บทที่ 1400 : ลมปราณแตกซ่าน
การรับประทานอาหารดำเนินไปกว่าสามชั่วโมงและเสร็จสิ้นในราวบ่ายสามโมงครึ่ง หลังจากนั้นฉินฉางชิงก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
“หลิงหยุนจุดประสงค์ที่เจ้ามาตระกูลฉินครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะมาปรึกษาหารือข้าเกี่ยวกับการช่วยแม่ของเจ้าใช่หรือไม่”
ฉินฉางชิงพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจังโดยไม่รอให้หลิงหยุนตอบ“ข้าได้ตัดสินใจแล้วว่า เรื่องการไปช่วยแม่ของเจ้าครั้งนี้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจเองทั้งหมด และไม่ว่าเจ้าตัดสินใจเช่นไร ตระกูลฉินก็จะยอมรับ และยินดีให้การสนับสนุน! เจ้าต้องการให้ข้าจัดเตรียมสิ่งใดให้ ก็บอกมาได้เลย..”
“….”
หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไปนั่นเพราะคำพูดของฉินฉางชิงนั้น เท่ากับยกอำนาจของตระกูลฉินไว้ให้อยู่ในมือของหลิงหยุน หลิงหยุนส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า“ท่านตาฉิน ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านจัดเตรียมสิ่งใดให้ ข้าต้องการรู้รายละเอียดบางอย่างเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลหนิง และสำนักกระบี่เทียนซานเมื่อสิบแปดปีก่อน!”
“ยิ่งข้าได้รู้รายละเอียดมากเท่าใดก็จะยิ่งเป็นการดีมากเท่านั้น!”
แม้ว่าเมื่อครั้งที่ฉินฉางชิงไปจิงฉูก่อนหน้านี้เขาจะได้เล่าเรื่องราวของตระกูลฉินเมื่อสิบแปดปีก่อนให้หลิงหยุนฟังบ้างแล้ว แต่ในครั้งนี้หลิงหยุนจะไปบุกสำนักกระบี่เทียนซาน เขาจึงจำเป็นต้องรู้รายละเอียดของศัตรูมากกว่านี้
“ตกลง..ว่าแต่เจ้าจะเดินทางไปสำนักกระบี่เทียนซานเมื่อใด”
“พรุ่งนี้..”
ฉินฉางชิงขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก“พรุ่งนี้.. ไม่รีบร้อนไปหน่อยรึ” หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแน่วแน่“ท่านตาฉิน ข้าไม่ต้องการให้ล่าช้าไปกว่านี้!”
จากนั้นหลิงหยุนก็อธิบายต่อว่า“หลังจากที่ข้าได้ฟังเรื่องของท่านแม่ที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง ความจริงข้าตั้งใจไว้ว่าหลังจากที่หาตัวท่านพ่อพบแล้ว ก็จะบุกไปเทียนซานต่อเลย แต่หลังจากที่ช่วยท่านพ่อออกมาได้ ที่ปักกิ่งก็เกิดเรื่องราวมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลซันกับตระกูลเฉินที่ร่วมมือกันจัดการกับข้า ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องกำจัดสองตระกูลนี้เสียก่อน..”
“แต่นับว่าเป็นความบังเอิญที่ในการประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลเฉินและตระกูลซันนั้นข้าได้พบกับตี๋ยั่วถังแห่งสำนักกระบี่เทียนซานที่นั่น หลังจากจับตัวมันมาได้ ข้าจึงเค้นถามมัน และได้รู้ว่าสำนักกระบี่เทียนซานเป็นสำนักของผู้ฝึกบ่มเพาะพลัง และภายในสำนักนี้ก็มีผู้ที่เข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่อยู่หลายคน..” “ครั้งนั้นข้าเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่(ขั้นพลังชี่-3) จึงรู้ตัวดีว่า หากข้าร้อนใจบุกไปสำนักกระบี่เทียนซานในเวลานั้น ไม่เพียงจะไม่สามารถช่วยท่านแม่ได้ แต่ยังจะเป็นการทำร้ายท่านแม่อีกด้วย ข้าจึงจำต้องอดทนอดกลั้นมาจนถึงตอนนี้..”
“แต่เวลานี้ข้าไม่เพียงเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) แต่ยังผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วสำเร็จแล้ว ข้าจึงมั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับยอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐานได้ไม่ยากนัก!”
“ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าสำนักกระบี่เทียนซานจะมีรากฐานมายาวนานเพียงใด ข้าก็มั่นใจว่าจะสามารถช่วยท่านแม่ออกมาได้อย่างแน่นอน!”
“ข้าเฝ้ารอเวลานี้มาอย่างใจจดใจจ่อในเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงแล้ว ข้าจึงไม่ต้องการให้ท่านแม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในสำนักกระบี่เทียนซานอีกแม้แต่วันเดียว..”
หลิงหยุนรู้ว่าฉินฉางชิงนั้นเป็นกังวลและห่วงใยในความปลอดภัยของเขา เขาจึงได้บอกเล่าความจริงทั้งหมดให้ฉินฉางชิงฟัง เพื่อให้ชายชราได้มั่นอกมั่นใจ และคลายความกังวล..
หลิงหยุนบอกเล่าให้ฉินฉางชิงฟังเช่นนั้นหาใช่ต้องการอวดอ้างความเก่งกาจของตนไม่ เขาเพียงแค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น เมื่อไม่มั่นใจ เขายังยอมกล้ำกลืนอดทนรอคอย แต่ในเมื่อวันนั้นมาถึงแล้ว เขาก็จะไม่อดทนอีกต่อไปเช่นกัน..
“เยี่ยม!เยี่ยมมาก!”
ฉินฉางชิงได้ฟังและเห็นสีหน้าท่าทางที่มั่นอกมั่นใจของหลิงหยุนเขาก็ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ในเมื่อเจ้ามั่นใจเช่นนี้ข้าก็จะเล่าเรื่องของสำนักกระบี่เทียนซานและตระกูลหนิงให้เจ้าฟังอย่างละเอียด!”
จากนั้นฉินฉางชิงก็เริ่มเล่าเรื่องราวโศกนาฏกรรมของตระกูลฉินเมื่อสิบแปดปีก่อนให้หลิงหยุนฟังอย่างละเอียด และครั้งนี้เขามุ่งเน้นไปที่เรื่องของตี๋เสี่ยวเจินโดยเฉพาะ!
“ในครั้งนั้นตระกูลฉินของข้าแข็งแกร่งไม่แพ้ตระกูลหลิงของเจ้า ครั้งนั้นตระกูลฉินมียอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติอยู่บ้างเช่นกัน หาไม่แล้วคงจะไม่สามารถผงาดขึ้นเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของประเทศจีนพร้อมกับตระกูลหลิง และตระกูลหลงได้เป็นแน่!”
ฉินฉางชิงเล่าต่อด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุขเมื่อนึกถึงเมื่อครั้งที่เคยรุ่งเรืองในอดีต“ครั้งนั้น ตระกูลฉินมียอดฝีมือที่เก่งกาจอย่างมากถึงสี่คน สองคนอยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติ ระดับสี่และหนึ่ง ส่วนอีกสองคนเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ได้ครึ่งระดับแล้ว..”
“หมู่บ้านตระกูลฉินของเราอยู่ในเขตพื้นที่ของค่ายกลสุสานจักพรรดิจิ๋นซีแน่นอนว่าหากมีศัตรูบุกรุกเข้ามา ค่ายกลนี้ย่อมสามารถสะกัดกั้นความแข็งแกร่งของพวกมันได้ อีกทั้งคนตระกูลฉินยังสามารถใช้วิชาลับประจำตระกูล เพิ่มพลังในการต่อสู้ให้กับตนเองได้ด้วย..” “แต่ยอดฝีมือที่หญิงแพศยาตี๋ยั่วถังพามาด้วยนั้นกลับไม่เห็นตระกูลฉินอยู่ในสายตา แม้แต่ตัวนางเองก็เช่นกัน! ตัวนางเองสามารถเอาชนะยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับหนึ่งของตระกูลฉินได้!”
ฉินฉางชิงจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับขมวดคิ้ว“หลิงหยุน เจ้าเองก็คงจะรู้แล้วว่า ค่ายกลสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนั้น สามารถสะกดความแข็งแกร่งของศัตรูให้ลดลงได้ถึงเจ็ดสิบส่วน!”
หลิงหยุนพยักหน้า“ข้าพอจะคาดเดาได้.. เมื่อสิบแปดปีก่อนตี๋เสี่ยวเจินน่าจะผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วสำเร็จแล้ว และในเวลานั้น ขั้นพลังของนางก็ไม่น่าจะต่ำกว่าขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6)”
หลิงหยุนทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “ถ้าเช่นนั้น อาวุโสฉินซึ่งอยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับ-4 น่าจะต้องถูกยอดฝีมือที่ตี๋เสี่ยวเจินพามาด้วยสังหารตายเป็นแน่! และคนผู้นั้นก็น่าจะอยู่ในขั้นปาเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-8) ขึ้นไป!”
ฉินฉางชิงนั่งฟังคำวิเคราะห์ของหลิงหยุนด้วยดวงตาที่แดงก่ำในขณะที่เอ่ยออกไปว่า“เจ้าคาดการได้ถูกต้องแล้ว! อาวุโสฉินท่านนั้นถูกยอดฝีมือของสำนักกระบี่เทียนซานสังหารตายภายในดาบเดียว.. ดาบเดียวเท่านั้น!”
หากแม้แต่ยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสี่ยังถูกสังหารตายภายในดาบเดียวจึงแทบไม่ต้องพูดถึงยอดฝีมือคนอื่นๆของตระกูลฉินเลยว่าจะมีจุดจบเช่นใด และตระกูลฉินในครั้งนั้นจะได้รับความอัปยศมากเพียงใด
“ครั้งนั้นเห็นได้ชัดว่าตี๋เสี่ยวเจินต้องการที่จะสังหารจิวยื่อให้ได้ แม้จิวยื่อจะกำลังตั้งท้องหลิงยู่อยู่ก็ตาม แต่ตี๋เสี่ยวเจินกลับไม่สนใจ นางคิดเพียงแค่ว่าต้องการทำลายล้างตระกูลฉินให้สิ้นซากเท่านั้น!”
น้ำเสียงและสีหน้าของฉินฉางชิงเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดยิ่งขึ้น“ครั้งนั้น ข้าเองก็เพิ่งเข้าสู่ด่านกลางขั้นเซียงเทียน จึงไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งที่แท้จริงของยอดฝีมือที่สังหารท่านลุงสามในครั้งนั้นได้!”
ฉินเฉิงชิงรู้สึกอับอายยิ่งนักเพราะคนของตระกูลฉินถูกสังหารตายไปมากมาย แต่เขากลับไม่สามารถล่วงรู้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของศัตรูมาตลอดหลายสิบปี..
แต่ที่หลิงหยุนสามารถคาดเดาได้อย่างรวดเร็วนั้นเพราะเขาคุ้นเคยกับการบ่มเพาะพลังในขั้นพลังชี่เป็นอย่างดี จึงสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย..
แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายในขณะที่ใคร่คิดคำนวณความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆยอดฝีมือผู้นี้เมื่อสิบแปดปีก่อนยังอยู่ในขั้นปาเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-8) เวลาผ่านมาเนิ่นนานเช่นนี้ คนผู้นี้ย่อมต้องเข้าสู่ขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) แล้วเป็นแน่ แต่คนผู้นี้จะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานแล้วหรือไม่นั้น หลิงหยุนเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน!
“ขอบคุณท่านตาฉินยิ่งนักข้าพอที่จะคาดเดาความแข็งแกร่งของสำนักกระบี่เทียนซานได้บ้างแล้ว..”
“ข้าคิดว่ายอดฝีมือที่ตี๋เสี่ยวเจินพามาในครั้งน่าจะเป็นผู้พิทักษ์สำนักกระบี่เทียนซานเป็นแน่!”
แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งในขณะที่พูดว่า“ท่านตา.. หากให้ข้าพบคนผู้นี้อีกครั้ง ข้าจะสังหารมันเพื่อให้ดวงวิญญาณของบรรพชนตระกูลฉินได้ตายตาหลับ!”
“เยี่ยมมาก!”
“หลิงหยุนข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำได้สำเร็จ!” ฉินฉางชิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“แต่ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกกับเจ้าอีก..”
“เชิญท่านตากล่าวมาได้เลย..”หลิงหยุนเร่งเร้า
“ความจริงแล้ว..การที่แม่ของเจ้าเดินทางไปสำนักกระบี่เทียนซานในครั้งนี้นั้น ใช่ว่าตระกูลฉินจะอยู่เฉยๆโดยไม่ทำสิ่งใด ข้าแอบส่งคนไปที่ตระกูลหนิง เพื่อสืบข่าวดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนิงเทียนหยากันแน่”
หลิงหยุนร้องถามขึ้นด้วยความร้อนใจ“แล้วได้ข่าวคราวมาบ้างหรือไม่”
“ได้มามากทีเดียว!”
ฉินฉางชิงพยักหน้าพร้อมกับเล่าต่อว่า“เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ข้าได้ข่าวมาว่าเกิดเรื่องกับหนิงเทียนหยาขึ้นจริงๆ!”
“จะว่าไปแล้วก็เกี่ยวข้องกับสัญญาระหว่างตระกูลหนิงกับตระกูลฉินเมื่อสิบแปดปีก่อนนั่นล่ะ!”
ฉินฉางชิงค่อยๆเล่าให้หลิงหยุนฟังว่า..
ตามสัญญาที่ทั้งสองตระกูลทำไว้นั้นปีนี้เป็นปีที่ตระกูลฉินจะต้องส่งมอบตัวหนิงหลิงยู่ให้กับสำนักกระบี่เทียนซานแล้ว และวันนัดหมายก็ใกล้จะมาถึงเต็มที หนิงเทียนหยาเองก็เป็นห่วงความปลอดภัยของลูกสาวอย่างมาก เขาต้องการที่จะหยุดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้จึงได้แอบไปฝึกวิชารีดลมปราณ…
วิชารีดลมปราณนี้เป็นวิชาบ่มเพาะพลังที่สาบสูญไปนานแล้วแต่ไม่รู้ว่าว่าหนิงเทียนหยาไปได้เคล็ดวิชานี้มาจากที่ใด และหลังจากที่เขาฝึกฝนวิชานี้ เขาก็ก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งนัก และสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-3) ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และหากเข้าสามารถพัฒนาขั้นต่อไปได้ ก็จะเข้าสู่การรับทัณฑ์สวรรค์
แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นจนได้..
หนิงเทียนหยารีบร้อนที่จะก้าวหน้ามากจนเกินไปไม่เพียงขั้นพลังของเขายังไม่เสถียรมั่นคง ในระหว่างการฝึกก็ไม่มีผู้รู้คอยชี้แนะ เขาฝึกฝนด้วยตัวเอง และคาดเดาเอาเองทั้งสิ้น…
ด้วยเหตุนี้..เมื่อหนิงเทียนหยาสามารถเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ได้เกิดข้อผิดพลาดในระหว่างฝึกฝน จนเส้นลมปราณแตกซ่านและธาตุไฟเข้าแทรก กว่าที่คนในสำนักกระบี่เทียนซานจะมาพบเข้า หนิงเทียนหยาก็อยู่ในสภาพที่นอนหายใจรวยรินแล้ว..
หลายปีให้หลังตี๋เสี่ยวเจินหาได้มีความเสน่หาให้กับหนิงเทียนหยาอีกแล้ว เมื่อได้เหตุผลที่หนิงเทียนหยาแอบฝึกวิชารีดลมปราณ ไม่เพียงนางไม่ช่วยรักษาหนิงเทียนหยา แต่ยังรีบส่งคนไปแจ้งข่าวให้ฉินจิวยื่อที่จิงฉูรู้อีกด้วย!
“ตี๋เสี่ยวเจินเป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมผิดมนุษย์นางไม่ได้ตั้งใจให้เทียนหยากับจิวยื่อได้พบกันก่อนตายอย่างที่อ้าง แต่นางต้องการให้จิวยื่อได้เห็นเทียนหยาค่อยๆตายไปต่อหน้าต่อตาต่างหาก ส่วนนางก็มีความสุขกับการได้เห็นคนทั้งคู่เจ็บปวด..”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ดวงตาของฉินฉางชิงก็แดงก่ำยิ่งกว่าเดิม “ฉันพอที่จะคาดเดาได้ว่า จิวยื่ออยู่ที่สำนักกระบี่เทียนซานนั้น จะต้องพบเจอกับการดูถูกเหยียดหยามเช่นใดบ้าง และหลังจากที่เทียนหยาสิ้นลมเมื่อใด.. ตี๋เสี่ยวเจินก็จะไม่มีทางปล่อยจิวยื่อกลับออกมาจากสำนักกระบี่เทียนซานแน่!” “ผู้หญิงคนนี้สมควรต้องตายยิ่งนัก!”
หลิงหยุนระเบิดอารมณ์โมโหออกมา“ต่อให้ฉีกร่างของนางเป็นชิ้นๆ ก็ยังไม่อาจกำจัดความคับแค้นในใจของข้าไปได้!”
หลังจากจบเรื่องของตี๋เสี่ยวเจินแล้วหลิงหยุนจึงหันไปถามฉินฉางชิง “แล้วเวลานี้หนิงเทียนหยาเป็นเช่นใดบ้าง’
ฉินฉางชิงส่ายหน้า“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน! ตี๋เสี่ยวเจินไม่เคยเห็นตระกูลหนิงอยู่ในสายตาอยู่แล้ว หนิงเทียนหยาจะเป็นหรือตาย มีหรือที่นางจะบอกข่าวให้คนตระกูลหนิงรู้!”
‘เส้นลมปราณแตกซ่านและธาตุไฟเข้าแทรกเช่นนี้ หากทิ้งไว้ก็คงมีแต่ต้องตายเท่านั้น..’
หลิงหยุนคำนวณระยะเวลาอยู่ในใจเงียบๆแต่แล้วจู่ๆเขาก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
“แย่แล้ว!”