หลังจากสิ้นเสียงของหลิงตู้ฉิง สายลมอันรุนแรงจากทั่วทั้งอาณาเขตวายุก็เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าเข้ามาหาเป้าหมายเดียวกันคือ หลงหยา
แต่น่าเสียดายที่เมื่อบรรดาสายลมอันรุนแรงพัดเข้ามาใกล้ พวกมันกลับไม่สามารถเจาะทะลวงอาณาเขตสวรรค์ของหลงหยาเข้าไปได้แม้แต่น้อย
หลงหยาหัวเราะด้วยสีหน้าสะใจ “ฮ่า ๆๆ พ่อของเจ้าผู้นี้อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิโว้ย พลังลมอันกระจอกงอกง่อยของเจ้าแค่นี้ต่อให้เจ้าจะใช้มันพัดใส่ข้าสักพันปีก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”
หลงหยาเข้าใจเป็นอย่างดีว่า หลิงตู้ฉิงนั้นมีระดับการบ่มเพาะอยู่แค่เพียงขอบเขตนภา ดังนั้นไม่ว่าวิธีการที่หลิงตู้ฉิงใช้มันจะวิเศษขนาดไหน ด้วยระดับการบ่มเพาะแค่นั้นหลิงตู้ฉิงก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี และถึงแม้ว่าในตอนนี้หลิงตู้ฉิงจะยืมพลังของหมิงยู่มาใช้แทน ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งใช้พลังไปนานมากเท่าไหร่พลังของนางก็จะลดลงเรื่อย ๆ มันก็ยังไร้ประโยชน์ที่จะทำอะไรเขาได้เพราะระดับการบ่มเพาะของหมิงยู่เองก็ไม่มากพอที่จะต่อกรกับเขา
“ด้วยความแข็งแกร่งของข้า ข้าสามารถทนการโจมตีของเจ้าได้หลายร้อยปี!” หลงหยาพูดขึ้นต่อ “แต่เจ้าไม่มีเวลามากขนาดนั้นหรอก หากข้าไม่กลับไปที่สันเขาหมื่นอสูรเป็นเวลานาน เผ่าอสูรของข้าจะต้องออกมาตามหาข้าแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นที่พวกเราถูกพบ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าค่ายกลป้องกันของที่นี่จะช่วยคุ้มกะลาหัวเจ้าได้นานแค่ไหนเมื่อเผชิญกับกองทัพของเผ่าอสูรเรา!”
หลิงตู้ฉิงไม่ใส่ใจในคำขู่ของหลงหยา เขายังคงมุ่งมั่นบังคับพลังของสายลมให้พัดมารวมตัวที่หลงหยาต่อไป
ดวงวิญญาณโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งที่กำลังมองดูเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ สบถอยู่ในใจ ‘ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะยังคงหัวเราะได้อีกไหมเมื่อเวลานั้นมาถึง!’
เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าหลิงตู้ฉิงในอดีตนั้นน่ากลัวขนาดไหน ดังนั้นเขาจึงมั่นใจเป็นอย่างมากว่าหลิงตู้ฉิงนั้นจะต้องมีวิธีการเป็นล้านอย่างที่จะสามารถฆ่าหลงหยาได้แบบทรมานที่สุด
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องพูดถึงหลิงตู้ฉิง เอาแค่ตัวเขาเองหากเขามีเวลามากพอในการเตรียมตัวเขาก็ฆ่าตัวตนแบบหลงหยาได้เหมือนกัน ดังนั้นหากเขายังสามารถฆ่าหลงหยาได้ ตัวตนเช่นหลิงตู้ฉิงก็ไม่ต้องพูดถึง
ทางด้านของหลงหยา เมื่อเขาเห็นว่าหลิงตู้ฉิงยังคงไม่สนใจในคำขู่ของเขา เขาจึงเปลี่ยนแผนมาเป็นการพูดโน้มน้าวแทน “เอาแบบนี้ไหม เจ้าจงปล่อยข้าไปซะแล้วข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ตามล้างแค้นเจ้า ข้าจะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่อย่างนั้นหากเจ้ายิ่งถ่วงเวลาออกไปนานมากเท่าไหร่เจ้าก็ยิ่งมีโอกาสสูงมากขึ้นที่จะถูกพบเห็นโดยเผ่าอสูรของข้า และเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าหนีรอดอีกต่อไป!”
ตอนนี้หลงหยาเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ทางออกเหมือนกัน เพราะเขาถูกกักขังโดยค่ายกลป้องกันสำนักวายุคลั่งที่เขาไม่สามารถทำลายมันด้วยตัวเองได้ แถมเขายังต้องใช้พลังทั้งหมดในการป้องกันตัวเองจากสายลมที่ถูกเรียกมาโดยหลิงตู้ฉิง
ถึงแม้ว่าเขาจะพูดไปว่าทางออกของเขาคือการรอเผ่าอสูรของเขามาเจอและช่วยเขาออกไป แต่มันก็ดูเป็นความหวังที่เลื่อนลอยเพราะเขาก็ไม่รู้ว่าเวลานั้นมันจะมาถึงเมื่อไหร่ และที่สำคัญก็คือเขาไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงจะมีวิธีการอื่นอีกไหมในการจัดการกับเขา
“หากหลังจากนี้เจ้ายังคงแสดงท่าทีโอหังได้เหมือนเดิม ข้าจะนับถือเจ้ามาก ๆ เลย” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ตอนนี้เจ้าจงหัวเราะไปให้พอจนเจ้าพอใจ เพราะหลังจากนี้ข้าแน่ใจว่าในระหว่างที่ข้าเฉือนเจ้าพันครั้ง เจ้าจะต้องหัวเราะไม่ออกแน่นอน”
หลงหยาพ่นลมหายใจด้วยความเดือดดาล แต่เขาไม่เถียงอะไรออกมาเพราะว่าตอนนี้เขาเริ่มจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่มันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปได้แล้ว
เขาเริ่มรู้สึกได้ว่าสามลมที่พัดมาชนกับอาณาเขตสวรรค์ของเขานั้นอันที่จริงพวกมันไม่ได้สลายหายไป แต่พวกมันกลับยังคงหมุนวนรอบ ๆ บริเวณที่เขาอยู่
เมื่อรวมกับสายลมที่พัดเข้ามาเรื่อย ๆ ตอนนี้แรงลมที่หมุนรอบตัวของเขามันจึงค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ
จากในตอนแรกที่สายลมที่หมุนเวียนอยู่รอบบริเวณของหลงหยานั้นยังมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ตอนนี้เมื่อสายลมที่พัดวนยิ่งหนาแน่นและรุนแรงขึ้น มันก็เริ่มมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าสายลมเหล่านั้นมันหนาแน่นจนเห็นเป็นม่านสายลมสีเขียว และด้วยความเร็วของลมที่เร็วเหนือกว่าเสียงมันจึงทำให้หลงหยาไม่อาจได้ยินเสียงอะไรที่อยู่ภายนอกม่านสายลมอีกต่อไป
หลงหยาเริ่มที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าหากสายลมยังรุนแรงต่อไปแบบนี้อีกเรื่อย ๆ เขาจะสามารถต้านทานได้ไหวหรือเปล่า
ดวงวิญญาณโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งยิ้มเยาะเย้ยอยู่ในใจ เขามั่นใจเต็ม 10 ส่วนว่าหลงหยาจะต้องพบกับจุดจบที่ทรมานมากกว่าเขานับพันเท่าแน่นอน
เมื่อเวลาผ่านไปได้อีกสักพักจากสายลมที่หมุนวนรอบหลงหยาที่หนาแน่นจนเห็นเป็นสีเขียว ในตอนนี้มันค่อย ๆ เริ่มกลายเป็นสีคล้ำขึ้นจนกลายเป็นสีดำ!
แน่นอนว่าหลงหยาเมื่อเห็นเช่นนี้ในที่สุดเขาก็หวาดกลัวอย่างเต็มที่
เนื่องจากในวินาทีที่สายลมที่หมุนวนรอบเขากลายเป็นสีดำ ฉากถัดมาที่บังเกิดก็คือมันกลายเป็นว่าสายลมสีดำมันเร็วจนมันมีความคมเหมือนดั่งมีดโกนและค่อย ๆ ทำลายอาณาเขตสวรรค์ของเขาไปทีเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว
สายลมสีดำเปิดอาณาเขตสวรรค์ของเขา และจากนั้นพวกมันก็ค่อย ๆ ทำลายพลังแห่งกฎต่าง ๆ ที่อยู่ด้านในจนกระจุยหายไป
แค่เวลาเพียง 1 ก้านธูป อาณาเขตสวรรค์ที่ล้อมอยู่รอบกายเป็นเหมือนเกราะกำบังของหลงหยาก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่หลงหยาที่กำลังเผชิญกับการถูกเชือดเฉือนจากสายลมที่มีความเร็วมหาศาล
สายลมที่มีความเร็วมหาศาลเหล่านี้มีความอำนาจความคมไม่ต่างอะไรกับอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย พวกมันค่อย ๆ เฉือนเนื้อและหนังของหลงหยาให้หลุดออกไปทีละชิ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ
แต่ถึงแม้ว่าจะถูกเฉือนออกไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของหลงหยาที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ยังไม่ตายและด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของเขาที่เมื่อก่อนมันเป็นเหมือนความได้เปรียบของเขาเหนือเผ่ามนุษย์ ตอนนี้มันกลับกลายเป็นฝันร้ายที่สุดของเขาแทนเพราะด้วยร่ายกายที่ใหญ่โตมันก็หมายความว่าเขามีเนื้อให้ถูกเฉือนมากขึ้น ซึ่งมันก็เท่ากับว่าเขาต้องทรมานมากยิ่งขึ้นไปอีก
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เนื้อของอสูรหมาป่านั้นไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ดังนั้นข้าคงไม่เอาเนื้อของเจ้ามากินแน่นอน แต่กระดูกและเลือดของเจ้านี่สิที่สำคัญ ไม่ว่าจะยังไงข้าจะต้องเก็บเอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็บังคับพลังของค่ายกลป้องกันให้ปลดปล่อยตัวเหล่าผู้คนที่ถูกจับตัวมาให้หลงหยากินออกมา
จากจำนวน 3,000 กว่าคนที่ถูกส่งเข้าไปในช่องเขาตอนนี้เหลือน้อยกว่า 1,000 คนที่ยังเหลือรอดอยู่ เพราะคนที่เหลือต่างอยู่ในท้องของหลงหยาจนหมดแล้ว
บรรดาผู้คนที่ถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อพวกเขาเห็นว่าในตอนนี้มีพวกเขาเหลืออยู่ไม่ถึงพันคน พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก
บรรดากลุ่มคนที่เคยได้ยินข่าวลือมาว่าการทดสอบมันเป็นเรื่องลวง เมื่อเห็นจำนวนของพวกเขาที่เหลือแค่นี้ ตอนนี้พวกเขาจึงมั่นใจได้แล้วว่าข่าวลือเป็นความจริงแน่นอน
ส่วนบรรดากลุ่มคนที่ไม่เคยได้ยินข่าวลือ เมื่อพวกเขาถูกปล่อยตัวออกมาและเห็นว่ากลุ่มคนเหลือน้อยกว่าเดิมอย่างมาก พวกเขาจึงเข้าใจไปว่าพวกเขาน่าจะผ่านการทดสอบของสำนักวายุคลั่งเรียบร้อยแล้ว และได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักอย่างเต็มตัว
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจอีกอย่างก็คือ เมื่อพวกเขามองไปรอบ ๆ พวกเขากลับไม่เห็นศิษย์ของสำนักวายุคลั่งสักคนอยู่ในระยะสายตาของพวกเขาเลย พวกเขากลับเห็นแต่บรรดาสมบัติมากมายที่หล่นเกลื่อนพื้นเต็มไปหมดและร่างของอสูรที่ดูคล้ายนกยักษ์ก็ไม่ใช่ปลาวาฬก็ไม่เชิง นอนกองอยู่บนพื้นพร้อมกับร่างของหลิงตู้ฉิงที่ลอยอยู่บนฟ้ากับพายุหมุนสีดำ
หลิงตู้ฉิงมองไปลงไปที่พวกเขาและพูดว่า “เป็นข้าเองที่สังหารคนของสำนักวายุคลั่งจนหมด ส่วนคนที่เข้าทดสอบร่วมกับพวกเจ้าที่หายไปนั้นได้ถูกอสูรกินไปหมดแล้ว พวกเจ้าที่เหลือนั้นนับได้ว่ายังมีโชคที่ดีพอสมควร เอาล่ะข้าอนุญาตให้พวกเจ้าหยิบสมบัติที่หล่นอยู่ที่พื้นไปได้บ้างแต่อย่าโลภมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นหลังจากที่เจ้าออกจากที่นี่ไปแล้ว พวกเจ้าคงจะต้องพบกับจุดจบในเวลาไม่นานนัก”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็มุ่งความสนใจไปที่การฆ่าหลงหยาต่อ
เมื่ออยู่ในเงื้อมมือของเขาแบบนี้ ต่อให้หลงหยาจะพยายามฆ่าตัวตายมันก็ไร้ประโยชน์ เพราะต่อให้หลงหยาตาย หลิงตู้ฉิงก็สามารถกักวิญญาณของหลงหยาให้ติดอยู่แต่ในร่างไม่สามารถลงไปยังยมโลกได้
ส่วนบรรดาสมบัติของศิษย์สำนักวายุคลั่งนับหมื่นคนที่หล่นเกลื่อนอยู่เต็มพื้น หลิงตู้ฉิงนั้นไม่ได้สนใจเท่าไหร่ว่าเหล่าผู้คนหลายร้อยคนที่รอดตายนั้นจะเก็บไปมากแค่ไหน เพราะไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ไม่มีวันเก็บไปได้หมดแน่นอน
แน่นอนว่าส่วนที่เหลืออยู่นั้นเขาจะเก็บไปทั้งหมดเองหลังจากนี้
หลังจากใช้พายุหมุนสีดำทรมานหลงหยาอยู่ 3 วันเต็ม หลิงตู้ฉิงก็สลายพายุหมุนออกไป
หลังจากที่พายุหมุนถูกสลาย สภาพของหลงหยาที่ยังหลงเหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ กระดูก หัวใจ และดวงวิญญาณเท่านั้นที่หลิงตู้ฉิงจงใจเหลือทิ้งไว้
กระดูกของหลงหยานั้นเป็นกระดูกศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงตั้งใจว่าจะเก็บพวกมันไว้หลอมเป็นสมบัติ ส่วนหัวใจนั้นด้านในมันมีแก่นแท้เลือดแห่งชีวิตกักเก็บอยู่
สุดท้ายคือดวงวิญญาณของหลงหยา ที่ในตอนนี้อยู่ในสภาวะแทบจะแหลกสลายจากความเจ็บปวด ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากหลิงตู้ฉิงยังไม่ทำลายมัน มันก็แปลว่าเขายังคงมีวิธีเล่นกับวิญญาณดวงนี้ต่อไปอีก!