ตอนที่ 767 ความสงสัยของเฝิงเยี่ย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ณ พื้นที่ว่างเปล่านอกตัวเมืองเทียนหยวน ฉินอวี้โม่หยุดเคลื่อนไหวและยืนนิ่งอยู่กับที่

ท้องฟ้าในเวลานี้มืดสนิทแล้วและมีผู้คนเดินสัญจรไปมาบนถนนเพียงไม่มากนัก

“การที่ท่านจอมยุทธ์แอบตามข้ามาเป็นระยะเวลานานเช่นนี้ ข้าคิดว่ามันนานพอแล้ว !”

นางมองไปยังทิศทางหนึ่งและโบกมือเพื่อปลดปล่อยก้อนพลังมายาตรงออกไปยังจุดที่ดูว่างเปล่าจุดหนึ่ง

“โอ้ ข้าคาดเดาไว้ไม่ผิดเลยจริง ๆ !”

ท่ามกลางความว่างเปล่าในจุดนั้น ร่าง ๆ หนึ่งปรากฏตัวขึ้นและปัดเป่าก้อนพลังมายาของฉินอวี้โม่ออกไป คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็น ‘เฝิงเยี่ย’ ที่ดักรอฉินอวี้โม่และคณะอยู่หน้าประตูเมืองก่อนหน้านี้

“เจ้าคือฉินอวี้โม่สินะ !”

วาจาของเขามิใช่การเอ่ยถามเพื่อต้องการคำตอบ ทว่าเป็นการยืนยันข้อสงสัยของตน

หน้าประตูเมืองก่อนหน้านี้ เฝิงเยี่ยรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากฉินอวี้โม่และเกิดความสงสัยขึ้นมา เพียงเมื่อนางเดินผ่าน ความผันผวนของพลังที่เกิดขึ้นชั่วขณะก็ทำให้ความสงสัยก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างสลัดไม่หลุด

เมื่อกลับถึงจวนตระกูลเฝิง เขาก็ตรวจสอบข้อมูลของอำเภอซ่างหยวนอย่างละเอียดอีกครั้งและนั่นก็ทำให้ความมั่นใจของเขาเพิ่มขึ้นมา

นอกเหนือจากจูโหย่งจ้วงที่เป็นตัวแทนจากอำเภอซ่างหยวนก็ยังมีอีกเจ็ดคนที่ผ่านเข้ารอบเช่นกัน และคณะเดินทางของบุรุษหนุ่มที่ทำให้เขาเกิดความสงสัยก่อนหน้านี้ก็มีจำนวนเจ็ดคนพอดิบพอดี

เขาคาดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะชาญฉลาดถึงเพียงนี้ ก่อนเดินทางเข้าเมืองเทียนหยวน นางและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกของตนไม่มากก็น้อย หากมิใช่เพราะเฝิงเยี่ยมีไหวพริบและประสาทสัมผัสที่เฉียบคมกว่าศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลเฝิง เกรงว่าเขาคงไม่คิดสงสัยสิ่งใด

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้บอกใครคนอื่นเกี่ยวกับสิ่งที่ค้นพบและสืบเบาะแสของคนที่เชื่อว่าเป็นฉินอวี้โม่อย่างลับ ๆ เมื่อเห็นนางออกจากศูนย์การค้าจ้าวสมุทร เขาก็รีบตามมาทันที

เดิมทีเขามั่นใจว่าฉินอวี้โม่คงไม่มีทางรับรู้ว่ากำลังถูกตามรอยอยู่ ทว่าแท้ที่จริงแล้วนางค้นพบเขาตั้งแต่แรก

พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เหนือกว่าความคาดหมายของเขาไปอย่างแท้จริง

“โอ้ แล้วอย่างไรรึ ? เจ้าคิดจะทำอะไรข้างั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธขณะตอบโต้กลับ แม้เอ่ยถามออกไปเช่นนั้น ทว่าลึก ๆ ในใจนางก็รับรู้ได้ว่าเฝิงเยี่ยผู้นี้มิได้มาเพื่อหาเรื่องหรือสร้างปัญหาให้ตน

ในเมื่อคาดเดาตัวตนของนางได้อย่างมั่นใจพอสมควรแล้ว หากเขาคิดจะกำจัดหรือสร้างปัญหาให้กับนางจริง เฝิงเยี่ยผู้นี้ก็คงจะไม่มาเพียงลำพัง

“ข้าได้รับคำสั่งจากท่านผู้นำตระกูลให้สั่งสอนเจ้ากับคนจากตระกูลฉื่อและทำให้หมดสิทธิ์จากการแข่งขัน แม้เจ้าจะแข็งแกร่งมาก เจ้าก็มิใช่คู่มือของข้าหรอก”

เฝิงเยี่ยกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ ทว่ายังไม่ลงมือทำสิ่งใด แท้ที่จริงแล้วเขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เลยสักนิด

จูยงและจูโหย่วจ้วงซึ่งพักอยู่ที่จวนตระกูลเฝิงในตอนนี้มิใช่บุคคลที่เฝิงเยี่ยจะรู้สึกชื่นชมได้ ในทางตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกชื่นชมฉินอวี้โม่ตรงหน้านี้ที่ทั้งมีพรสวรรค์อันน่าทึ่งและปัญญาที่ชาญฉลาดมากกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เขาก็ได้สืบข้อมูลเกี่ยวกับอำเภอซ่างหยวนมาพอสมควร เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลจูที่ทำสิ่งชั่วร้ายน่ารังเกียจมากมาย เขายินดีที่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับตระกูลฉื่อมากกว่า

แม้ตระกูลเฝิงออกคำสั่งอย่างชัดเจน เขาก็อาจไม่ปฏิบัติตามนั้น

“โอ้ จริงรึ ? ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจมากทีเดียว !”

ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ศิษย์ของตระกูลเฝิงผู้นี้แข็งแกร่งมากก็จริง ทว่าด้วยไพ่ตายมากมายที่มี ฉินอวี้โม่มั่นใจพอสมควรว่าจะเอาชนะเขาได้

“ฉินอวี้โม่ ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า สาเหตุที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ก็มีอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือมาเตือนว่าช่วงนี้เจ้าและคนอื่น ๆ จากตระกูลฉื่อไม่ควรออกไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ตามที่ใดและรอให้ถึงวันของการคัดเลือกก่อน เมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลเฝิงจะไม่สามารถทำอะไรพวกเจ้าได้…”

แม้ฉินอวี้โม่และคณะจะพยายามปลอมตัวอย่างแนบเนียน ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป พวกนางก็จะกระตุ้นความสงสัยของคนตระกูลเฝิงได้ไม่ยาก ถึงอย่างไรตระกูลเฝิงก็เป็นถึงตระกูลอันดับห้าของเมืองเทียนหยวน หากพวกเขาพยายามสืบเบาะแสอย่างจริงจัง พวกเขาก็จะค้นพบความผิดปกติได้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น การเก็บตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมและไม่ออกไปที่ใดขณะรอการคัดเลือกมาถึงและค่อยแสดงตัวในตอนนั้นคือทางที่ดีที่สุดสำหรับคนตระกูลฉื่อ

“อีกห้าวัน ข้าจะพาทุกคนจากตระกูลฉื่อไปเข้าร่วมงานประมูลใหญ่ของศูนย์การค้าจ้าวสมุทร”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ เดิมทีนางวางแผนที่จะเก็บตัวสงบเสงี่ยมในช่วงเวลาหลายวันนี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับงานประมูลที่จะจัดขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้า พวกนางคงจะต้องเปิดเผยตัวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

“ตระกูลเฝิงไม่กล้าสร้างปัญหากวนใจศูนย์การค้าจ้าวสมุทรอย่างแน่นอน”

เฝิงเยี่ยกล่าวตอบทันที หากตัวตนของฉินอวี้โม่และคนตระกูลฉื่อถูกเปิดเผยในงานประมูล ต่อให้ตระกูลเฝิงคิดลงมือทำสิ่งใด พวกเขาก็ไม่กล้าอย่างแน่นอน อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงตระกูลเฝิงด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวนก็ไม่กล้าท้าทายศูนย์การค้าจ้าวสมุทรเช่นกัน

“อย่างที่สอง…ข้าสงสัยใคร่รู้เหลือเกินว่าเจ้าจะแข็งแกร่งสักเพียงใด !”

ประกายแห่งจิตวิญญาณนักสู้ปรากฏในแววตาของเฝิงเยี่ยและร่างของเขาก็พุ่งตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่ทันที

เนื่องจากการคัดเลือกกำลังใกล้เข้ามาและไม่ต้องการก่อความวุ่นวายจนดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ เพราะเหตุนั้นเฝิงเยี่ยจึงเลือกที่จะใช้ทักษะการต่อสู้ของตนเพื่อทดสอบฝีมือที่แท้จริงของฉินอวี้โม่

“ตามที่ปรารถนา !”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและตอบโต้อย่างรวดเร็ว การต่อสู้เช่นนี้จะช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของนางได้มาก ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าหากต่อสู้กับผู้ที่แกร่งกล้าสามารถเช่นนี้อย่างสุดความสามารถหลายครั้งหลายครา มันจะช่วยให้พลังการต่อสู้ของนางเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน

นางคาดเดาว่าการที่พลังของนางยังอยู่ในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวเป็นเพราะประสบการณ์การต่อสู้ของนางยังน้อยเกินไปและรากฐานพลังยังไม่มั่นคงมากพอ มีเพียงการสั่งสมประสบการณ์และต่อสู้ฝึกปรือฝีมืออย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่จะช่วยให้นางพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็วและมีโอกาสทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนเต็มตัวได้ในที่สุด

ทั้งสองปลดปล่อยการโจมตีใส่กันทันทีโดยไม่ได้ใช้พลังมายาแม้แต่น้อยและไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากจนเกินไป

การเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่รวดเร็วอย่างยิ่ง แม้จะมีพลังเพียงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว แต่ความเร็วของนางก็มากกว่าเฝิงเยี่ยเสียอีก อีกทั้งการโจมตีของนางก็ยังรุนแรงขณะประยุกต์ใช้ทักษะการต่อสู้ระยะประชิดที่ได้เรียนรู้มาทั้งหมดอย่างเต็มที่

แม้ความเร็วของเฝิงเยี่ยจะไม่มากเท่าฉินอวี้โม่ เขาก็มีทักษะการโจมตีเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับที่ดีมากและด้วยการเคลื่อนไหวหลากหลายรูปแบบ เขาก็มักจะพบจุดอ่อนของฉินอวี้โม่และโจมตีนางได้หลายครา

ภายในชั่วพริบตา ทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกันจนจะครบหนึ่งร้อยกระบวนท่าแล้ว

การโจมตีของเฝิงเยี่ยก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้จะไม่ใช้พลังมายา พละกำลังของเขาก็เหนือกว่าฉินอวี้โม่มาก นอกจากนี้ การที่เขาหมั่นฝึกยุทธ์พัฒนาความแข็งแกร่งทางกายภาพอยู่เป็นประจำก็ทำให้เขามั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบในไม่ช้า

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแตกต่างจากความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง

ทักษะการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่ก็เป็นสิ่งที่เฝิงเยี่ยไม่เคยพบเห็นมาก่อน นอกจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วจนแทบตามไม่ทัน มันก็ยังดูแปลกประหลาดและดูเลื่อนลอยไร้น้ำหนัก นางสามารถหลบหลีกไปยังจุดบอดของการโจมตีของเขาได้ในทุกครั้งซึ่งทำให้การโจมตีของเฝิงเยี่ยล้มเหลวไปโดยปริยาย

ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของฉินอวี้โม่ก็ยอดเยี่ยมมากทีเดียว แม้ในขณะที่หลบหลีกการโจมตีของเฝิงเยี่ย นางก็ชิงจังหวะโจมตีโต้กลับอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ราวกับว่านางพบจุดอ่อนของเขาได้อย่างฉับพลันในหลายครั้งหลายครา หากมิใช่เพราะเฝิงเยี่ยบรรลุขอบเขตราชาเซียนไปแล้วซึ่งส่งผลให้ความแข็งแกร่งและความรุนแรงของการโจมตีของเขาแกร่งกล้ากว่าฉินอวี้โม่ เกรงว่าเฝิงเยี่ยก็คงจะเพลี่ยงพล้ำไปนานแล้ว

“ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่แปลกใจที่ตระกูลจูจะหวาดหวั่นต่อเจ้า แม้แต่จูโหย่วจ้วงเองก็ยังต้องอับอายขายหน้าถึงเพียงนั้น !”

ทั้งสองปล่อยการโจมตีปะทะกันอย่างจังอีกครั้งจนถอยหลังไปนับสิบก้าว เวลานี้เฝิงเยี่ยมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าแววตาชื่นชมไม่น้อย

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉินอวี้โม่ผู้นี้จึงทำให้ตระกูลจูหวาดหวั่นและพยายามหาทางกำจัดนางให้ได้โดยเร็วที่สุด ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ ตราบใดที่นางมีเวลาสั่งสมประสบการณ์และมีเวลาพัฒนาเติบโตมากพอ นางจะกลายเป็นยอดฝีมือผู้เลื่องชื่อของดินแดนมหาเทพอย่างแน่นอน

“ข้าขอถอนคำพูด ต่อให้ข้าทุ่มเทอย่างเต็มที่ ข้าก็อาจเอาชนะเจ้าไม่ได้”

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าฉินอวี้โม่มิใช่คู่มือของตนเอง ทว่าตอนนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่าตนเองมั่นใจจนเกินไป ฝีมือของฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขาเลย แม้ว่าจะมีพลังเพียงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว ทว่าก็ไม่มีทางเลยที่ใครจะนำนางไปเปรียบกับจอมยุทธ์ราชาเซียนครึ่งก้าวคนอื่น ๆ ได้

ยิ่งไปกว่านั้น เฝิงเยี่ยก็รู้สึกได้ว่าฉินอวี้โม่ยังมีไพ่ตายบางอย่างซ่อนไว้ หากนางแสดงมันออกมา เขาก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำต่อนางได้ ต่อให้ต้องประจันหน้ากับผู้นำตระกูลเฝิง ฉินอวี้โม่ก็อาจไม่พ่ายแพ้เช่นกัน

“เจ้าเองก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงผู้คนจึงลือกันว่าเจ้าเป็นจอมยุทธ์หน้าใหม่ที่เก่งกาจที่สุดในเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ !”

ฉินอวี้โม่เองก็ชื่นชมเฝิงเยี่ยมากเช่นกัน เขาไม่ทะนงตนและบุ่มบ่ามจนเกินไป ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์จนมุม เขาก็พยายามควบคุมจังหวะการต่อสู้และไม่เผยจุดอ่อนให้อีกฝ่ายเห็นมากจนเกินไป ทัศนคติเหล่านี้ของเฝิงเยี่ยทำให้เขามีคุณสมบัติมากพอที่จะพัฒนากลายเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของดินแดนมหาเทพได้

“ฮ่า ๆ ๆ เป็นการต่อสู้ที่สนุกจริง ๆ !”

เฝิงเยี่ยมักจะเป็นบุคคลที่มีท่าทีเย็นชามาตลอด ทว่าตอนนี้เขากลับหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ

การได้ประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีทั้งพรสวรรค์และความแข็งแกร่งเช่นนี้ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิต เฝิงเยี่ยรู้สึกพึงพอใจในความสามารถของฉินอวี้โม่ยิ่งนัก

“ฉินอวี้โม่ ไว้ต่อสู้กันใหม่ในการคัดเลือกศิษย์ที่กำลังจะมาถึง !”

เขาเพียงกล่าวทิ้งท้ายและเหาะออกไป

ในการคัดเลือกที่ใกล้เข้ามา เขาจะแสดงพลังความแข็งแแกร่งและไพ่ตายอื่น ๆ อย่างเต็มที่ กล่าวได้เลยว่าเฝิงเยี่ยตั้งตารอที่จะได้ประจันฝีมือกับนางเป็นที่สุด

“เฝิงเยี่ย การมีจิตใจรู้คุณเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่เจ้าต้องมีหลักการความคิดเป็นของตัวเอง จอมยุทธ์ควรที่จะใช้ชีวิตอยู่บนความอิสระโดยที่ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ มิฉะนั้น ต่อให้พวกเขาจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด ทว่าตราบใดที่ยังคงมีสิ่งกวนใจอยู่ตลอดเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่มีทางพัฒนาไปได้ไกลหรอก”

ฉินอวี้โม่กล่าวย้ำเตือนและแสดงความคิดเห็นว่าคนอย่างเฝิงเยี่ยไม่ควรอยู่กับตระกูลเฝิงอีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น นางสืบข้อมูลเกี่ยวกับเฝิงเยี่ยมาพอสมควร ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้ ทว่าเขากลับไม่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงของตนเองออกมาและยังถูกหวาดหวั่นโดยศิษย์คนอื่นๆ การอยู่กับตระกูลเฝิงต่อไปไม่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนบ่มเพาะของเฝิงเยี่ยอย่างแน่นอน

หลังจากออกจากตระกูลเฝิงและกำจัดสิ่งกวนใจที่ไม่จำเป็นทั้งหมดเท่านั้นจึงจะทำให้เฝิงเยี่ยจะพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งได้ !

“ขอบคุณ ข้าจะลองคิดดู !”

เสียงของเฝิงเยี่ยดังขึ้นมาจากบนอากาศในขณะที่ตัวเขาหายไปจนมองไม่เห็นด้วยซ้ำ

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนมุ่งหน้ากลับเข้าในตัวเมือง

ภายในโรงเตี๊ยม ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ ก็รวมตัวกันอยู่ในห้อง

“นายน้อย เหตุใดแม่นางอวี้โม่จึงยังไม่กลับมา ?”

จางเหิงกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล ก่อนหน้านี้ที่ฉินอวี้โม่ออกไปที่ศูนย์การค้า นางกล่าวว่าจะรีบกลับมาโดยเร็ว ทว่าตอนนี้มืดมากแล้วและจะถึงเที่ยงคืนในอีกไม่นาน เหตุใดนางจึงยังไม่กลับมาอีก ?

เดิมทีเขาก็ต้องการไปที่ศูนย์การค้าเพื่อตามหาด้วยตัวเอง ทว่าเมื่อนึกย้อนไปถึงวาจาที่ฉินอวี้โม่กล่าวไว้ เขาก็ตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้น

เมืองเทียนหยวนเป็นเมืองใหญ่ที่ทรงอิทธิพลกว่าอำเภอซ่างหยวนมากนักและที่นี่เต็มไปด้วยจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ากระจายอยู่ทั่วเมือง หากตระกูลเฝิงค้นพบตัวตนของพวกเขาโดยบังเอิญ เกรงว่ามันจะก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่ควรและทำให้เรื่องวุ่นวายมากไปกว่าเดิม

“รอก่อนเถอะ พวกเราทราบถึงความแข็งแกร่งของลูกพี่อวี้โม่ดี ยิ่งไปกว่านั้น นางมีคฤหาสน์มิติอยู่กับตัว ต่อให้เผชิญกับปัญหาใด นางก็น่าจะหลบหนีไปได้ไม่ยาก เรารอต่อไปสักพักเถอะ หากถึงตอนนั้นแล้วลูกพี่ยังไม่กลับมา ข้าจะออกไปสืบข่าวด้วยตัวเอง”

ฉื่อไท่หลางเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่อย่างมากและมั่นใจว่าจะไม่เกิดอันตรายใด ๆ กับนาง อย่างไรก็ตาม หัวใจของเขาก็ยังมีความกังวลที่สลัดไม่ได้ ถึงอย่างไรแล้วเมืองเทียนหยวนก็กว้างใหญ่และทรงพลังกว่าอำเภอซ่างหยวนมากนักและมีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ามากมายที่พวกเขาไม่รู้จัก หากฉินอวี้โม่ต้องประจันหน้ากับจอมยุทธ์เหล่านั้น ไม่อาจทราบได้เลยว่านางจะรับมือได้หรือไม่

ทุกคนรอต่อไปด้วยหัวใจที่เป็นกังวลและเวลาอีกสองก้านธูปก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องออกไปตามหานาง”

ฉื่อไท่หลางยืนขึ้นและไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป ในตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจนเข้าวันใหม่แล้วและฉินอวี้โม่ยังไม่กลับมา เกรงว่าอาจเกิดปัญหาบางอย่างกับนางก็เป็นได้

“ข้าจะไปกับท่าน หากเกิดอะไรขึ้น เราจะได้ช่วยกัน”

จางเหิงยืนขึ้นและตั้งใจจะไปกับฉื่อไท่หลางเช่นกัน หากเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นจริง ทั้งสองก็สามารถแยกย้ายกันหลบหนีเอาตัวรอดและกลับมาแจ้งทุกคนที่นี่ได้

“ชู่ววว์~ มีคนมา !”

ขณะที่ทั้งสองกำลังจะออกไปข้างนอกห้อง จู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา จางเหิงและฉื่อไท่หลางก็มองหน้ากันด้วยความกังวลที่ฉายชัดในแววตาทันที