ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 52 ขั้นสุดยอด (1)

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

“หืม”

 

“เป็นจักรพรรดิสามท่าน ท่านนั้นก็คือจ้าวหิมะเหิน”

 

ผู้ที่เฝ้าสังเกตการณ์บริเวณรอบๆ มาเป็นระยะเวลานานสังเกตเห็นจักรพรรดิสามท่านและตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ก็มิได้เข้ามาขัดขวางห้ามปราม

 

ถึงอย่างไรไม่ว่าใครๆ ก็รู้ว่าจักรพรรดิท่าหนึ่งร่วมมือกับจ้าวหิมะเหิน ต่างก็สามารถต่อสู้กับยอดเคารพได้แล้ว

 

“พลังคุกคามน่าหวาดหวั่นนัก” จักรพรรดิวายุทิพย์มองดูกระแสน้ำวนมืดมิดอันใหญ่มหึมาหาใดเปรียบกว้างใหญ่ไพศาลและหัวอสรพิษขนาดใหญ่มหึมาอันดุร้ายหาใดเปรียบแล้วรำพึงว่า “ได้ยินว่าหัวอสรพิษนี้ก็คือหัวอสรพิษของงูใหญ่ตัวหนึ่งที่เป็นหนึ่งในสองสิ่งมีชีวิตคละถิ่นผู้ยิ่งใหญ่ที่ตายตกไปนั่นเอง

 

ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้ว กระแสน้ำวนที่เกิดขึ้นก็ยังไม่มลายหายไปตลอดกาล พวกเราฝืนเข้าไปก็ยังต้องตาย”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ามองดูหัวอสรพิษสูงตระหง่านหาใดเปรียบที่ราวกับสลักเสลาขึ้นจากก้อนหิน ขนาดของหัวอสรพิษก็พอๆ กันกับกระแสน้ำวนมืดมิด ก็เทียบเคียงได้กับอาณาเขตของนครแห่งหนึ่งของรัฐเมฆทักษิณาแล้ว ถ้าหากงูใหญ่ทั้งตัวยังคงอยู่ จะใหญ่โตมโหฬารสักเพียงใดกัน

 

ร่างกายนี้ใหญ่โตจนยากจะหยั่งคะเนได้แล้ว มิเสียทีที่เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ทั้งยังเป็นสิ่งที่งดงามในบรรดาพวกเขาอีกด้วย  อย่างเช่น ‘จักรพรรดิเหวศิลา’ และ ‘ลูกมังกรหมื่นสัมผัส’ เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขา ก็เหมือนกับตั๊กแตนน้อยต่อหน้ามังกรยักษ์

 

“เป่ยเหอหนีเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้ว พวกเราก็ไม่มีทางไล่ล่าสังหารได้”

 

“นับได้ว่าเขาหนีอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว”

 

“ขอบคุณทั้งสามท่านด้วย เป่ยเหอเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไปชั่วคราวก่อนแล้วล่ะ”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิสามท่านแยกย้ายกันจากไปตามลำพัง

 

……

 

เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึง ‘หยาดน้ำพันเนตร’ นั่นก็คือสมบัติชั้นยอดที่สามารถช่วยให้เข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษได้ เรื่องราวยังเกี่ยวพันไปถึง ‘ยอดเคารพซื่อฝา’ หนึ่งในห้ายอดเคารพด้วย จักรพรรดิเป่ยเหอและ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาผู้นั้นด้วย ดังนั้นข่าวสารจึงแพร่สะพัดไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก แพร่ไปถึงผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดของหุบเขาเขี้ยวหักอย่างรวดเร็ว

 

แต่ละคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้

 

อิจฉา ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้นั้น แล้วก็รู้สึกว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้ช่างน่าสงสารนัก

 

“เขาช่วยเหลือจักรพรรดิเป่ยเหอ ก็มีความสามารถเทียบได้กับยอดเคารพซื่อฝา แต่นอกจากเคล็ดวิชาวิญญาณแล้ว พลังยุทธ์ของตัวเขาเองก็อ่อนแอเกินไปแล้ว! เผชิญหน้ากับจักรพรรดิเป่ยเหอก็ไม่มีความสามารถที่จะต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย ถูกผลาญสังหารได้อย่างง่ายดาย”

 

“ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญเท่านั้น เดิมทีพลังยุทธ์ของผู้บำเพ็ญก็อ่อนแอเป็นที่สุดอยู่แล้ว”

 

“พลังยุทธ์ไม่เพียงพอก็ย่อมรักษาหยาดน้ำพันเนตรเอาไว้มิได้อยู่แล้ว”

 

“หยาดน้ำพันเนตรนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าของหุบเขาเขี้ยวหักของข้า ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาจะมีคุณสมบัติคู่ควรที่จะครอบครองมันได้เสียที่ไหนกัน”

 

ถึงแม้ว่าผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดภายในหุบเขาเขี้ยวหักจะค่อนข้างเคารพจ้าวหิมะเหิน แต่ก็ยังมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาอยู่ในสายตาเอาเสียเลย ถึง ‘จ้าวหิมะเหิน’ จะมีชื่อเสียงเช่นนี้ แต่ก็มิได้ยอมรับมาโดยตลอด คราวนี้จ้าวหิมะเหินประสบเคราะห์หนัก ก็ย่อมรู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว

 

******

 

การส่งข่าวสารระหว่างดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักเชื่องช้าอย่างยิ่ง แต่ว่าหลังจากเรื่องราวเกิดขึ้นไปห้าปีให้หลัง ก็ค่อยๆ แพร่สะพัดมาถึงยังดินแดนจิตโลกาแล้วเช่นกัน

 

ภายในโถงตำหนักอันมืดสลัวเยียบเย็นแห่งหนึ่ง

 

เสาที่มีภาพค่ายกลอันแปลกประหลาดต้นแล้วต้นเล่า บนเสาทุกต้นต่างก็มีวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งอยู่ตนหนึ่ง

 

“พรึ่บ” สติรับรู้สายหนึ่งเคลื่อนเข้ามา พลังฟ้าดินรวมตัวกันกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีเสื้อคลุมกันลมผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือร่างแปรของบรรพชนราตรีนิรันดร์

 

ยามที่ร่างแปรของบรรพชนราตรีนิรันดร์มาถึงก็กระตุ้นเตือนวิญญาณอาฆาตบนเสาแต่ละต้นที่อยู่ด้านข้างในทันใด วิญญาณอาฆาตเหล่านี้มีบางส่วนที่ดิ้นรนขึ้นมาแล้วส่งเสียงคำรามพลางจ้องมองบรรพชนราตรีนิรันดร์อย่างขุ่นเคือง มีบางส่วนที่ลืมตาขึ้นมองบรรพชนราตรีนิรันดร์ปราดหนึ่งแล้วก็หลับใหลต่อไป มีบางส่วนที่จ้องมองบรรพชนราตรีนิรันดร์อย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เสาต้นหนึ่งก็มีวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งอยู่หนึ่งตน มีวิญญาณอาฆาตอยู่ทั้งสิ้นสิบสองตน

 

“ไม่รู้ว่าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่อีก” บรรพชนราตรีนิรันดร์ลอบบ่นพึมพำ

 

“ราตรีนิรันดร์ เจ้ามาแล้วสินะ” ราชันย์อนธการอมตะในอาภรณ์ทองงามหรู ศีรษะสวมมงกุฎที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไกลออกไปลืมตาขึ้นแล้วมองลงมายังบรรพชนราตรีนิรันดร์ “ตอนนี้เจ้าไม่ช่วยเหลือข้าแล้วจะมาหาข้าที่นี่ทำไมกัน”

 

บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยว่า “ราชันย์อนธการ นี่จะมาตำหนิข้ามิได้หรอกนะ ท่านก็รู้ถึงชื่อเสียงของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นในตอนนี้ เขามีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นในหุบเขาเขี้ยวหัก ผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักเหล่านั้นต่างก็พากันส่งมอบสมบัติล้ำค่ามากมายให้กับเขา ในภายหน้าก็มีความหวังที่จะไปถึงขั้นสุดยอดได้ เมื่อใดที่ไปถึงขั้นสุดยอด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาก็ได้ ข้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนะ! โชคดีที่ข้าขอให้ ‘นิจรัตติกาล’ ช่วยเหลือ ไปพูดคุยให้ รับปากคำสัญญามากมาย จ้าวหิมะเหินนั่นก็รับปากจะแก้แค้นให้”

 

“หึ ก็แค่กลัวตายเท่านั้นแหละ” ถึงแม้ว่าราชันย์อนธการอมตะจะเข้าใจ แต่ก็ยังหัวเราะเยาะอยู่ดี

 

“ช่วยไม่ได้นี่” บรรพชนราตรีนิรันดร์ส่ายหน้า

 

เขาก็รู้สึกเสียเกียรติเช่นเดียวกัน

 

แต่เขาก็กังวลว่าในภายหน้าจะเผชิญกับการไล่ล่าสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิ ถึงขนาดที่มิกล้าไปพูดจาด้วยตนเอง เพราะว่าถึงอย่างไรก็มีความแค้นกัน ขอให้ ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ ช่วยเหลือ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยอมรับปาก ตอนที่เรื่อง ‘หยาดน้ำพันเนตร’ เพิ่งเกิดขึ้นเพียงแค่หนึ่งปีให้หลัง บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ไปพบตงป๋อเสวี่ยอิงตามลำพังอย่างเงียบๆ แล้วขอขมาอีกทั้งยังให้สัตย์สาบานต่อหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย

 

ผู้บำเพ็ญก็ยังให้ความสำคัญกับการสาบานเป็นอย่างยิ่ง!

 

อันที่จริงแล้ว

 

บรรดามารเหล่านี้ อย่างเช่นราชันย์อนธการอมตะ บรรพชนราตรีนิรันดร์ ประมุขรัฐจันทร์บุปผา และมารขั้นสุดยอดคนอื่นๆ จำนวนหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิให้หนทางรอดชีวิตอยู่แล้ว! แต่เพียงแค่ให้สัตย์สาบานตามเงื่อนไข ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับปากจะไม่ไล่ล่าสังหาร ตงป๋อเสวี่ยอิงทำเช่นนี้ก็เพราะตอนนี้เขาก็ไม่สามารถสังหารขั้นสุดยอดเหล่านั้นได้ ถ้าหากไม่ให้หนทางรอดชีวิตแล้วขั้นสุดยอดเหล่านี้เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาจริงๆ ก็จะก่อให้เกิดมหันตภัยครั้งแล้วครั้งเล่าขึ้นมาได้

 

มีผู้ที่มาขออภัยและให้สัตย์สาบานกันเป็นจำนวนมาก

 

ก็เหมือนกับพวก ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ นี้ที่มีใจคิดจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเพียงอย่างเดียว ลำพังอาศัยแค่ตนเองบำเพ็ญก็ไม่มีความหวังแต่อย่างใด เขาหมดความมั่นใจไปนานแล้ว คิดแต่จะเข้าไปยัง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ เพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงฉีกหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง ตอนนี้ก็กำลังจับกุมรวบรวมวิญญาณจำนวนมหาศาลอย่างบ้าคลั่ง สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต้องจบชีวิตลงเพราะเขา ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจต้านทานสิ่งนี้ได้!

 

“เขา อิงซานเสวี่ยอิงอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก คราวนี้ก็จะไม่ประสบเคราะห์อีกเหมือนกันหรือ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มหยัน “เขาถึงกับโชคดีเคยได้ ‘หยาดน้ำพันเนตร’ มาครอบครอง แต่พลังยุทธ์ไม่เพียงพอ ในที่สุดก็ถูกผู้อื่นชิงสมบัติไป ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเป่ยเหอรักษามารยาทต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่บอกว่าแปรพักตร์ไม่แปรพักตร์น่ะหรือ หึๆ ยามปกติเหล่าผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักก็ยังสามารถไว้หน้าเขาได้บ้าง แต่เมื่อเกี่ยวพันไปถึงโอกาสในการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เขา อิงซานเสวี่ยอิงจะนับเป็นอะไรได้เล่า”

 

“ถูกต้อง ผู้แกร่งกล้าเหล่านั้นของหุบเขาเขี้ยวหักก็เพียงแค่รู้สึกว่าเขามีประโยชน์ใช้ได้อย่างคุ้มค่าเท่านั้นแหละ” บรรพชนราตรีนิรันดร์พยักหน้า “ถึงอย่างไรเมื่อพูดถึงพลังยุทธ์ สุดท้ายแล้วพวกเราผู้บำเพ็ญก็ด้อยกว่าผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักมากมายนัก หยวนเองก็ได้บัญญัติกฎเกณฑ์เอาไว้ ทำให้สุดยอดผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักไม่สามารถเข้ามายังดินแดนจิตโลกาได้”

 

……

 

เหล่าสุดยอดผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกา

 

มีบางคนที่ยอมจำนนต่ออิทธิพลของตงป๋อเสวี่ยอิง ยอมขอขมาและยอมแพ้ มีบางคนที่อิจฉาริษยา หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในหุบเขาเขี้ยวหักแล้วต่างก็ลอบหัวเราะเยาะกันเป็นจำนวนมาก

 

“ดูจากความโอหังของเขา ก็ยังพูดว่าในอนาคตอาจเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกา แต่ตอนนี้ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักเหล่านั้นไม่บอกว่าแปรพักตร์ก็แปรพักตร์อย่างนั้นหรือ”

 

“ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ก็อ่อนแออยู่ดี”

 

“ต่างก็ว่ากันว่าเขามีหวังที่จะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด แต่ก็ไม่แน่ว่าเมื่อติดขัดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะค้างอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานเท่าใด”

 

แต่ละฝ่ายลอบวิพากษ์วิจารณ์

 

สิ่งที่ทุกคนพูดก็มีเหตุผล! อยากจะไปถึงขั้นสุดยอดนั้นช่างยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง อาวุธเทพคละถิ่น เพราะว่าจ้าวหิมะเหินที่ร่ำลือกันมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ บวกกับโอกาสมากมายในหุบเขาเขี้ยวหัก ต่างก็คิดว่าความหวังในการสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดของเขานั้นมีมากมายนัก แต่ต่อให้มีความหวังมากกว่านี้ก็เป็นเพียงแค่ ‘ความหวัง’ เท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่บรรลุ ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดยั้งอยู่ที่จุดคอขวดไปเนิ่นนานเพียงใด

 

******

 

โลกภายนอกอันวุ่นวาย ภายในเมืองหิมะเหิน ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่านวารวันไปอย่างเรื่อยเปื่อยเช่นเดิม

 

บอกว่าเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในอนาคตอะไรกัน

 

บอกว่าจะติดค้างอยู่ที่จุดคอขวด ค้างเนิ่นนานเพียงใดกัน

 

บอกว่าที่หุบเขาเขี้ยวหักก็จะถูกรังแกได้อย่างง่ายดายอันใดกัน

 

“เสวี่ยอิง เรื่องหยาดน้ำพันเนตรนั่นเป็นความจริงหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามาถามไถ่ด้วยตนเอง

 

“ท่านอาจารย์ เชิญนั่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงดูเมฆที่บางครั้งก็รวมตัว บางครั้งก็กระจายตัว มองเห็นอาจารย์มาถึงก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

 

“ถามเรื่องของเจ้านั่นแหละ” หลังจากที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณานั่งลงแล้วตนเองก็รินสุราให้กับคนเอง ดื่มสุราไปจอกหนึ่งแล้วก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง

 

“เป็นความจริงขอรับ! นี่ก็เป็นเรื่องปกติ นอกจากเคล็ดวิชาวิญญาณแล้ว พูดถึงพลังยุทธ์ในการห้ำหั่นซึ่งหน้า ข้าจะนับเป็นอะไรที่หุบเขาเขี้ยวหักได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ

 

“โธ่! ช่างน่าเสียดายนัก โอกาสในการเข้าไปยังสถานที่ต้องห้ามในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหักอยู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องมาพลาดพลั้งไปเช่นนี้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ย ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่รู้ว่าทางเดินเขี้ยวอสรพิษคืออะไร แต่พอข่าวนี้แพร่ออกไปแล้วเขาจึงได้ถามไถ่ดูอย่างละเอียด จึงได้รู้ถึงความลึกลับอันแสนพิเศษของทางเดินเขี้ยวอสรพิษ แม้กระทั่งห้ายอดเคารพของหุบเขาเขี้ยวหักก็ยังอยากเสี่ยงชีวิตเข้าไปเลย

 

“ไม่มีสิ่งใดให้เสียดายเลยขอรับ แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถครอบครองหยาดน้ำพันเนตรหยดนั้นเอาไว้เพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เขาสงบนิ่งมาโดยตลอด ไม่เคยคาดหวังมาก่อนเลย “เพียงแต่ข้ามองจักรพรรดิเป่ยเหอผิดไป ข้าได้ให้สัญญาและสาบานไปมากมายแล้ว ถึงขนาดที่รับปากว่าร่างแยกร่างนั้นจะติดตามอยู่ข้างกายเขาไปตลอด เขาก็ยังไม่วางใจแล้วกลับเลือกที่จะล่วงเกินข้า และต้องการจะช่วงชิงหยาดน้ำพันเนตรหนีไปในทันที”

 

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาฟังแล้วก็พยักหน้า “อืม เสียดาย ถ้าหากพลังยุทธ์ของเจ้า เสวี่ยอิง แข็งแกร่งพอ สามารถเทียบเคียงได้กับระดับอย่างจักรพรรดิเซี่ยนี้ บวกกับเคล็ดเขตลวง ก็คงไร้ซึ่งความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ

 

สุดท้ายพลังยุทธ์ก็สู้ผู้อื่นมิได้ ไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงเลย

 

……

 

เรื่องหยาดน้ำพันเนตรแพร่กระจายไปยังหุบเขาเขี้ยวหักและดินแดนจิตโลกา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเจียมเนื้อเจียมตัวบำเพ็ญมาโดยตลอด

 

วันนี้

 

ณ จวนจ้าวในเมืองหิมะเหิน

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ใต้ศาลา มองดูฝูงปลาแหวกว่ายกลางทะเลสาบ ทันใดนั้นก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดนั้นขึ้นมา

 

ภาพเหตุการณ์ที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้นเหินทะยานอยู่กลางห้วงมิติคละถิ่นอันไร้ซึ่งขอบเขต

 

“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นเช่นนี้ ทุกการเคลื่อนไหวต่างก็มีพลังคุกคามอย่างยากที่จะจินตนาการได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงจดจำเอาไว้อย่างล้ำเลิศยิ่ง สามารถจดจำทุกสิ่งอย่างเอาไว้ได้อย่างแจ่มชัด ยามที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้นเหินทะยานแหวกว่ายมีความเร้นลับอื่นๆ แฝงเอาไว้บนร่างก็แล้วไปเถิด แต่ ‘วิถีอากาศ’ เป็นความเชี่ยวชาญที่สุดของเขา ขณะนี้ก็ระลึกถึงภาพเหตุการณ์นั้นอย่างต่อเนื่องอย่างห้ามมิได้ ใคร่ครวญถึงความเร้นลับวิถีอากาศที่แฝงอยู่ในการเหินทะยานแหวกว่ายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้น

 

เหินทะยานแหวกว่าย

 

การสั่นสะท้านครั้งหนึ่งก็สามารถบินผ่านระยะทางห่างไกลของโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้ว การควบคุมวิถีอากาศก็ไปถึงระดับที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงได้อย่างง่ายดาย

 

“ช่างงดงามสมบูรณ์แบบเหลือเกิน”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไม่เห็นข้อบกพร่องใดๆ ของการเหินทะยานแหวกว่ายนี้เลย

 

ทั้งหมดทั้งมวลรวมกันเป็นหนึ่งเดียว!

 

เขาชื่นชมในความงดงามนี้ ชื่นชมความไม่ธรรมดาทุกการเคลื่อนไหวยามที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมานั้นเหินทะยานแหวกว่าย

 

“ภาพฟ้าภาพดินผสานรวม!”

 

“ภาพสาย กลับงดงามถึงเพียงนี้”

 

“ภาพปะทุ ก็สามารถบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงชื่่นชม แล้วในห้วงสมองก็มีแสงทิพย์วิญญาณ์สายหนึ่งวาบผ่านอย่างช้าๆ

 

ร่างแยกของเขาภายใน ‘เจดีย์เจ็ดระฆัง’ ก็ปลีกวิเวกหยั่งรู้วิถีอากาศมาโดยตลอด ก็ได้รับอะไรมามากมาย เขาต้องการที่จะคิดค้นท่าไม้ตายที่หกของวิถีอากาศออกมาโดยตลอด ตอนนี้ในขณะนี้ แสงทิพย์วิญญาณ์ปรากฏขึ้น การตระหนักรู้มากมายในอดีตถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันราวกับลูกปัดก็มิปาน

 

“ภาพฟ้า ภาพดิน ภาพลวง ภาพปะทุ และภาพแก่นพัวพันรัดเกี่ยวกัน รวมกันด้วยภาพอากาศ! แล้วสร้างความเชื่อมโยงกันด้วย ‘ภาพสาย’…” ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏภาพยามที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมาตนนั้นโบกสะบัดหางยามที่เหินทะยาน โบกสะบัดครั้งหนึ่งก็มี ‘ภาพสาย’ มากมาย ภาพสายที่แตกต่างกันผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ

 

“ภาพสายสามเส้นก็ใช้ได้แล้ว”

 

“ภาพสายสามเส้นผสานรวมเข้าด้วยกัน รวมกันด้วยวิถี ‘ทวีคูณ’”

 

“รวมกำลัง กลับคืนสู่มหาวิบัติ!”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมา เขาอยากทำให้เก้าสายผสานรวมกันมาโดยตลอด จนถึงขนาดสั่งสมไปจนถึงระดับที่หนาแน่นหาใดเปรียบ ขาดเพียงแค่แสงทิพย์วิญญาณ์สุดท้ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

ในที่สุดขณะนี้เขาก็ตระหนักรู้แล้ว ตระหนักรู้แสงทิพย์วิญญาณ์จุดหนึ่งขึ้นมาจากการชื่นชมภาพเหตุการณ์ที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นนั้นแหวกว่าย ซึมซับการหยั่งรู้จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว

 

…………………………………………………