ตอนที่ 1478 แสงไฟกำลังจะดับลง Ink Stone_Fantasy
หนึ่งเดือนครึ่ง…หมายความว่าทันทีที่แผนการหยุดลงชั่วคราวหรือว่ายกเลิก มันก็อาจจะพลาดเส้นตายนี้ไปตลอดกาล
คนบนเกาะลอยฟ้าจะสามารถเดินหน้าต่อไปในสถานการณ์ที่ไม่มีเขาได้หรือเปล่า?
แล้วก็ยังมีพวกปีศาจอีก เมื่อสูญเสียการชี้นำของวัลคีรีย์ไป สัญญาอันเปราะบางที่ตกลงเอาไว้กับสกายลอร์ดจะถูกทำลายลงหรือเปล่า?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิธีที่จะจัดการกับอาณาจักรซีสกายที่อยู่บนเกาะแห่งหมอกเลย
บ้าเอ้ย ถ้าส่งข่าวพวกนี้ออกไปได้ก็คงจะดี! โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ในหัวอย่างรวดเร็ว เขาพยายามที่จะพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ แต่หลังครุ่นคิดอยู่นานก็ยังไม่ได้คำตอบที่ใช้การได้ ครั้งนี้ไม่เหมือนกับวิกฤติที่ผ่านๆ มา ครั้งนี้ต่อให้เขากำจัดเทวทูตที่อยู่ตรงหน้าไป สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
โรแลนด์เหมือนจะรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะแก้ไขได้ด้วยตัวคนเดียว
“ข้า…ไม่เข้าใจ”
เขาพูดขึ้นมาหลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ “ตอนแรกพวกเจ้ามองข้าเป็นผู้ทำลายที่จำเป็นต้องทำการกำจัดทิ้ง เพียงเพราะว่าโลกแห่งความฝันส่งผลต่อกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าตั้งขึ้นมา ถึงขนาดบอกว่าจะทำลายสิ่งที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายสิบล้านปี แต่ตอนนี้กลับบอกว่าจะมาช่วยข้าให้เข้าไปในดินแดนของพระเจ้า — หรือว่าจู่ๆ สิ่งที่สั่งสมมาพวกนั้นมันกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย?”
“ที่น่าขำกว่านั้นก็คือในเมื่อพระเจ้าสามารถทำลายโลกแห่งความฝันได้ทุกเมื่อ ทำไมถึงไม่ทำแบบนั้นตั้งแต่แรก? อย่าบอกนะว่ามันเกิดเห็นใจขึ้นมา!” โรแลนด์ยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ น้ำเสียงของเขาดังขึ้นเรื่อยๆ “เผ่าพันธุ์จำนวนนับไม่ถ้วนต้องมาฆ่าฟันกันในนามของสงครามแห่งโชคชะตาจนกระทั่งดับสูญไป นอกจากเศษซากกระดูกและซากเมืองแล้วก็ไม่เหลืออะไรอยู่อีก นี่น่ะเหรอการสั่งสมที่พวกเจ้าว่า!”
“แล้วก็ยังมีเจ้า — ยิปซีลอน ในเมื่อคิดจะทรยศต่อพระเจ้า ทำไมถึงไม่ทำให้มันเด็ดขาดมากกว่านั้นล่ะ? มิสต์ทำเพื่อปลดปล่อยตัวเอง แล้วเจ้าล่ะ? ถ้าแค่อยากจะได้คำตอบๆ หนึ่งล่ะก็ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะพาเจ้าไปในดินแดนของพระเจ้าด้วยหรอก — เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าอยากจะถามพระเจ้ากี่คำถามก็ได้!”
“พูดซะดูดี แต่กลับทำอะไรไม่มีเหตุผล นี่คือตัวตนของสิ่งที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้ากับเทวทูตงั้นเหรอ? สู้คนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ! อย่างน้อยคนธรรมดาก็ยังรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร!”
แต่ยิปซีลอนไม่ได้มีอาการโกรธแม้แต่น้อย
เธอไม่เหมือนกับเทวทูตที่่ผ่านมาเหล่านั้นที่มักจะอ่อนไหวและร้อนใจเป็นพิเศษเวลาที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า เธอถึงขนาดทำสีหน้าเข้าใจออกมาในตอนที่ฟังโรแลนด์พูดจบ
เทวทูตค่อยๆ เดินเข้ามาหาโรแลนด์ ทั้งสองคนอยู่ห่างกันแค่หนึ่งช่วงตัวเท่านั้น”
“เจ้าถามคำถามเหล่านี้ออกมาได้ ก็แสดงให้เห็นว่าอยู่ห่างจากคำตอบอีกแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น”
ไม่ว่าจะสำหรับยิปซีลอนหรือว่าโรแลนด์ ระยะห่างนี้ไม่อาจถือเป็นระยะห่างที่ปลอดภัย แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เลย
“แต่ถ้าไม่ก้าวๆ นั้นออกมา ต่อให้อยู่ใกล้แค่ไหนมันก็เหมือนอยู่ห่างไกล” เธอเงยหน้ามองโรแลนด์ “ที่พระเจ้ายิ่งใหญ่ นั้นเป็นเพราะว่ามันทำอะไร ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีคนรู้เยอะแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นความแตกต่างระหว่างอารยธรรมจะทำให้เกิดแนวคิดและความรู้ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นการที่เจ้าจะไม่เข้าใจมันจึงเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ข้าไม่เหมือนกับมิสต์ ข้าไม่เคยทรยศท่านพระเจ้ามาก่อน ขอให้เจ้าจำในจุดนี้เอาไว้ด้วย”
“สุดท้าย ถ้าเจ้าเตรียมพร้อมแล้ว ตอนนี้ก็ก้าวๆ นั้นออกมาได้แล้ว— ” ในขณะที่พูด ยิปซีลอยก็ค่อยๆ ยื่นมือออกมาคว้าแขนของโรแลนด์เอาไว้ ก่อนจะเอามันมาวางบนหน้าออกของตัวเอง
“เจ้ากำลังทำอะไร?” โรแลนด์ชักมือกลับตามสัญชาตญาณ
“มันก็เห็นๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ — เอาวงแหวนดวงดาวออกไป ทำให้สุดท้ายโลกแห่งความฝันสัมผัสกับเมืองของพระเจ้า เจ้าน่าจะเคยชินกับเรื่องนี้ดีไม่ใช่เหรอ” ยิปซีลอนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมันอย่างไรอย่างนั้น “ฟอลเลนอีวิลและการกัดกินที่อยู่ด้านนอกล้วนแต่ออกมาจากฝีมือของข้า ยิ่งไปกว่านั้นแกนพลังของพวกมันยังถูกเชื่อมต่อเข้ากับตัวข้า เมื่อไรที่เจ้าดูดซับวงแหวนดวงดาวจนหมด พลังเวทมนตร์ของพวกมันก็จะถูกดูดซับเข้ามาอยู่ในโลกนี้ด้วย และพลังที่มากมายขนาดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกแห่งความฝันขยายตัวอีกครั้ง และทำให้ก้าวๆ สุดท้ายออกได้สำเร็จ โลกแห่งจิตสำนึกที่ทับซ้อนกันจะทำให้เกิดการกัดกินขึ้นมาใหม่ แต่ครั้งนี้เป็นโลกแห่งความฝันที่รุกล้ำเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า และเจ้า — ก็จะได้เจอกับพระเจ้า”
“เดี๋ยวๆ” โรแลนด์ลืมตาโตมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ “เทวทูตต้องใช้พลังเวทมนตร์นี้ในการคงอยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่มีวงแหวนดวงดาว —“
“ก็จะตาย” ยิปซีลอนยิ้มขึ้นมา “แต่นั่นเป็นความตายในความคิดของพวกเจ้า ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า ขอเพียงพระเจ้ายังไม่ตาย พวกเราก็จะคงอยู่ไปตลอดกาล สิ่งที่หายไปนั้นมีแต่ร่างที่ชื่อว่ายิปซีลอนเท่านั้น”
“ต่อให้เป็นแบบนั้นเจ้าก็ยังได้ยินคำตอบเหรอ?”
“ไม่…แค่ถามออกไปก็พอแล้ว”
ในขณะที่พูด มันก็เอานิ้วมือทั้งห้าแทงเข้าไปในหน้าอกของตัวเอง จากนั้นก็กระชากเอากลุ่มดวงดาวที่น้ำเงินที่กำลังส่องแสงระยิบระยับออกมา!”
หยดเลือดที่กระเด็นออกมาเปื้อนใบหน้าของโรแลนด์
“แค่กๆ…รับมันเอาไว้ จากนั้นเข้าไปในดินแดนของพระเจ้า — ทุกสิ่งที่เจ้าอยากรู้…แค่ก…อยู่ที่นั่น”
“เจ้า…” โรแลนด์ตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์มันจะกลับตาลปัตรกลายเป็นแบบนี้ แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ลังเลไปมันก็ไม่มีประโยชน์อีก ถ้าอีกฝ่ายพูดไม่ผิดล่ะก็ นับตั้งแต่ตอนที่ม่ายพลังลอยขึ้นไปบนฟ้า ความเร็วในการไหลของเวลาในโลกแห่งความเป็นจริงจะเร็วกว่าโลกแห่งความฝันอย่างมาก กว่าเทวทูตจะตาย ม่านพลังจะสลายไปก็เป็นเวลาอีกเดือนครึ่งหลังจากนั้น
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือเชื่อมั่นในตัวทุกคนที่อยู่บนเกาะลอยฟ้า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โรแลนด์ก็สูดหายใจพร้อมคว้าจับดวงแหวนดวงดาวนั้นเอาไว้
แสงสีน้ำเงินสว่างเจิดจ้าขึ้นมาราวกับกำลังเผาผลาญพลังงานก้อนสุดท้ายอยู่ ร่างกายของเขาเหมือนถูกกระตุ้นขึ้นมา กระแสความร้อนภายในร่างกายไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางลำแสงอันเจิดจ้านี้ เขามองไปทางเทวทูตที่มีเลือดไหลออกมาที่มุมปาก
“ข้ามีคำถามสุดท้ายอยากจะถามเจ้า เจ้าคิดว่าการดับสูญของโลกนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เหรอ?”
“ถูกต้อง…นอกเสียจากว่าเจ้า…จะเอาชนะพระเจ้าได้” น้ำของยิปซีลอนขาดๆ หายๆ “แต่พระเจ้าไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับเจ้า…นี่คือบทสรุปที่ถูกกำหนดเอาไว้แต่แรกแล้ว”
“แต่เจ้าก็ยังเปลี่ยนแปลงความตั้งใจที่มีในตอนแรก!”
“พวกเจ้า…พยายามกันมานานขนาดนี้ ไม่ควรที่จะหายไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร…การที่สามารถเดินทางมาขนาดนี้ได้…นับว่าคู่ควรแก่การยกย่อง” ยิปซีลอนกระอักเลือดออกมาอีกคำ ก่อนจะฝืนยิ้มขึ้นมา “ในเมื่อจุดจบที่ต้องดับสูญ…ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ทำไมข้ายังต้อง…ทำเรื่องที่ไร้ความหมายอีกล่ะ?”
“นี่ไม่ใช่ความตั้งใจที่แท้จริงของเจ้า” โรแลนด์จ้องไปในดวงตาของเธอ ก่อนจะพูดช้าๆ ชัดๆ ว่า”มิสต์อยากจะปลดเปลื้องพันธนการ ส่วนเจ้าอยากจะรู้คำตอบ ข้าไม่รู้ว่าสิ่งที่พันธนาการนางเอาไว้คืออะไร แล้วก็ไม่ณู้ว่าคำถามที่เจ้าอยากจะถามพระเจ้าคืออะไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจได้ นั่นคือพวกเจ้าต่างหวังที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เหรอ! เพราะว่าพวกเรามีสายตาที่เหมือนกัน”
“ขอโทษด้วยนะ…นี่เป็นคำถามที่สองแล้ว…” ยิปซีลอนยิ้มพร้อมปิดตาลง ในตอนที่ลำแสงสีน้ำเงินลอยขึ้นไปถึงจุดสูงสุด เธอก็ขยับริมฝีปากขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันที่โรแลนด์จะได้มองอย่างละเอียด ลำแสงอันเจิดจ้าก็กลืนกินเธอไปจนหมด
………………………………………………………..