โครมมม !
ประตูห้องพักถูกถีบเปิดออกอย่างแรงและเผยให้เห็นกลุ่มคนที่มีสีหน้าท่าทางเย่อหยิ่งนับสิบคนยืนอยู่ข้างหน้า สายตาของพวกเขามองตรงมาที่ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ อย่างเย้ยหยัน
เมื่อเห็นว่าไม่ใช่คนตระกูลเฝิง ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งใจ
คนอื่น ๆ ก็ลุกขึ้นยืนเช่นกันและจับจ้องตรงไปที่กลุ่มคนหน้าประตูโดยที่แผ่พลังออกไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
“พวกเจ้าเป็นใคร ?”
จางเหิงเอ่ยถามเสียงแข็งทันที คนเหล่านี้แสดงท่าทางไม่เป็นมิตรอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากตระกูลเฝิง พวกเขาก็มั่นใจว่าตนเองไม่ได้มีปัญหากับใครอื่น
“เหอะ พวกข้าต้องการห้องของพวกเจ้า รีบไสหัวออกไปซะ !”
หัวหน้ากลุ่มเป็นบุรุษที่ดูอายุประมาณสามสิบปี เขากล่าวขณะมองจางเหิงสลับกับฉื่อไท่หลางด้วยแววตาเย้ยหยันอย่างชัดเจนและโยนแก่นหินวิญญาณจำนวนหนึ่งลงตรงหน้าทั้งสอง
พวกเขาเดินทางมาที่เมืองเทียนหยวนแห่งนี้เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกเช่นกัน ทว่าเนื่องจากมาช้าจนเกินไป ห้องพักในโรงเตี๊ยมจึงถูกจับจ้องจนไม่เหลือห้องว่าง หลังจากสืบข่าวทั่วบริเวณและพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งธรรมดา ๆ พักอยู่ในห้องบริเวณนี้ พวกเขาจึงวางแผนที่จะขับไล่ออกคนเหล่านี้ออกไปและยึดห้องมาเป็นของตนเอง
“ทำไมกัน ?”
วาจาและท่าทางของบุรุษผู้นั้นทำให้ฉื่อไท่หลางและจางเหิงไม่พอใจอย่างมาก ห้องพักเหล่านี้เป็นห้องของพวกเขา เหตุใดพวกเขาจะต้องยอมหลีกทางให้คนแปลกหน้าผู้นี้ด้วยเล่า ?
“เพราะพวกเจ้าอ่อนแอเกินไปอย่างไงล่ะ !”
บุรุษผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามทันที ด้วยการที่มีพลังอ่อนแอและไม่ได้มาจากตระกูลที่แข็งแกร่ง คนเหล่านี้สมควรที่จะตกเป็นเป้าหมายของการถูกรังแก
“เหอะ ฝันไปเถอะ !”
จางเหิงแค่นเสียงในลำคออย่างไม่แยแส ถึงอย่างไรเขาและคนอื่น ๆ ก็มิใช่คนรักตัวกลัวตายและเห็นแก่เงินทอง
“เถ้าแก่ นี่มันหมายความว่าอะไรกัน ?”
ฉื่อไท่หลางมองไปยังเถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหลังคนผู้นั้นและเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“ท่านจอมยุทธ์ พวกท่านเปลี่ยนไปพักที่อื่นจะดีกว่าหรือไม่ขอรับ ? พวกเรายินดีชดเชยเงินเป็นสองเท่าจากที่พวกท่านชำระไว้ก่อนหน้านี้”
เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่โรงเตี๊ยมหวาดกลัวกลุ่มคนเหล่านี้พอสมควรขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอนเล็กน้อย
สถานะของคนเหล่านี้ไม่ได้ธรรมดาเลย นอกจากการที่มีความแข็งแกร่งในขอบเขตราชาเซียน พวกเขาก็มีความสัมพันธ์กับตระกูลโจว—หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวน เขาเป็นเพียงแค่เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ เขาจะกล้าขัดคำสั่งและทำให้คนของตระกูลโจวไม่พอใจได้อย่างไร ?
“ไม่ พวกเราเข้ามาพักที่นี่ก่อนและเราจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาไล่เราได้”
ฉื่อไท่หลางตอบปฏิเสธออกไปโดยตรง ไม่ต้องพิจารณาถึงความจริงที่ว่าพวกเขายังคงรอให้ฉินอวี้โม่กลับมา ต่อให้ไม่ต้องรอนาง เขาและคนอื่น ๆ ก็ไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นมาหยามเกียรติเช่นนี้ได้
“เหอะ ช่างกล้านัก รู้รึไม่ว่าพวกข้าเป็นใคร ?”
บุรุษฝ่ายตรงข้ามแค่นเสียงในลำคอและกล่าวต่อโดยยังไม่ลงมือทำสิ่งใด
“ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าเป็นใครมาจากไหน มาก่อนย่อมได้ก่อน พวกเจ้าไม่เข้าใจความจริงข้อนี้รึ ? พวกข้ามาก่อนและจ่ายเงินค่าห้องพักเหล่านี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นห้องพักเหล่านี้จึงเป็นของพวกข้า พวกข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้ายึดห้องไปได้แน่ !”
ฉื่อไท่หลางกล่าวอย่างหนักแน่น ถึงอย่างไรลูกผู้ชายก็ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ หากไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่เป็นสิทธิ์ของตน แล้วหลังจากนี้เขาจะขึ้นเป็นใหญ่และปกครองผู้คนได้อย่างไรอีก ?
“ดี ! ดีมาก !”
เมื่อได้ยินวาจาของฉื่อไท่หลาง บุรุษผู้นั้นก็แสยะยิ้มอย่างไม่มีท่าทีโกรธแค้นขณะโบกมือส่งสัญญาณและออกคำสั่ง “จับคนพวกนี้โยนออกไปซะ !”
ไม่มีใครหน้าไหนที่ริอาจขัดคำสั่งและแข็งข้อกับเขามานานมาแล้ว คนเหล่านี้ไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย
แม้แต่ตระกูลเล็ก ๆ ของเมืองเทียนหยวนก็ยังต้องแสดงความเคารพต่อเขา ‘โจวสิง’ ทว่ามดปลวกตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเหล่านี้กลับกล้าขัดคำสั่งของเขา พวกเขารนหาที่ตายโดยแท้ !
“ช่างริอาจยิ่งนัก !”
หลายคนข้างหลังโจวสิงพยักศีรษะรับคำสั่งและกำลังจะก้าวออกไปข้างหน้า ทว่าก่อนที่จะก้าวเข้าไปภายในห้อง จู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้นมา
จากนั้น แรงเตะที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลก็กระแทกเข้าที่อกของพวกเขาจนกระเด็นออกไป
ห้องพักของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อยู่บนชั้นที่สามของโรงเตี๊ยม เดิมทีมันเป็นอาคารสี่เหลี่ยมที่มีห้องพักสองข้างและเป็นพื้นที่เปิดโล่งตรงกลาง เวลานี้หลายคนที่กระเด็นลงจากชั้นสามก็หล่นลงกระแทกบนพื้นของชั้นที่หนึ่งจนส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและหมดสติไป
“ใครกันที่ริอาจเข้ามาแส่เรื่องของข้า ?!”
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้โจวสิงตกตะลึงไปทันที เมื่อเห็นว่าสองคนที่มากับตนถูกเตะกระเด็นออกไปจนไม่อาจรู้ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ตัวเขาก็เดือดดาลขึ้นมา
“เหอะ เจ้าคิดจะพาคนมาแย่งที่พักของข้าไปและยังคิดจะรังแกคนของข้าอีกด้วย นี่ยังมิใช่เรื่องของข้าอีกรึ ?!”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงและมองโจวสิงด้วยแววตาที่ไม่แยแสแม้แต่น้อย
สำหรับจอมยุทธ์ผู้ที่เพิ่งบรรลุเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนโดยที่รากฐานยังไม่เสถียรคงที่นั้น ไม่มีความจำเป็นที่นางจะต้องเกรงกลัว
“พาคนของเจ้าไสหัวออกไปซะ !”
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและแรงกดดันของนางก็แผ่ออกไปรอบตัวจนโจวสิงถึงกับต้องถอยหลังออกไปเล็กน้อย
“สามหาวนัก ! กล้าพูดจากับข้าเช่นนี้รึ ? เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว !”
หลังจากสงบสติอารมณ์และสัมผัสได้ว่าพลังของฉินอวี้โม่อยู่ในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวเพียงเท่านั้น ความกลัวในหัวใจของเขาก็หายไปและแทนที่ด้วยความโอหังอีกครา
“เข้ามา ข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักเพียงใด”
เขาโบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อยก่อนเข้าโจมตีฉินอวี้โม่พร้อมกับคนของตนเอง
พวกเขามิใช่คนโง่เขลาและทราบได้ทันทีว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้คือหัวหน้ากลุ่มของอีกฝ่ายและเป็นผู้ที่จัดการได้ยากที่สุด ตราบใดที่จัดการกับฉินอวี้โม่ได้สำเร็จ แน่นอนว่าฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ก็จะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอีกต่อไป
“นายหญิง ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
เสียงของซิวดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ นับตั้งแต่มาเยือนดินแดนมหาเทพแห่งนี้ ความแข็งแกร่งของมันก็พัฒนาขึ้นมากจนตอนนี้มันทรงพลังยิ่งกว่าฉินอวี้โม่เสียอีกและบรรลุระดับราชาเซียนเต็มตัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความได้เปรียบของร่างเทพอสูร จอมยุทธ์ราชาเซียนตรงหน้าเหล่านี้ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของมันแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องหรอก เกรงว่าคนพวกนี้ยังมีไพ่ตายอื่นซ่อนไว้ เจ้ายังไม่ต้องแสดงตัว ข้ารับมือเองได้”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ และปฏิเสธซิวอย่างไม่ลังเลก่อนพุ่งตรงเข้าโจมตีอีกฝ่ายเช่นกัน
การที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหวาดกลัวคนเหล่านี้เป็นอย่างมากก็ทำให้นางมั่นใจว่าพวกเขาน่าจะมีไพ่ตายซ่อนไว้พอสมควร ตอนนี้ซิวถือว่าเป็นไพ่ตายสุดท้ายของนางและนางจะไม่ยอมแสดงมันออกมาง่าย ๆ แน่ หากไพ่ตายของคนเหล่านี้แกร่งกล้ามากเกินไป การปรากฏตัวของซิวในตอนนั้นก็จะทำให้เกิดผลที่น่าทึ่งยิ่งกว่า
“เข้าใจแล้ว”
ซิวไม่คัดค้านและอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อไป
ฉินอวี้โม่ก็เคลื่อนไหวออกไปอย่างรวดเร็วและปรากฏตัวตรงหน้าคนที่อยู่ใกล้ประตูภายในชั่วพริบตา
นางออกแรงเตะคนผู้นั้นจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง ทว่าร่างของนางก็ยังไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวแต่อย่างใดและพุ่งเข้าโจมตีคนอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นเมื่อมีเสียงกระแทกแรงดังขึ้นมา ทุก ๆ คนก็กระเด็นลงไปกองรวมกันที่ชั้นหนึ่งโดยเหลือเพียงแค่โจวสิงคนเดียวเท่านั้น สำหรับคนที่ถูกเตะกระเด็นออกไป บางคนหมดสติไปในทันทีในขณะที่บางคนพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน ทว่าสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือพวกเขาทุกคนอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาอย่างที่สุด
ความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่มก็ดึงดูดสายตาของผู้คนโดยรอบ เวลานี้ แขกจากห้องอื่นต่างก็เดินออกมาและชมเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้จากระยะห่างออกไป
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เตะจอมยุทธ์ราชาเซียนครึ่งก้าวหลายคนกระเด็นร่วงลงกระแทกพื้นได้อย่างง่ายดาย พวกเขาก็อดตกตะลึงไม่ได้ เด็กหนุ่มผิวเข้มที่ดูธรรมดาผู้นี้ทรงพลังมากเพียงใดกัน ?
สีหน้าของโจวสิงในตอนนี้บิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ คาดไม่ถึงเลยว่าจอมยุทธ์ที่ดูจากภายนอกแล้วมีพลังเพียงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวจะมีพลังการโจมตีที่แกร่งกล้าถึงเพียงนี้ ทุกคนที่ติดตามเขามาในครานี้ไม่สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อยและถูกเตะออกไปอย่างง่ายดายทีละคน ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ราชาเซียนเต็มตัวก็อาจไม่มีพลังที่แข็งแกร่งมากเช่นนี้ด้วยซ้ำ
“ถึงตาเจ้าแล้ว”
สายตาของฉินอวี้โม่เลื่อนมาหยุดลงที่โจวสิงและกล่าวเพียงสั้น ๆ ทว่านั่นทำให้อีกฝ่ายสั่นสะท้านในทันที
“คิดว่าข้าจะกลัวเจ้างั้นรึ !”
โจวสิงตะโกนเสียงดังและร่างของเขาพุ่งหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตกใจระคนงุนงงของทุกคน
จากวาจาของบุรุษผู้นั้น ทุกคนคิดว่าเขาจะตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะหันหลังกลับและหลบหนีหางจุกตูดออกไป ภายในพริบตาเดียว เขาก็หายไปจากโรงเตี๊ยมโดยที่ไม่เหลือแม้แต่เงา
“เหอะ ขี้ขลาดชะมัด !”
จางเหิงแค่นเสียงระบายความโกรธแค้นในใจและพึมพำอย่างเย้ยหยัน
คนอื่น ๆ ก็เรียกสติกลับคืนมาและแววตาแสดงถึงความรังเกียจเช่นกัน
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย รีบหนีไปก่อนเถอะขอรับ”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมมองฉินอวี้โม่อย่างระแวดระวังขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ
เขาเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่คิดว่าฉินอวี้โม่และคณะมีพลังในระดับธรรมดาทั่วไปเท่านั้น คาดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วนางจะเก่งกล้าสามารถถึงเพียงนี้ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมธรรมดา ๆ อย่างเขาไม่กล้าทำให้โจวสิงไม่พอใจ ทว่าในตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่าเขาไม่ควรที่จะทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต้องขุ่นเคืองใจเช่นกัน
“ข้าขออภัยสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ขอรับ โจวสิงผู้นั้นเป็นญาติห่าง ๆ ของผู้นำตระกูลโจวในเมืองเทียนหยวนและได้รับการคุ้มกะลาหัวโดยตระกูลโจว พวกเราเป็นเพียงโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ และไม่มีทางเลยที่พวกเราจะกล้าท้าทายตระกูลโจว”
เขากล่าวขอโทษฉินอวี้โม่และคนของตระกูลฉื่อพร้อมอธิบายเหตุผลที่ตนไม่กล้าขัดคำสั่งของโจวสิงผู้นั้น
“ไม่เป็นไร”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบเบา ๆ นางเข้าใจความกังวลใจของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมดีและไม่ต้องการทำให้เขาลำบากใจยิ่งกว่าเดิม
“การที่โจวสิงหลบหนีออกไปเช่นนี้ เขาคงจะรีบไปที่จวนตระกูลโจวเพื่อเรียกกำลังเสริมมาแน่ อีกไม่นานคงจะมีคนจากตระกูลโจวมาที่นี่และท่านทั้งหลายอาจจะเผชิญกับปัญหาได้ ข้าจึงคิดว่าทุกท่านน่าจะถือโอกาสในระหว่างที่พวกเขายังมาไม่ถึงนี้ในการหลบหนีออกไปจากที่นี่เสียก่อน หากท่านออกจากเมืองเทียนหยวนไปแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น คนจากตระกูลโจวก็คงไม่มีเวลาที่จะไล่ล่าจอมยุทธ์เพียงไม่กี่คนหรอกขอรับ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เมตตาและไม่เอาเรื่องตน เถ้าแก่ก็โล่งใจขึ้นมากและรีบกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างชัดเจน
ตระกูลโจวคือหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวนซึ่งมีพื้นเพและความแข็งแกร่งที่เกินกว่าที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะเอาชนะได้ แม้พลังของนางจะไม่ธรรมดา ทว่านางก็คงไม่มีโอกาสชนะเมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลโจว
ในเวลานี้ก็ใกล้ถึงการคัดเลือกศิษย์เต็มที ตราบใดที่พวกนางออกจากเมืองเทียนหยวนไปเสียก่อน คนตระกูลโจวคงจะไม่ยอมเสียเวลาในการเตรียมตัวสำหรับการคัดเลือกศิษย์เพื่อส่งคนออกไปตามล่าพวกนางอย่างแน่นอน
“ไม่ล่ะ ข้าเองก็อยากเห็นนักว่าสี่ตระกูลใหญ่จะทรงพลังสักเพียงใด”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและปฏิเสธทันที นางและคณะศิษย์ตระกูลฉื่อมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือก พวกนางจะไม่ยอมกลับไปทั้งที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ตระกูลโจวจะทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีทางส่งศิษย์ฝีมือดีที่สุดออกมาเพียงเพื่อสั่งสอนคนกลุ่มเล็ก ๆ อย่างพวกนาง อย่างมากที่สุดพวกเขาก็คงส่งลิ่วล้อธรรมดา ๆ มาที่นี่และฉินอวี้โม่มั่นใจว่าจะรับมือได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ ต่อให้นางจะทำให้ตระกูลโจวเดือดดาลขึ้นมาจริง ๆ นางก็ยังมีป้ายจ้าวสมุทรอยู่กับตัว ไม่ว่าพวกเขาจะทรงอิทธิพลแค่ไหน นางก็มั่นใจว่าพวกเขาไม่กล้าท้าทายศูนย์การค้าจ้าวสมุทรอย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอให้ท่านทั้งหลายระวังตัวด้วยขอรับ”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่มีแผนการที่เตรียมไว้แล้ว เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็ไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ
ไม่ว่าฝ่ายฉินอวี้โม่หรือคนตระกูลโจว เขาก็ไม่กล้าทำให้ผู้ใดไม่พอใจ ทางที่ดีเขาควรเก็บตัวสงบเสงี่ยมและไม่เอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวจะดีที่สุด
แขกคนอื่น ๆ ในโรงเตี๊ยมก็แสดงสีหน้าประหลาดใจทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หลายคนคิดว่าฉินอวี้โม่มั่นใจในตัวเองมากจนเกินไปและกำลังรนหาที่ตาย ทว่าหลายคนก็ชื่นชมในความองอาจกล้าหาญของคนเหล่านี้และแอบเอาใจช่วยอยู่ไม่น้อย ในขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ก็เพียงต้องการชมเรื่องสนุกเท่านั้น ในเมื่อมิใช่เรื่องของตน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากจนเกินไป
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็ปิดประตูห้องและเริ่มเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ที่นางได้พบและประมือกับเฝิงเยี่ยให้ทุกคนได้ฟัง
“ลูกพี่อวี้โม่ ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็จะร่วมฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างไปกับท่าน !”
ทุกคนแสดงความมุ่งมั่นและแน่วแน่ในแววตาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับผู้ใด พวกเขาก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป จู่ ๆ แรงกดดันที่ทรงพลังก็ปกคลุมบริเวณห้องพักของฉินอวี้โม่และคณะศิษย์ตระกูลฉื่อที่เหลือ