ตอนที่ 1479 ภาพอันน่ามหัศจรรย์ Ink Stone_Fantasy
วันที่หกหลังจากโรแลนด์สลบไป
ในตอนที่อันนาเดินเข้ามาในห้อง เวนดี้กำลังดูแลเขาอยู่
“เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง”
เธอเดินถือน้ำเปล่าชามหนึ่งมาข้างเตียง จากนั้นใช้คอตตอนบัตจุ่มน้ำแล้วค่อยๆ ถูไปบนริมฝีปากของโรแลนด์ ถึงแม้จะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการอยู่ร่วมกันไปแล้ว แต่ร่ายกายของเขาก็ยังได้รับผลกระทบอยู่ อย่างเช่นริมฝีปากแห้งและแตกจากการที่ขาดน้ำมาเป็นเวลานาน
หลายวันมานี้ อันนาได้ใช้เวลาอยู่กับโรแลนด์น้อยกว่าคนอื่นๆ อย่างเวนดี้และไนติงเกลเสียอีก ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากอยู่ หากแต่เป็นเพราะเธอตั้งกฏให้กับตัวเองเอาไว้ นั่นคือทุกวันจะใช้เวลาอยู่กับเขาได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเธอกลัวว่าตัวเองจะหักใจเดินออกจากห้องไปไม่ได้
ในตอนนี้เวนดี้วางสิ่งที่ทำอยู่ลง ก่อนจะให้อันนาอยู่เป็นเพื่อนอีกฝ่าย
เวลาสามสิบนาทีนี้มักจะอ่อนโยนและเงียบสงบ ราวกับว่าเวลาหยุดค้างอยู่ในตอนนี้
จนกระทั่งเสียงรายงานของอาครักษ์ดังออกมาจากนอกประตู ความเงียบจึงถูกทำลายลง
“ฝ่าบาทอันนา หน่วยสอดแนมกลับมาแล้ว ตอนนี้คนอื่นๆ กำลังรอพระองค์อยู่ในห้องทีมที่ปรึกษาพ่ะย่ะค่ะ!”
อันนาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ วางชามกระเบื้องในมือลง
“อันนา…” เวนดี้พูดขึ้นมาอย่างกังวลใจ
“สบายใจได้” อันนาเงยหน้าขึ้นมา “ข้าไม่เป็นอะไร”
มีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เวนดี้สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอันนา ในเวลานี้ดวงตาที่เหมือนกับสายน้ำที่ใช้มองดูโรแลนด์ก่อนหน้านี้พลันหนักแน่นขึ้นมา ราวกับว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนเดียวกัน
เด็กผู้หญิงคนนี้กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เวนดี้คิดอยู่ในใจ แต่เมื่อย้อนคิดถึงตอนที่อยู่ในเมืองชายแดนก่อนหน้านี้ เธอก็มักจะเป็นคนแรกที่เรียนรู้สิ่งที่โรแลนด์สอนอยู่เสมอ การพัฒนาแบบนี้มันก็สมเหตุสมผลอยู่ เป็นเพราะอันนา เมืองชายแดนจึงกลายเป็นภูเขาศักดิ์ิสิทธิ์ของแม่มด และตอนนี้ เธอก็กำลังนำทุกคนไปยังยอดเขาแห่งใหม่อยู่
“ไปทำเรื่องที่มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้เถอะ” เวนดี้พูดอย่างอ่อนโยน
“ข้าฝากดูโรแลนด์ด้วยนะ” อันนาโค้งตัวให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไป
เธอเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวและบันได ก่อนจะมาถึงหน้าประตูห้องทีมที่ปรึกษา เธอหยุดฝีเท้าลงพร้อมกับสูดหายใจลึกๆ จากนั้นจึงยื่นมือออกไปผลักประตู
“องค์ราชินี!” ทุกคนในห้องต่างยืนขึ้นมาทำความเคารพเธอ
อันนาไม่ได้มองว่านี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา เธอทำความเคารพกลับไปให้ทุกคนเหมือนกัน เธอรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองถนัดนั้นมีอยู่จำกัด การที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดแจงให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้อย่างในตอนนี้ล้วนแต่เป็นผลจากความพยายามของทุกคน
“เปิดประชุมกันเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เฟร์รานตอบกลับด้วยความเคารพ
คนที่รับผิดชอบสอดแนมเกาะแห่งหมอกคือไลต์นิ่ง เมซี่และซิลเวีย ซิลเวียได้ทำการยืนยันตำแหน่งที่ตั้งอย่างละเอียดของเกาะแห่งนี้ตามทิศทางที่เฮคซอดบอกมา ถึงแม้ดวงตาเวทมนตร์ของเธอจะไม่สามารถมองทะลุม่านพลังลวงตาได้ แต่เมื่ออยู่บนท้องทะเลที่ราบเรียบ มันกลับเป็นเหมือนดวงดาวที่เจิดจ้าบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
นอกจากนี้ซิลเวียยังพบปฏิกิริยาเวทมนตร์จำนวนมาก พวกมันกระจายตัวอยู่ในน่านน้ำรอบๆ เกาะ นั่นคือเหตุผลที่สุดท้ายทีมนักสำรวจล้มเลิกความคิดที่จะลงไปสำรวจบนเกาะ
ปฏิกิริยาเวทมนตร์เหล่านั้นเป็นของอาณาจักรซีสกายอย่างไม่ต้องสงสัย — นอกจากปีศาจทะเล รังแม่และอสูรมีดที่เห็นได้บ่อยๆ แล้ว ยังมี ‘เจ้ายักษ์ใหญ่’ ที่น่าตกใจอยู่อีกสองสามตัวด้วย ปีศาจเรียกมันว่าอสูรกลืนภูเขา พวกมันมักจะวิวัฒนาการมาจากรังแม่ และไม่มีความสามารถในการสร้างอสูรขาและอสูรมีดขึ้นมาอีก หากแต่ใช้เกราะหนาๆ ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ทั้งหมด แล้วใช้ปากขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนเครื่องกว้านกัดกินแผ่นดินเพื่อสร้างสนามรบที่เหมาะกับกองทัพของอาณาจักรซีสกายขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าอาณาจักรซีสกายไม่คิดที่จะยกบอทธ่อมเลสแลนด์ให้ศัตรู
ในตอนที่ทีมที่ปรึกษากำลังวางแผนตามข้อมูลที่ได้มาใหม่ ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์กับอิสซาเบลล่าก็เดินเข้ามา — การร่วมมือกันของทั้งสองเรียกได้ว่าน่าแปลกประหลาดทีเดียว คนหนึ่งคือราชาปีศาจ อีกคนคืออดีตผู้บริสุทธ์ของศาสจักร ไม่ว่าใครได้เห็นก็ต้องตกใจ
แต่อันนากลับรู้ว่าหน้าที่ที่ทั้งสองคนรับผิดชอบนั้นสำคัญอยากมาก
และอีกฝ่ายก็เอาข่าวดีมาแจ้งจริงๆ
อิสซาเบลล่ายิ้มกับเธอแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท การทดลองประสบความสำเร็จเพคะ”
อันนารู้สึกโล่งใจ ตอนนี้ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดในการรับมือกับอาณาจักรซีสกายก็คืออสูรมีดที่ไปไหนมาไหนอย่างไร้ร่องรอย การโยกย้ายแม่มดที่ปกป้องดินแดนตะวันตกมาจะทำให้แนวป้องกันของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ว่างเปล่าลง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือทำให้คนธรรมดาสามารถมองเห็นร่องรอยของอสูรมีดได้ด้วย และมีเพียงเคออสลอร์ดที่ยกระดับขึ้นมาจากปีศาจดวงตาเท่านั้นที่มีความสามารถในการมองทะลุเกราะกำบังต่างๆ เพียงแต่ขอบเขตของมันค่อนข้างเล็ก ไม่อาจเทียบกับการตอบสนองตอนที่ถูกศัตรูมองมาได้
ถ้าสามารถทำให้ขอบเขตความสามารถของเคอออสลอร์ดขยายกว้างขึ้นได้หลายเท่า มันก็อาจจะได้ผลที่น่าเหลือเชื่ออย่างมากก็ได้
คนที่เสนอความคิดนี้ออกมาเป็นคนแรกไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเฮคซอด อันนานึกถึงรูนอนันต์ที่ซีโร่เคยใช้ขึ้นมาทันที — สุดท้ายแผนการนี้ก็ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน — ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พูดกล่อมเคออสลอร์ด อาร์เรียตาให้หินเวทมนตร์ระดับสูงมา อิสซาเบลลาทำการศึกษา นี่จึงเป็นเหตุผลให้กลุ่มนี้จึงดูแปลกประหลาดขนาดนี้
และท่าทีที่มั่นใจของอิสซาเบลลาก็แสดงให้เห็นว่าส่วนที่ยากลำบากมากที่สุดของแผนการนี้ได้ทำการแก้ไขแล้ว
นี่จึงทำให้ขวัญและกำลังใจของทีมที่ปรึกษาเพิ่มขึ้นมาทันที
ดูเหมือนอย่างน้อยก็ยังพอมีทางที่จะโจมตีเมืองบอทธ่อมเลสแลนด์อยู่
หลังเงื่อนไขตามทฤษฎีถูกเตรียมพร้อมแล้ว ส่วนที่เหลือก็คือเรื่องจัดส่งกำลังพล
“หวังว่าทางเกรย์คาสเซิลจะมาทันเวลานะ” อกาธาพูดพร้อมมองไปทางแผนที่ของสี่อาณาจักรใหญ่
“ข้าเชื่อมั่นในตัวพวกขวานเหล็ก” อันนาค่อยๆ พูด
…..
อ่าวคอรอล อาณาจักรดอว์น
ไวท์ถือไม้เท้าค่อยๆ เดินกะเผลกขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ‘แกลลอป’ อย่างช้าๆ — นี่คือเรือใบสองเสากระโดง ถึงแม้จะถือเป็นเรือเดินทะเล แต่ความสามารถในการโต้คลื่นลมกลับไม่ดีเท่าไร ส่วนใหญ่จึงได้แต่ต้องล่องเรียบชายฝั่งไป แต่จุดเด่นที่สุดของมันคือถูก หากเป็นเมื่อก่อนอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีหลายร้อยเหรียญทอง แต่ตอนนี้แค่เก้าสิบเก้าเหรียญทองก็สามารถซื้อได้แล้ว ถ้าจ่ายด้วยเงินกระดาษของเกรย์คาสเซิลก็จะได้ลดอีกสิบเปอร์เซ็นต์
“สวัสดีขอรับหัวหน้า!” ลูกเรือที่กำลังขนของอยู่ต่างหันมาทำความเคารพเขา
ไวท์พยักหน้าอย่างพอใจ
ในดีต ถ้าจะจ้างลูกเรือแบบนี้มาจะต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยอย่างแน่นอน แต่หลังจากที่พวกพ่อค้ารายใหญ่ๆ เหล่านั้นต่างหันไปสนใจเรือกลไฟ ราคาของเรือใบธรรมดาก็เรียกได้ว่าลดลงอย่างมาก แม้แต่พวกลูกเรือที่ถนัดในเรื่องการปีกเสากระโดงขึ้นไปผูกใบเรือพวกนี้ก็มีราคาถูกลงอย่างมากด้วย — เพราะว่าเรือไอน้ำเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมีใบเรือ แล้วก็ไม่ต้องการคนเยอะขนาดนี้ด้วย
อารมณ์ของไวท์ดีอย่างมากเมื่อมองไปบนทะเลสีน้ำเงินและเมฆสีขาว ส่วนหูก็ฟังเสียงนกทะเลร้อง การเปลี่ยนจากคนขับรถม้ามาเป็นเจ้าของเรือใบทำให้สินทรัพย์คงที่ของเขาเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า ถึงแม้จะยังทำงานขนส่งอยู่ ผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเมืองเกรย์คาสเซิล แต่เมื่อเทียบกับปีสองปีก่อนหน้านี้ก็ถือว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว
แน่นอนว่าเขายังไม่ลืมเรื่องที่ตัวเองอยากจะซื้อรถบรรทุกไอน้ำซักคันสองคัน เพียงแต่ตอนนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่เขาต้องซื้อเพิ่ม อย่างเช่นซื้อรถกับเรือเพิ่ม…แน่นอน ถ้าสามารถตั้งธุรกิจขนส่งโดยเฉพาะขึ้นมาได้ก็คงจะดีไม่น้อย
“หัวหน้า รำลึกความหลังอันยากลำบากอีกแล้วเหรอ?” มีคนถามหยอกขึ้นมา
เหล่าลูกเรือต่างรู้ดีว่าหัวหน้าของตัวเองเวลาที่มีความสุข เรื่องที่ชอบทำมากที่สุดก็คือคุยโวเรื่องในอดีตที่ผ่านมา ขอเพียงไม่มีคนขัดเขา ต่อให้พูดชั่วโมงสองชั่วโมงก็ไม่เป็นปัญหา แต่ในฐานะที่เป็นผู้ฟัง พวกเขาเองก็จะได้พักจากการทำงานสักครู่ ด้วยเหตุนี้จึงมักจะมีคนเปิดประเด็นขึ้นมาเป็นประจำ
“ความหลังอันยากลำบากอะไรล่ะ นั่นมันเรียกว่าประสบการณ์ชีวิต พวกเจ้าเนี่ย…ยังผ่านโลกมาน้อยเกินไป” ไวท์ถลึงตาใส่ “เมื่อก่อนข้าเป็นคนลากรถให้ท่านเคาท์ หลังจากนั้นก็ทำงานให้กับศาสนจักร ก่อนจะมารับจ้างเกรย์คาสเซิล ข้าถึงได้มีธุรกิจนี้ได้ ดังนั้นนั่นมันไม่ใช่ความยากลำบาก หากแต่เป็นพื้นฐานที่เดินไปสู่ความสำเร็จ เข้าใจไหม!”
“ใช่ๆๆ หัวหน้าพูดถูก!” ทุกคนต่างพยักหน้าขึ้นมา
“เจ้าพวกเด็กน้อย ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากจะอู้อีกแล้ว” ไวท์หาที่สะอาดๆ นั่งลง ก่อนจะตบลงไปบนพื้นข้างตัว “มาสิ ฉวยโอกาสที่วันนี้ข้าอารมณ์ดี เดี๋ยวข้าจะเล่าเรื่องให้พวกเจ้าฟังหน่อยแล้วกัน”
บนดาดฟ้าเรือมีเสียงผิวปากดังขึ้นมาทันที
ไวท์เองก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาไม่ใช่ขุนนาง ถ้าไม่เป็นเพราะตัดสินใจอพยพไปเนเวอร์วินเทอร์พร้อมกับคนส่วนใหญ่ สถานการณ์ของเขาตอนนี้ก็คงไม่ดีไปกว่าพวกลูกเรือเหล่านี้เท่าไร
“วันนี้ข้าจะเล่าเรื่องที่ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลเข้าไปยึดอ่าวดีพพูลของวูล์ฟฮาร์ทแล้วกัน” เขาพูดเกริ่นเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเรื่องราวออกมา ทั้งเรื่องทหารที่ยืนอยู่กลางสายฝน เรื่องที่คณะตัวแทนขุนนางทิ้งชุดเกราะทันทีที่เจอหน้า แต่เรื่องที่เขาเล่าส่วนใหญ่คือเรื่องที่กองกำลังเรือที่มืดฟ้ามัวดิน
“พวกเจ้าไม่รู้ว่านั่นเป็นกองทัพที่ใหญ่แค่ไหน ใบเรือสีขาวที่ยาวต่อเนื่องแทบจะยาวกว่าเส้นขอบฟ้าบนทะเล เพียงแค่มองไกลๆ ก็ยังทำให้ตกตะลึงอย่างมาก มันก็เลยไม่แปลกที่บารอนของอ่าวดีพพูลจะสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาทโรแลนด์ทันที”
“ขนาดนั้นเลยเหรอหัวหน้า?”
“เฮ้ ตอนนั้นมันน่าตกตะลึงกว่าที่ข้าพูดเสียอีก พ่อหนุ่ม ข้ากล้าพนันเลยว่านั้นเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาในชีวิตเลย ต่อให้เจ้าคิดจนหัวแตกก็ไม่มีทางเข้าใจหรอก นอกจากจะได้เห็นด้วยตาตัวเองซักครั้ง ไม่อย่างนั้นชาตินี้เจ้าก็อย่าได้ว่าจะเป็นแบบนี้อย่างนี้เลย แน่นอนว่าโอกาสแบบนี้ต่อให้รออีกซักสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะได้เจอ” ไวท์พูดอย่างภูมิใจ
“เอ่อ…หัวหน้า แล้วท่านเคยเห็นเรือที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาไหม?” มีคนถามขึ้นมา
“เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า ที่ข้าเล่ามามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องที่พวกชาวบ้านเล่าต่อๆ กันมา!”
“แต่มันอยู่…ตรงข้ามกับท่าเรือ แถม…ไม่ใช่แค่ลำเดียวด้วย…” เสียงของคนๆ นั้นเริ่มติดอ่างขึ้นมา
“เมื่อคืนเจ้ากินเหล้าเยอะเกินไปเหรอไง?” ไวท์พยุงตัวขึ้นมา เขาแหวกพวกลูกเรือที่ห้อมล้อมเขาอยู่แล้วมองออกไปนอกทะเล ก่อนจะยืนตกตะลึงไปกับที่
เขามองเห็นบนทะเลมี ‘ประตู’ ขนาดใหญ่มหึมาบานหนึ่ง
จากนั้นเรือเดินทะเลที่แขวนธงของอาณาจักรเกรย์คาสเซิลก็แล่นออกมาจากประตูลำแล้วลำเล่าเหมือนกับวิญญาณ ก่อนจะแล่นผ่านท้ายเรือ ‘แกลลอป’ ไป
……………………………………………………………………….