
  ทันทีที่ฉินฉางชิงเดินเข้าไปยังสวนหน้าบ้านเขาก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “หลิงหยุนกับเพื่อนของเขามาถึงแล้ว พวกเจ้าวางมือจากงานก่อน แล้วรีบออกมาทักทายแขกก่อนเร็วเข้า..”
  “นี่น่ะเหรอหลิงหยุน!หน้าตาช่างหล่อเหลาจริงๆ!”   “คนนี้ล่ะ..ไม่ผิดแน่! ข้าเคยเห็นในคลิปวีดีโองานชุมนุมชาวยุทธ..”
  “ในที่สุดเด็กคนนี้ก็มาที่นี่ครั้งนี้จิวยื่อคงต้องปลอดภัยแน่!”
  ……
  จุดประสงค์ที่หลิงหยุนมาตระกูลเฉินครั้งนี้เพราะต้องการไปช่วยฉินจิวยื่อนั้นทุกคนในตระกูลฉินต่างก็รู้ดี
  “นี่หลิงหยุน..พวกนางเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ล่ะ เจ้าก็อย่าถือสาพวกนางเลย!” หลังจากที่สั่งให้เหล่าผู้หญิงหยุดวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ฉินฉางชิงก็หันไปเอ่ยกับหลิงหยุน
  “ท่านตาฉินเรื่องนั้นข้าเข้าใจดี!” หลิงหยุนตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
  “ก็เพราะพวกนางพูดมากเช่นนี้น่ะสิข้าถึงไม่ให้พวกนางออกไปต้อนรับเจ้าที่ด้านหน้า เกรงว่าจะพูดจาเลอะเทอะหนวกหูเสียเปล่า ก็เลยให้พวกนางเข้าครัวเตรียมอาหารไว้ต้อนรับพวกเจ้า..”
  “ครั้งนี้ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสอาหารพื้นบ้านของส่านซีรับรองว่าเหนือกว่าอาหารในภัตตาคารเสียอีก..”
  “ขอบคุณท่านตาข้าเองก็เชื่อว่าจะต้องรสชาติดีเป็นที่สุดแน่!” หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมตอบกลับไป
  หญิงสาวที่อยู่ภายในบ้านล้วนแล้วแต่อายุมากกว่าหลิงหยุนทั้งสิ้นหลังจากแนะนำตัวกันแล้ว เสียงก็ดังขึ้นราวกับนกกระจอกแตกรัง..
  “นี่ตงเฉวี่ย..เจ้าดูสาวขึ้นนะ!”
  “นั่นสิน้าหญิง..ท่านดูเหมือนเป็นพี่สาวข้ามากกว่าน้าสาวเสียอีก ใบหน้าของท่านเด็กลงราวกับหญิงสาวอายุสิบแปด!”
  เวลานี้นอกจากหลิงหยุนแล้วอีกคนที่เป็นที่สนอกสนใจของหญิงสาวตระกูลฉินก็คือฉินตงเฉวี่ย นางจากบ้านไปนานกว่าครึ่งปี แต่เมื่อกลับมาอีกครั้ง นางกลับดูเด็กลงกว่าเดิมนับสิบปี..
  ส่วนเย่ซิงเฉินนั้นแม้นางจะมาตระกูลฉินครั้งแรก แต่ทุกคนกลับไม่เข้ามาวุ่นวายให้นางรู้สึกรำคาญใจ
  ระหว่างที่หญิงสาวกำลังพูดคุยกันเสียงดังอยู่นั้นฉินเซี่ยฮัวก็บ่นพึมพำออกมา แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ตะโกนสวนขึ้นมาว่า
  “เซี่ยฮัว..เจ้าบ่นพวกข้าพูดจาเสียงดังหนวกหูเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เข้าครัวไปหั่นผักหั่นปลาแทนก็แล้วกัน!”
  “นั่นสิ!”
  และหญิงสาวทั้งสองคนที่พูดสวนขึ้นมานั้นก็คือภรรยาของฉินชุนเฟิงกับฉินเซี่ยฮัวนั่นเองเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำภายในบ้านตระกูลฉิน เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่หัวเราะออกมาเสียงดัง..
  “เฮ้อ..พวกสาวแก่มักเป็นเช่นนี้เสมอๆ!” ฉินเซี่ยฮัวยังคงบ่นพึมพำ
  หลิงหยุนจ้องมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเขาสัมผัสได้ถึงความเรียบง่าย และความรักที่มีภายในตระกูลฉิน ซึ่งยากนักที่จะหาพบตามเมืองใหญ่ๆอย่างเจียงหนาน ปักกิ่ง หรือแม้แต่จิงฉู
  “เอาล่ะๆเข้าไปในบ้านนั่งคุยกันดีกว่า! ส่วนพวกเจ้าก็ไปงานของตนเองต่อได้แล้ว..”
  ฉินฉางชิงพูดขึ้นและหญิงสาวต่างรีบพากันแยกย้ายไปทำงานในครัวต่อทันที และภายในห้องจึงเหลือเพียงแค่กลุ่มของหลิงหยุนกับฉินฉางชิง ฉินชุนเฟิง ฉินเซี่ยฮัว และฉินตงเฉวี่ยเท่านั้น..
  “หลิงหยุนพวกเราต่างก็รู้เรื่องที่เจ้าเข้าร่วมงานชุมนุมชาวยุทธมาบ้างแล้ว แต่ทั้งข้าและลุงทั้งสองของเจ้า ต่างก็ต้องการจะฟังจากปากของเจ้าอีกครั้ง เจ้าพอจะเล่าเหตุการณ์ภายในคืนนั้นทั้งหมดให้พวกเราจะได้หรือไม่” ทันทีที่นั่งลง ฉินฉางชิงก็เอ่ยปากถามหลิงหยุนทันที
  และในเมื่อผู้เฒ่าฉินเอ่ยปากขอร้องเช่นนี้หลิงหยุนจึงไม่มีทางเลือก จากนั้นจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนงานชุมนุมชาวยุทธให้ทุกคนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงเหตุการณ์ที่เขาประมือกับหลงเทียนฟางอย่างเอาเป็นเอาตายหลังจากนั้นด้วย
  ผู้เฒ่าตระกูลหลิงรวมทั้งคนอื่นๆต่างก็นั่งฟังด้วยความตกตะลึง สีหน้าของพวกเขานั้นทั้งตกใจ และตื่นตะลึงราวกับว่ากำลังฟังเรื่องลี้ลับอยู่..
  อีกทั้งการต่อสู้หลังสิ้นสุดงานชุมนุมชาวยุทธนั้นก็ไม่ได้มีอยู่ในคลิปวีดีโอที่โม่วู๋เตาอัดไว้ด้วย
  “เอาล่ะ..”
  ฉินฉางชิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากหลิงหยุนพร้อมกับพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
  “หลิงหยุนหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าเล่ามา ต่อให้ครั้งนี้สำนักกระบี่เทียนซานจะเชิญยอดฝีมือมาช่วย ข้าก็มั่นใจว่าการไปเทียนซานช่วยเหลือแม่ของเจ้าครั้งนี้ จะไม่มีอะไรที่ยากเกินไป!”   และการที่ฉินฉางชิงขอให้หลิงหยุนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมชาวยุทธให้เขาฟังอย่างละเอียดนั้นหาใช่ฟังเพื่อความสนุกสนานไม่ แต่เขาต้องการประเมินความแข็งแกร่งของหลิงหยุนกับสำนักกระบี่เทียนซานต่างหากเล่า..
  หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ“ท่านตาฉินได้โปรดวางใจ เวลานี้นอกจากข้าจะผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วมาแล้ว ยังเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) ด้วยเช่นกัน ข้าเดินทางไปเทียนซานครั้งนี้ มั่นใจว่าจะสามารถถล่มสำนักกระบี่เทียนซานให้ราบเป็นหน้ากอง และจะช่วยท่านแม่กลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่!”
  “เยี่ยม..เยี่ยม..”
  ฉินฉางชิงพยักหน้าพร้อมกับร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจจากนั้นจึงพูดต่อว่า “หลิงหยุน การไปช่วยแม่ของเจ้าครั้งนี้นับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก จำไว้ว่าต้องระมัดระวังตัวให้มาก!”   จากนั้นฉินฉางชิงก็ได้หันหน้าไปทางฉินตงเฉวี่ยพร้อมกับเอ่ยปากถามหลิงหยุนว่า“หากข้าคาดเดาไม่ผิด เวลานี้น้าหญิงของเจ้าน่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลฉินใช่หรือไม่”
  แต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้เอ่ยปากตอบฉินตงเฉวี่ยก็ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ.. เวลานี้ข้าเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะพลัง และสามารถเข้าสู่ขั้นซานฉางชี่ (ขั้นพลังชี่-3) ซึ่งเทียบเท่าขั้นเซียงเทียน-8 ได้แล้ว และพร้อมที่จะเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ได้ทุกเมื่อ..”
  “หึ..”
  แต่ในระหว่างที่ฉินตงเฉวี่ยกำลังโอ้อวดกับฉินฉางชิงนั้นเขาก็ทำเสียงขึ้นจมูกพร้อมกับเอ่ยออกมาว่า
  “ตงเฉวี่ยว..เจ้าไม่พูด ก็คงไม่มีผู้ใดคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!”
  “อุตส่าห์พรากเพียรฝึกฝนมาถึงยี่สิบแปดปีแต่กลับทำลายวรุยทธตนเองทิ้ง เจ้าคิดว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องเล่นๆหรืออย่างไรกัน”
  “หากไม่มีหลิงหยุนเวลานี้เจ้ามิต้องกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้วรึ!”
  ฉินฉางชิงตำหนิบุตรสาวตนเองแต่ลึกลงไปในจิตใจของเขา มันคือความห่วงใย และความเจ็บปวด เพราะหลังจากที่ฉินฉางชิงได้ดูคลิปวีดีโอของโม่วู๋เตา และได้เห็นบุตรสาวทำลายวรยุทธตนเองเช่นนั้น เขาก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอดหลายวัน
  “หึ!ต่อไปไม่ต้องรอให้เจ้าทำเช่นนั้น ข้าจะทำลายวรยุทธของเจ้าด้วยตัวเอง..”
  ยิ่งพูดฉินฉางชิงก็ยิ่งโมโหมากขึ้น..
  “นี่..ข้าก็ฟื้นพลังกลับคืนมาได้แล้ว เหตุใดท่านยังพูดเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น!”
  แม้ฉินตงเฉวี่ยจะถูกบิดาตำหนิแต่นางก็รู้ว่าทั้งหมดที่ฉินฉางชิงพูดออกมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความทุกข์ในใจของเขา นางจึงหาได้ถือสาอะไรมากนัก เพียงแค่ตอบโต้กลับไปบ้าง..   หลังจากนั้น..ทุกคนภายในโต๊ะจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย และหันมาพูดถึงเรื่องอาหารบนโต๊ะแทน
  ระหว่างที่รับประทานอาหารนั้นหลิงหยุนก็เรียกโอสถออกมาสามขวดยื่นให้กับฉินฉางชิง
  “ท่านตาฉินภายในขวดหยกนี้มีโอสถเยาว์วัย และโอสถโฉมสะคราญอยู่อย่างละสิบเม็ด อานุภาพของมันนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกแล้ว..”
  “ส่วนอีกสองขวดนั้นเป็นโอสถเขาหลงหู่สิบแปดเม็ด และโอสถวัดเส้าหลินอีกสิบแปดเม็ด ท่านตาแจกจ่ายให้ตามความเหมาะสมเถิด..”
  ทุกคนในตระกูลฉินต่างก็พากันนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึงเพราะนี่นับเป็นของขวัญที่มีมูลค่ามหาศาลยิ่งนัก!
  แม้แต่ฉินฉางชิงเองยังจ้องมองโอสถทั้งสามขวดด้วยความตกใจเขานิ่งไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยว่า
  “หลิงหยุนแม้ว่าพวกเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ของขวัญพวกนี้.. มัน.. มันมีมูลค่ามากเกินไป ข้าไม่อาจรับไว้ได้!”
  หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“ท่านตาฉิน ในเมื่อท่านพูดเองว่าพวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดยังต้องเอ่ยถึงมูลค่าอีกเล่า”
  ตระกูลฉินต้องเผชิญกับความยากลำบากมานานถึงสิบแปดปีไม่ต่างจากตระกูลหลิงเวลานี้ตระกูลหลิงสามารถกลับมาผงาดได้อีกครั้ง หลิงหยุนจึงตั้งใจไว้ว่า หลังจากที่ช่วยฉินจิวยื่อกลับมาได้แล้ว เขาจะทำให้ตระกูลฉินกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง!
  และนี่คือของขวัญที่หลิงหยุนจะมอบให้กับฉินจิวยื่อที่เลี้ยงดูเขามาตลอดสิบแปดปี!
  ริมฝีปากของฉินฉางชิงสั่นระริกและหลังจากนิ่งไปนานเขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ข้าเข้าใจความปรารถนาดีของเจ้า แต่.. แต่นี่มันมากเกินไป!”   “ท่านตาฉิน..”
  จู่ๆโม่วู๋เตาก็เอ่ยขึ้นมา“โอสถเยาว์วัยกับโอสถโฉมสะคราญนั้น หลิงหยุนจะหลอมขึ้นมาใหม่เมื่อใดก็ได้ ที่จิงฉูนั้น.. แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธ เขาก็มอบให้เป็นของกำนัล”
  “ส่วนโอสถเขาหลงหู่กับโอสถของวัดเส้าหลินหลิงหยุนมีไม่ต่ำกว่าสองร้อยเม็ด หากไม่มอบให้กับท่าน หลิงหยุนจะมอบให้กับผู้ใดได้อีกเล่า”
  “…”ฉินฉางชิงถึงกับนิ่งอึ้งไป
  หลิงหยุนถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง..
  เขาแทบอยากจะจับร่างของโม่วู๋เตาโยนออกไปนอกประตูและเวลานี้ดูเหมือนโม่วู๋เตาจะเมามาก เขามอบของขวัญล้ำค่าเช่นนี้ให้กับฉินฉางชิง แต่คำพูดของโม่วู๋เตากลับทำให้ของขวัญของเขากลายเป็นของไร้ค่าไปในทันที!
  “ฮ่าๆๆ”   ฉินฉางชิงถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังเขาเองย่อมรู้ว่าหลิงหยุนได้โอสถเหล่านี้มามากมายหลังสิ้นสุดงานชุมนุมชาวยุทธ แต่บนโลกใบนี้ สิ่งของที่ล้ำค่าจนไม่อาจประเมินค่าได้สำหรับคนคนหนึ่งนั้น หาใช่จำนวนที่มีอยู่ แต่คือความขาดแคลนของคนคนนั้นต่างหากเล่า ยิ่งขาดแคลนสิ่งใดมาก สิ่งนั้นก็จะยิ่งมีค่ามาก!
  ตระกูลฉินตกต่ำมานานมากกว่าสิบปีและก็ไม่อาจเทียบกับตระกูลหลิงในเวลานี้ได้ ฉะนั้นแล้วโอสถทั้งหมดที่หลิงหยุนมอบให้เขานั้น ย่อมเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับคนตระกูลฉินอย่างยิ่ง ฉะนั้นแล้ว.. หลิงหยุนคำนวณมูลค่าของสิ่งเหล่านี้จากความต้องการของคนในตระกูล หาใช่หลิงหยุนมีเท่าไหร่!
  และในที่สุดฉินฉางชิงก็ยอมรับโอสถทั้งสามขวดของหลิงหยุนไว้ แต่หลิงหยุนกลับยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ท่านตาฉินโอสถพวกนั้นท่านไม่จำเป็นต้องหาที่เก็บ!”   หลิงหยุนเรียกแหวนพื้นที่ออกมา“ท่านตาฉิน นี่คือแหวนพื้นที แม้พื้นที่ด้านในจะไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็น่าจะเพียงพอสำหรับท่านในเวลานี้.. ข้าขอมอบให้กับท่านตา!”
  “หลิงหยุน..นี่.. นี่มัน..”
  ไม่เพียงฉินฉางชิงที่ตกตะลึงทั้งฉินชุนเฟิง และฉินเซี่ยฮัวต่างก็นิ่งไปเช่นกัน..
  “ท่านพ่อในเมื่อหลิงหยุนตั้งใจมอบให้ท่าน ท่านก็รับไว้เถิด!”
  ฉินตงเฉวี่ยรู้นิสัยของหลิงหยุนดีว่าหากเขาตั้งใจจะมอบสิ่งใดให้กับใครแล้ว เขาจะไม่มีทางนำกลับคืนไปเด็ดขาด
  หลังจากที่ฉินฉางชิงรับไว้แล้วหลิงหยุนจึงได้บอกวิธีใช้แหวนพื้นที่ให้กับเขาผ่านทางกระแสจิต..