บทที่ 701 กวาดสมบัติสำนักวายุคลั่ง

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

หลิงตู้ฉิงมองไปที่ดวงวิญญาณของหลงหยาที่ใกล้จะแหลกสลายด้วยสายตาเย้ยหยัน แน่นอนว่าเขาไม่มีความคิดที่จะปล่อยให้ดวงวิญญาณนี้ลงไปยมโลกเพื่อกลับไปเกิดใหม่

สิ่งที่หลิงตู้ฉิงทำถัดมาก็คือ เขาส่งพลังจิตของเขาเข้าไปในดวงวิญญาณของหลงหยา เพื่อทำลายจิตสำนึกของหลงหยา จากนั้นเขาชำระล้างดวงวิญญาณของหลงหยาให้เหลือแต่พลังวิญญาณบริสุทธิ์ และควบแน่นพวกมันให้กลายเป็นผลึกวิญญาณ ซึ่งจากความแข็งแกร่งของหลงหยา มันจึงทำให้ผลึกวิญญาณที่หลิงตู้ฉิงได้มานั้นมีนับร้อยชิ้น

โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋ง เมื่อเห็นวิธีการเช่นนี้ของหลิงตู้ฉิง เขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนดวงวิญญาณของเขาสั่นกระเพื่อมทันที

เนื่องจากวิธีการของหลิงตู้ฉิงนั้นมันทำให้หลงหยาหายไปตลอดกาล ไม่มีวันกลับมาเกิดใหม่ได้อีกต่อไป

โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งหวาดกลัวอย่างแท้จริง เขากลัวว่าหลิงตู้ฉิงจะใช้วิธีการเดียวนี้กับเขา ถึงแม้ว่าเขายังคงอ่อนแอแต่อย่างน้อย ๆ ดวงวิญญาณของเขามันก็คงถูกควบแน่นเป็นผลึกวิญญาณได้หลายชิ้นอยู่จริงไหม?

แต่ในท้ายที่สุดสิ่งที่เขากังวลมันก็ไม่เกิดขึ้น หลิงตู้ฉิงจับดวงวิญญาณของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งขึ้นมาและพูดว่า “ข้าจะปล่อยให้เจ้าเข้าไปที่ประตูยมโลกด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นหากข้าไปส่งเจ้า มันจะทำให้พวกยมโลกรู้ว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับข้า หากเป็นเช่นนั้นดวงวิญญาณของเจ้าจะถูกทำลายอย่างแน่นอน”

“ขอบคุณมากผู้อาวุโส!” โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งรีบตอบกลับทันที

หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เอาล่ะไปได้แล้ว ข้าถือว่าข้าได้ทำตามที่ข้าได้สัญญากับเจ้าไว้ครบทุกข้อแล้ว”

หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ปล่อยดวงวิญญาณของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งให้ลอยไปหาประตูยมโลกด้วยตัวเอง

เมื่อเห็นว่าดวงวิญญาณของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งได้จากไปแล้ว หลิงตู้ฉิงก็คลายค่ายกลป้องกันสำนักวายุคลั่งลงและพูดกับบรรดาคนที่รอดชีวิตว่า “พวกเจ้ารีบออกไปจากที่นี่ได้แล้ว!”

อันที่จริงต่อให้หลิงตู้ฉิงจะไม่พูดคำนี้ หลังจากที่ค่ายกลป้องกันสำนักวายุคลั่งคลายลงบรรดาผู้คนก็รีบแย่งกันหนีออกไปในทันที

เนื่องจากถึงแม้ว่าบรรดาผู้คนของสำนักวายุคลั่งจะตายไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้ในสำนักวายุคลั่งยังคงมีมหาปีศาจเหลืออยู่อีก 1 ตนคือ หลิงตู้ฉิง

ในสายตาของพวกเขา หลิงตู้ฉิงนั้นน่ากลัวกว่าสำนักวายุคลั่งหลายร้อยเท่าเสียอีก เพราะว่าเขาคือคนที่สามารถฆ่าคนของสำนักวายุคลั่งได้ทั้งหมดจนไม่มีแม้แต่ศพเหลือทิ้งไว้

สิ่งที่พวกเขาเห็นทั้งหมดตอนนี้นั้นมีเพียงแค่สมบัติจำนวนมากที่กองเกลื่อนอยู่ที่พื้นโดยที่ไม่มีศพให้เห็นแม้แต่ศพเดียว

พวกเขายหลายคนต่างคิดกันไปว่า หลิงตู้ฉิงอาจจะเป็นมหาอสูรอีกตนหรือเปล่าที่มากินคนของสำนักวายุคลั่งไปจนหมดไม่มีเหลือ?

หลังจากเหล่าผู้คนที่รอดชีวิตหนีออกไปจากสำนักวายุคลั่งจนหมด หลิงตู้ฉิงก็หันไปหาหมิงยู่และพูดว่า “เจ้าจงไปพาพวกเราทุกคนมาที่นี่เพื่อให้มาช่วยกันเก็บสมบัติเถอะ”

ในเมื่อตอนนี้เขาฆ่าเหล่าผู้คนของสำนักวายุคลั่งไปจนหมดแล้ว ดังนั้นสมบัติที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมดย่อมเป็นของเขารวมไปถึงประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวายุคลั่งด้วยที่เขาจำเป็นต้องแยกชิ้นส่วนมัน และนำมันกลับไปติดตั้งไว้ที่เรือนของเขาเอง

เมื่อได้รับคำสั่ง หมิงยู่ก็แยกร่างออกจากหลิงตู้ฉิง และพุ่งตัวออกจากสำนักวายุคลั่งไปหาจ้าวเหมิงลู่และคนอื่น ๆ ทันที

แต่การสังหารหลงหยาให้สำเร็จได้นั้นร่างโลหิตอมตะของนางร่างนี้ก็ต้องแลกมาด้วยระดับการบ่มเพาะที่ลดลงจากสวรรค์สมบูรณ์ ลงมาเหลือระดับนักบุญ

แน่นอนว่าหลังจากนี้นางคงจะต้องใช้เลือดจากทะเลโลหิตที่นางเก็บอยู่ในแหวนมิติเพื่อคืนความแข็งแกร่งของนางให้กลับมาอยู่ในระดับสวรรค์สมบูรณ์เหมือนเดิม

หลังจากหมิงยู่จากไป หลิงตู้ฉิงก็เก็บหัวใจของหลงหยาเข้าไปในแหวนมิติของเขา เนื่องจากในหัวใจของหลงหยายังคงมีแก่นแท้เลือดแห่งชีวิตหลงเหลืออยู่ ซึ่งมันเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นพลังสายเลือดของหลิงยู่ชาน

ส่วนร่างของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งนั้น แน่นอนว่าหลิงตู้ฉิงก็เก็บมันไปด้วยเช่นกันเพราะอันที่จริงแล้วมันคือเป้าหมายหลักที่หลิงตู้ฉิงมาเยือนสำนักวายุคลั่งรอบนี้

แค่เวลาเพียงชั่วครู่เดียว จ้าวเหมิงลู่และคนอื่น ๆ ก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ซึ่งในเวลาเดียวกันที่ด้านนอกสำนักวายุคลั่งก็เริ่มมีผู้คนมายืนออกันพยายามสังเกตการณ์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นด้านใน

กลุ่มผู้คนที่หนีรอดออกไปได้เมื่อครู่ ในตอนนี้พวกเขาได้เอาข่าวการล่มสลายของสำนักวายุคลั่งประกาศไปจนทั่วแล้ว ส่งผลให้บรรดาผู้คนมากมายต่างรีบมาที่สำนักวายุคลั่งเพื่อรอโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

แต่ตอนนี้เมื่อบุคคลที่เป็นผู้ทำลายล้างสำนักวายุคลั่งยังคงอยู่ด้านใน ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามทำอะไรนอกจากการเฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อ

ในเวลาเดียวกันที่ด้านในสำนักวายุคลั่ง หลิงตู้ฉิงพูดกับคนของเขาว่า “เอาล่ะทุกคนช่วยกันเก็บสมบัติทุกชิ้นที่มีอยู่ในสำนักวายุคลั่งให้หมดไม่ว่าจะในคลังสมบัติของสำนักหรือว่าในแปลงสมุนไพร จงเก็บให้หมดอย่าให้เหลือ ยี่เทียน จำเป็นต้องใช้ของเหล่านี้ในการพัฒนาอาณาจักรของเขา แต่แน่นอนว่าถ้าหากมีของชิ้นไหนที่พวกเจ้าอยากได้ พวกเจ้าก็เก็บเอาไว้กับตัวได้ส่วนหนึ่ง ฟ่างหัว เจ้าไม่ต้องไปช่วยทุกคนเก็บ เจ้าไปกับพ่อ พ่อจะพาเจ้าไปดูประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวายุคลั่ง”

เมื่อหลิงฟ่างหัวได้ยินเช่นนี้ นางก็ทิ้งบรรดาสมบัติที่อยู่ในมือนางทันที จากนั้นนางก็รีบวิ่งตามหลิงตู้ฉิงไปที่จุดที่ตั้งประตูเคลื่อนย้ายของสำนักวายุคลั่ง

“ท่านพ่อประตูเคลื่อนย้ายนี้มันใช้ยังไงกัน?” หลิงฟ่างหัวถามขึ้น

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “กลไกของประตูเคลื่อนย้ายนี้มันไม่น่าจะยากสำหรับเจ้าสักเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวพ่อจะอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับมันให้เจ้าฟังทั้งหมด เพื่อที่หลังจากที่พ่อใช้มันเดินทางไปสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะได้เข้าใจวิธีการถอนการติดตั้งของมันและนำมันกลับไปที่อาณาจักรจันทราได้ด้วยตัวเอง”

“หืม? ท่านพ่อนี่ท่านหมายความว่าท่านจะส่งข้ากลับไปแล้วงั้นเหรอ?” หลิงฟ่างหัวจ้องเขม็งไปที่หลิงตู้ฉิง และถามขึ้น

“มันไม่ใช่ว่าพ่ออยากจะให้เจ้ารีบกลับไปหรอก แต่ประตูเคลื่อนย้ายนี้มันสำคัญมากกับพวกเราจริง ๆ” หลิงตู้ฉิงพยายามอธิบาย “ตัวพ่อเองจำเป็นต้องใช้ประตูเคลื่อนย้ายนี้เดินทางไปยังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์โดยด่วนเพราะพ่อมีเรื่องสำคัญ ซึ่งถ้าพ่อพาเจ้าไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ด้วยแล้วใครจะเป็นคนเก็บประตูเคลื่อนย้ายนี้กลับไปให้กับน้องหกของเจ้า? คนอื่นนั้นไม่มีความรู้เรื่องมิติแบบเจ้า ดังนั้นถ้าจะให้พวกเขาเรียนรู้มันก็คงต้องใช้เวลานาน ดังนั้นหน้าที่นำมันกลับไปพ่อจึงวางใจให้เจ้าทำหน้าที่นี้ได้เพียงแค่คนเดียว และอีกอย่างไม่ใช่ว่าเจ้าพูดอยู่เสมอไม่ใช่เหรอว่าเจ้าอยากท่องเที่ยวไปทั่วโลก? เมื่อไหร่ที่เจ้านำมันกลับไปถึงบ้านของพวกเราและติดตั้งมันเสร็จ ถึงเวลานั้นเจ้าก็สามารถใช้มันท่องโลกได้แล้วยังไงล่ะ”

หลิงฟ่างหัวยังคงแสดงสีหน้าบูดเบี้ยวไม่ยอมตอบอะไรกลับ

นางรู้สึกว่าการที่นางได้ติดตามพ่อของนางเดินทางไปทั่วนั้นมันน่าสนใจกว่าการเรียนรู้เกี่ยวกับประตูเคลื่อนย้ายเป็นไหน ๆ

แต่ถึงแม้ว่านางจะคิดแบบนั้นนางก็ยังคงเข้าใจถึงความสำคัญของประตูเคลื่อนย้ายอยู่ดีว่ามันมีความสำคัญต่อครอบครัวของนางแค่ไหน

หากนางนำมันกลับไปให้ยี่เทียนได้ มันก็แปลว่าครอบครัวของนางทุกคนสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกรวมถึงตัวนางเองด้วย

เมื่อเห็นว่าหลิงฟ่างหัวยังคงแสดงสีหน้าผิดหวังอยู่ หลิงตู้ฉิงก็อดไม่ได้ที่จะต้องปลอบประโลมนางอีกรอบ “งั้นเอาแบบนี้ไหม เดี๋ยวพ่อจะให้พิกัดที่ตั้งของประตูเคลื่อนย้ายของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ให้กับเจ้าเพื่อที่หลังจากที่เจ้ากลับไปถึงทะเลชางหมางแล้ว และเมื่อเจ้าติดตั้งประตูเคลื่อนย้ายอันนี้ให้กับที่นั่นเสร็จ เจ้าก็ใช้มันเดินทางมาหาพ่อที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เป็นไง? แค่นี้เจ้าก็จะได้เดินทางไปกับพ่อต่อเหมือนเดิมแล้วจริงไหม?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงฟ่างหัวก็เผยรอยยิ้มของนางออกมาทันทีและพูดว่า “ก็ได้! ถ้างั้นท่านพ่อต้องรอข้าที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะ!”

หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ได้! งั้นพ่อจะรอเจ้าที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลา 50 ปี แต่ถ้าหากเจ้ามาไม่ทันในเวลา 50 ปี พ่อจะออกเดินทางทันที ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องตั้งใจติดตั้งประตูเคลื่อนย้ายให้เสร็จโดยเร็วที่สุด อ๋อแล้วอย่าลืมว่าในระหว่างที่เจ้าเดินทางกลับ เจ้าจะต้องระมัดระวังตัวให้มาก หากเจ้าเห็นว่าทุกอย่างมันอยู่เหนือการควบคุมจริง ๆ เจ้าก็จงหนีผ่านรอยแยกมิติไปซะ ไม่ต้องสนใจคนอื่น”

ด้วยการคุ้มครองของหยูเจิ้นไห่ ต่อให้หลิงฟ่างหัวจะเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิ หยูเจิ้นไห่ก็ยังสามารถใช้ชีวิตของเขาถ่วงเวลาพอให้หลิงฟ่างหัวหนีไปยังมิติอื่นได้แน่นอน

“ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ” หลิงฟ่างหัวพยักหน้า “เอาล่ะ ท่านพ่อตอนนี้ท่านก็อธิบายมาได้แล้วว่าประตูเคลื่อนย้ายนี้มันทำงานยังไง และจะติดตั้งหรือถอนการติดตั้งมันแบบไหน”

จากนั้นคู่พ่อลูกก็ง่วนอยู่กับประตูเคลื่อนย้าย ซึ่งหลิงตู้ฉิงก็อธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับประตูเคลื่อนย้ายรวมไปถึงกฎแห่งมิติทั้งหมดที่ตัวของเขาเข้าใจอยู่ไม่มากนักให้กับหลิงฟ่างหัวได้ฟัง

ในเวลานี้ หลิงตู้ฉิงมั่นใจแล้วว่าต่อให้เขาจะอธิบายกฎแห่งมิติที่เขาเข้าใจให้กับหลิงฟ่างหัวฟังทั้งหมดมันก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อเส้นทางการบ่มเพาะของนาง เพราะนางได้พบเส้นทางการบ่มเพาะของนางเองเรียบร้อยแล้ว