บทที่ 699 ทำลายสำนัก

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

ในสำนักวายุคลั่ง ตอนนี้นอกเหนือจากผู้คนที่อยู่ในช่องเขาเพื่อรับการทดสอบเข้าสำนัก หลิงตู้ฉิง หมิงยู่ และหลงหยาก็ไม่เหลือใครที่ยังคงมีลมหายใจอีก

บรรดาผู้คนที่ถูกหมิงยู่สังหารไปนั้นไม่มีใครสักคนที่มีศพหลงเหลือ ร่างกายของพวกเขาถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังงานส่งไปที่หมิงยู่จนหมด

ทางด้านของหลงหยาที่เห็นภาพเช่นนี้ก็รู้สึกกลัวจนขนหัวลุก

ถึงแม้ว่าเขาจะชอบกินมนุษย์และการฆ่าฟัน แต่วิธีการกลืนกินชีวิตแบบนี้มันอยู่เหนือจินตนาการของเขาจนเกินไปจนเขารับไม่ไหว

และเมื่อตอนนี้เขากลับทำพลาดฆ่าโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งไปแล้ว เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโยนร่างของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งที่หมดลมหายใจไปแล้วไปหาหลิงตู้ฉิง และพูดขึ้นด้วยเสียงสูงว่า “ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าเจ้าเลือกที่จะฆ่าตัวตาย ข้าจะยังคงปราณีให้เจ้าได้ไปเกิดใหม่”

“หุบปากไปซะ ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่กลัวเจ้า!” หลงหยาตอบกลับด้วยสีหน้าดุดัน

หลงหยาคิดเข้าข้างตัวเองในใจว่า เขามีความแข็งแกร่งเหนือกว่าทั้งสำนักวายุคลั่งรวมกันซะอีก ดังนั้นหมิงยู่ก็คงไม่น่าจะฆ่าเขาได้เช่นกัน

“นายท่าน ให้ข้าเริ่มโจมตีเขาเลยไหม?” หมิงยู่ถามขึ้น

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เขาเป็นอสูรที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ ไม่ว่าจะยังไงตอนนี้เจ้าก็ยังคงไม่อาจสังหารเขาได้หรอก ตอนนี้เจ้ารีบดูดซับพลังของเหล่าผู้คนที่เจ้าเพิ่งสังหารเข้ามาในร่างเจ้าก่อน จากนั้นเจ้าถึงจะสามารถฆ่าเขาได้”

“ถ้างั้นนายท่านโปรดรอข้าสักครู่!” หมิงยู่หัวเราะ

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ไม่เป็นไร ในระหว่างที่รอข้าก็มีเรื่องจะคุยกับไอ้หนูคุนเป๋งเหมือนกัน”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็มองไปที่ร่างอันไร้ลมหายใจของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋ง จากนั้นเขาใช้พลังวิญญาณของเขาคว้าไปที่ดวงวิญญาณที่ยังคงติดอยู่ในร่างของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเขา และถามว่า “เจ้าลงมาทำอะไรที่โลกเบื้องล่าง?”

ดวงวิญญาณของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งเมื่อถูกดึงออกมาจากร่าง เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที

ถ้าเป็นตามปกติแล้วหลังจากที่ตายไปวิญญาณของเขาควรที่จะถูกดูดลงไปที่ยมโลก แต่เมื่อครู่ตอนที่เขาถูกหักคอจนตายมันกลับกลายเป็นว่าดวงวิญญาณของเขากลับถูกกักขังไว้ในร่างของตนเองไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้เลย ซึ่งมันส่งผลให้เขายังคงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดจากร่างกายของเขาที่ถูกหักคอตาย

ดังนั้นตอนนี้เมื่อวิญญาณของเขาถูกดึงออกมาจากร่าง เขาจึงถูกปลดปล่อยจากความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา

เมื่อได้ยินคำถามของหลิงตู้ฉิง ดวงวิญญาณโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งยิ้มอย่างขมขื่นและตอบกลับว่า “ผู้อาวุโส ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าถูกส่งมาเพราะอะไร บรรพบุรุษของข้าแค่สั่งให้ข้าเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเพื่อฝังเมล็ดพันธุ์อะไรไม่รู้ที่เขาให้ข้าติดตัวมาด้วย แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายข้าไม่ได้เข้าไปเพราะกุญแจของข้าถูกผู้ทรยศขโมยไป ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องอยู่รอเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเปิดขึ้นอีกรอบหนึ่ง”

หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้ว จากนั้นเขาหยิบแหวนมิติที่อยู่บนร่างของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งขึ้นมา และเอาเมล็ดพันธุ์เม็ดหนึ่งที่อยู่ในแหวนออกมาถือไว้และพูดว่า “เมล็ดพันธุ์นี้ใช่ไหม?”

“ใช่แล้วท่านผู้อาวุโส!” ดวงวิญญาณโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งพยักหน้า

“อืม…ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้วตอนนี้” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เอาล่ะ เดี๋ยวหลังจากนี้ข้าจะส่งเจ้าไปเกิดใหม่”

“ขอบคุณที่เมตตาท่านผู้อาวุโส!” ดวงวิญญาณโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “แต่ว่าผู้อาวุโส หากข้าจะขอร้องอะไรท่านสักอย่างจะได้ไหม? เมื่อไหร่ที่ท่านจะฆ่าไอ้เวรนั่น ท่านช่วยทำให้มันตายอย่างทรมานราวกับถูกเฉือนสักพันครั้งจะได้ไหม?”

ในตอนแรกเขากำลังจะได้ตายอย่างไม่ทรมานอยู่แล้ว แต่หลงหยากลับทำให้เขาต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัส ดังนั้นโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งจึงต้องการที่จะล้างแค้น

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ข้าสัญญาว่าเขาจะได้รับความทรมานด้วยการถูกเฉือน 1,000 ครั้งแน่นอน เจ้ารอดูได้เลย เอาล่ะตอนนี้เจ้ารอหมิงยู่ดูดซับพลังจนเสร็จก่อน จากนั้นข้าจะส่งเจ้าไปเกิดใหม่”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็หันมาใส่ใจกับเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในมือแทน

บรรพบุรุษคุนเป๋งต้องการยึดครองเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับงั้นเหรอ?

ในตอนนั้นถ้าหากเขาปลูกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกลงไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ เขาก็จะทำให้เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกลายเป็นโลกที่แท้จริงและเขาก็จะเป็นเจ้าของมันได้เช่นกัน แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในเส้นทางการบ่มเพาะของเขา

หลังจากผ่านไปอีกหลายวัน หมิงยู่ก็ดูดซับพลังทั้งหมดที่ได้จากทะเลโลหิตจนเสร็จส่งผลให้ระดับความแข็งแกร่งร่างโลหิตอมตะของนางตอนนี้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับสวรรค์สมบูรณ์เหมือนเดิม

“นายท่าน ข้าทำได้แค่คืนความแข็งแกร่งมาอยู่ที่ระดับสวรรค์สมบูรณ์เท่านั้นเอง” หมิงยู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

มันยังมีพลังวิญญาณเหลืออยู่อีกจำนวนมหาศาลในทะเลโลหิต แต่เมื่อนางดูดซับพวกมันจนความแข็งแกร่งของนางกลับมาอยู่ที่ระดับสวรรค์สมบูรณ์ นางก็ไม่สามารถดูดซับมันเข้ามาในร่างได้อีกแล้ว

“ร่างที่แท้จริงของเจ้าตอนนี้มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับสวรรค์สมบูรณ์ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะดูดซับได้แค่นี้” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “แต่ทะเลโลหิตนี้มันไม่เหมือนกับทะเลโลหิตของสำนักของเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลว่าพวกมันจะเสียเปล่า เจ้าสามารถใช้พวกแหวนมิติของเหล่าผู้คนของสำนักวายุคลั่งที่หล่นอยู่ที่พื้นมาจัดเก็บโลหิตพวกนี้ได้ทั้งหมด เพื่อเอาไว้ใช้งานอีกทีในภายหลัง”

“เข้าใจแล้วนายท่าน!” หมิงยู่หัวเราะ

จากนั้นนางก็นำบรรดาแหวนมิติจำนวนมากมาเทของที่อยู่ในออกไปทั้งหมด และเริ่มใช้พวกแหวนเหล่านั้นกักเก็บโลหิต

มันต้องใช้แหวนมิติกว่า 80 วงในการกักก็บโลหิตของทะเลโลหิตทั้งหมดที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งสำนักวายุคลั่ง

เมื่อเห็นสีหน้าที่กระอักกระอ่วนของหมิงยู่ที่ถือแหวนจำนวนมากอยู่ในมือ หลิงตู้ฉิงจึงส่ายหัวและพูดว่า “ไว้ข้ามีเวลาเมื่อไหร่ ข้าจะช่วยเจ้าสร้างสมบัติที่สามารถจัดเก็บโลหิตเหล่านั้นทั้งหมดไว้ในที่เดียวกันได้ก็แล้วกัน”

“ขอบคุณนายท่าน” หมิงยู่หัวเราะ

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าหลอมรวมร่างของเจ้ามาที่ข้าก่อน ข้าต้องการใช้พลังของเจ้าในการจัดการไอ้หมาป่าตัวนี้ที่ยังยืนโง่งมอยู่”

เมื่อได้รับคำสั่ง หมิงยู่ก็หลอมรวมร่างของนางเข้ากับร่างของหลิงตู้ฉิงในทันที

ในเวลาเดียวกัน โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งก็จ้องไปที่หลงหยาด้วยสายตาเยาะเย้ยรอดูความทรมานที่กำลังจะเกิดขึ้นกับคู่แค้นของเขา

ส่วนหลงหยาก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าประหม่า เนื่องจากเขาไม่แน่ใจว่าหลิงตู้ฉิงจะใช้วิธีการไหนมาเล่นงานเขา

“ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถฆ่าข้าได้!” หลงหยาพูดขึ้นด้วยสีหน้าดุดัน เขาพยายามที่จะให้กำลังใจตัวเอง

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น ในตอนนี้เขากลับเร่งโคจรพลังของเขาทั้งหมดเตรียมรับมือกับการโจมตีใด ๆ ก็ตามที่หลิงตู้ฉิงกำลังจะปลดปล่อยใส่เขา

ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะสู้เพียงอย่างเดียวเพราะเขาหนีไม่ได้ เนื่องจากค่ายกลป้องกันยังคงเปิดใช้งานอยู่ ทางเลือกเดียวของเขาคือเขาต้องฆ่าหลิงตู้ฉิงให้สำเร็จ

หลิงตู้ฉิงหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นท่าทีของหลงหยาที่ดูประหม่าเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาเอ่ยขึ้นมาเพียงแค่คำ ๆ เดียว “ลม!”