ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 11 ไร้โรคภัย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมืองเสวี่ยเหล่าทนทุกข์จากพายุหิมะตลอดปี อยู่ห่างจากโลกมนุษย์อย่างยิ่ง แต่ข่าวคราวก็มีมาไม่เคยขาด

เมืองหลวงเผ่าปีศาจเป็นเมืองใหญ่ที่ถูกจับตามองจากคนมากมายเฉกเช่นจิงตูกับลั่วหยาง แม้ว่าประตูเมืองทั้งสิบเจ็ดจะถูกปิดลงหมด ก็ยังมีวิธีการนับไม่ถ้วนที่จะส่งข่าวออกมา

อย่างไรก็ตาม เมืองเสวี่ยเหล่าถูกปิดมานานสามวันแล้ว แต่สังฆราชก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในนั้น

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การปิดเมืองทั่วไป ต้องมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นภายในกำแพงพวกนั้น

เรื่องในสุสานเทียนซูก็เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อนเช่นกัน

เฉินฉางเซิงจำคำของอาจารย์ที่กล่าวกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ เขาเคยบอกว่าเขาได้เตรียมเรื่องเผ่ามารเอาไว้แล้ว หรือว่าจะเกี่ยวกับการปิดเมืองเสวี่ยเหล่าครั้งนี้

เขาส่ายหน้า ไม่คิดถึงคำถามนี้อีก เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเสวี่ยเหล่ามีอะไรเกี่ยวกับเขาด้วย

สังฆราชสำรวจมองท่าทีของเขา และสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ “ร่างที่มีประโยชน์ต้องใช้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเพื่อประชาชนของโลกหรือเส้นทางแห่งจิตของตนเองก็ตาม”

เฉินฉางเซิงมองไปที่ใบไม้ร่วงด้านนอก กล่าวด้วยน้ำเสียงกระด้างอยู่บ้าง “ข้าถูกใช้ประโยชน์มาหลายครั้งแล้ว”

คนนอกอาจพบว่าคำพูดนี้น่าสับสนอยู่บ้าง แต่สังฆราชเข้าใจความหมายของเขาดี ความสงสารและรู้สึกผิดปรากฏขึ้นบนดวงตา

“นอกจากถูกใช้ประโยชน์ ก็ยังมีอย่างอื่นอีก อย่างเช่นญาติมิตร”

เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง “เจ้าแซ่เฉิน เป็นเชื้อสายราชวงศ์ มีญาติอยู่มากมาย”

“อาจารย์อาพูดถึงท่านอ๋องเหล่านั้นหรือ พวกเขาอยากให้ข้าตายเร็วขึ้นมากกว่าสิ่งใด”

นี่เป็นการประมาณที่ถูกต้องอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเซียงอ๋องที่มีอำนาจเทียมฟ้า หรือจงซานอ๋องที่ควบคุมกองทัพต้าโจวอันแข็งแกร่ง ล้วนแล้วแต่หวาดกลัวเฉินฉางเซิง

เพราะเฉินฉางเซิงเองก็เป็นเชื้อสายราชวงศ์ เป็นศิษย์ของซางสิงโจว เป็นคนที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และที่สำคัญที่สุด เขาเป็นว่าที่สังฆราช

เมื่อมีการต่อสู้ชิงบัลลังก์หรืออำนาจ เขาย่อมเป็นคู่แข่งที่อ๋องสกุลเฉินเหล่านั้นต้องการเผชิญหน้าน้อยที่สุด

ส่วนเรื่องความรักฉันญาติมิตรนั้นเป็นเรื่องน่าขันสำหรับราชสกุลเฉิน

ผ่านไปเกือบพันปี ก็ยังไม่มีใครลืมการยืดอำนาจที่สวนร้อยหญ้าได้

อ๋องทั้งหลายในตอนนี้ล้วนเป็นลูกหลานองค์ไท่จง เขาจะปล่อยให้ทายาทผู้จากไปครองอำนาจมากมายได้อย่างไร

สังฆราชเข้าใจความหมายของเฉินฉางเซิง “ต่อให้เป็นเช่นนั้น เจ้าก็ยังมีญาติ”

คำว่า ‘ญาติ’ ในที่นี้ย่อมหมายถึงเหล่าราชนิกุลที่ถูกขับไล่ ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในดินแดนเซิ่งกวง

เฉกเช่นนักบวชที่ปรากฏกายขึ้นริมลำธารข้างวัดเก่าเมืองซีหนิง

ในแง่ของสายเลือด ราชนิกุลที่ถูกจักรพรรดิไท่จงขับไล่ไปอีกดินแดนหนึ่งย่อมเป็นญาติของเฉินฉางเซิง

มีความเป็นไปได้ว่าบิดามารดาเขายังมีชีวิตอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง

เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าสังฆราชพูดถึงคนที่อยู่แดนเซิ่งกวงไม่ใช่เพื่อให้เขาทำอะไร แต่เพื่อให้เขารู้ว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโลกนี้อยู่

ความสัมพันธ์นี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในโลกนี้บ้างสักเล็กน้อย ไม่ขมขื่นผิดหวังอีกต่อไป หรือบางทีอาจมอบเหตุผลบางอย่างให้เขาชอบโลกใบนี้

เขารู้สึกหวั่นไหวกับสิ่งนี้

ทว่าเขาหวั่นไหวเพราะสังฆราชพูดเรื่องพวกนี้ มิใช่เพราะเนื้อหา

เพราะเขาไม่มีความประทับใจอันดีเกี่ยวกับ ‘ญาติ’ ที่อยู่บนดินแดนเซิ่งกวงเลยแม้แต่อย่างเดียว

“คนพวกนั้นไม่ใช่ญาติข้า พวกเขาล้วนเป็นคนเลว”

เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “เมื่อข้ายังเป็นทารก ไม่ แม้แต่ตอนที่ข้ายังอยู่ในครรภ์ พวกเขาก็ได้ทำเรื่องมากมายกับข้า”

เรื่องอะไรน่ะหรือ ก็เรื่องที่ให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เชื่อว่าเขาคือรัชทายาทเจาหมิง เมื่อเขายังเป็นทารกหรืออาจตั้งแต่อยู่ในครรภ์ คนบนดินแดนเซิ่งกวงได้ใช้พลังจากภายนอกมาทำลายวงตะวันของเขา ทำลายเส้นลมปราณของเขา จากนั้นก็เติมร่างเขาจนเหมือนจะเปี่ยมไปด้วยปราณแห่งชีวิตที่ไร้สิ้นสุด แต่อันที่จริงแล้วเป็นพลังแสงศักดิ์สิทธิ์ที่อันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ

ตอนที่วางแผนนี้ ไม่ว่าอาจารย์หรือญาติบนดินแดนเซิ่งกวงก็ไม่อาจคาดคิดได้ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จะตัดสินใจท้าลิขิตพลิกโชคชะตาให้กับเขา

นี่ย่อมหมายความว่าบทสรุปของแผนนี้ เขาต้องถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กินหรือไม่ก็ปล่อยให้ตายไป

นี่ก็หมายความว่านับตั้งแต่เกิด ทารกคนนี้ก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี

เป็นเรื่องโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง

ดังนั้น พวกเขาทุกคนจึงเป็นคนเลว

……

……

“ข้าเก่งเรื่องการแพทย์ ใช้ชีวิตอย่างมีวินัยเข้มงวด ข้าไม่เคยกินของที่มันเกินไป เค็มเกินไป ของดองยิ่งไม่แตะต้อง ข้าใช้ชีวิตอย่างห่วงสุขภาพและบำเพ็ญเพียรอย่างจริงใจ ข้าบอกว่าข้าจากเมืองซีหนิงมาจิงตูเพื่อยกเลิกการหมั้น แต่อันที่จริงมาเพื่อรักษาอาการป่วย เพื่อช่วยชีวิตตนเอง เพื่อท้าลิขิตพลิกโชคชะตา ทั้งหมดนี้ เป้าหมายในชีวิตก็เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป”

เมื่อเขามองไปยังใบไม้ร่วงที่ลอยตุ๊บป่องอยู่ในทะเลสาบ สีหน้าเฉินฉางเซิงก็หม่นหมองลงไปบ้าง

“ตอนนี้ อาการป่วยของข้าก็หายแล้ว สามารถมีชีวิตต่อไป สามารถมีอายุเกินยี่สิบปี สองร้อยปีหรืออาจถึงพันปี แต่ข้าพลันพบว่า ข้าเป็นเพียงแค่ตัวปลอม เป็นแค่เครื่องมือ เป็นผลไม้ การมีอยู่ของข้าไร้ความหมายตั้งแต่แรกแล้ว แล้วมีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีความหมายอันใด”

สังฆราชต้องการพูดแต่ก็ลังเล

“อาจารย์อา ข้ารู้ว่าท่านต้องการจะปลอบโยนข้า แต่ตอนนี้ ข้าไม่มีอะไร”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าไม่มีแม้แต่โรคภัยอีกต่อไป”

ยามที่กล่าว น้ำเสียงไม่สั่นแม้แต่น้อย เขาดูสงบอย่างมาก

แม้แต่สังฆราชที่มีประสบพบความเปลี่ยนแปลงมามากมาย พบเจอเรื่องราวมาแล้วทุกชนิดบนโลกนี้ ก็ยังรู้สึกปวดร้าว

เขาไม่มีอะไร ไม่มีแม้แต่โรคภัย

มีความโศกเศร้ารันทดบรรจุอยู่ในถ้อยคำที่สงบสุขุมนี้มากมายเพียงใด

สังฆราชถอนหายใจ

เขามายังสำนักฝึกหลวงในวันนี้ ก็เพื่อปลุกขวัญเฉินฉางเซิง อย่างน้อยก็หาเหตุผลให้เขามีชีวิตต่อไป ทว่าเฉินฉางเซิงได้บอกว่าการมีอยู่ของตนนั้นไร้ความหมาย เขาต้องโน้มน้าวเฉินฉางเซิงว่าโลกนี้ยังมีความเมตตาให้กับเขา แต่อันที่จริง แม้แต่ก่อนเขาเกิด โลกนี้ก็มีแต่ความโหดร้ายให้กับเฉินฉางเซิง

เขาควรจะโน้มน้าวเฉินฉางเซิงอีกสักหน่อย อย่างเช่นอวี๋เหริน หรือสวีโหย่วหรง หรือไม่ก็ถังซานสือลิ่ว

แต่เห็นความสงบและโศกเศร้าของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีแล้ว เขาก็ไม่อาจพูดสิ่งใดได้อีกต่อไป

“อันที่จริง ข้าเชื่อว่าข้าจะพบเจ้าในสำนักฝึกหลวง หรือได้เห็นเจ้าเก็บข้าวของ เมื่อเจ้าไม่ได้ทำ ก็หมายความว่าเจ้ายังลังเล โลกนี้ไม่มีความเมตตาให้กับเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี เลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ใช้เวลาอย่ารีบร้อน ข้ายังมีเวลาอีกสองสามวัน”

กล่าวแล้ว สังฆราชก็ไปจากสำนักฝึกหลวง

เฉินฉางเซิงไม่ได้หันกลับไป เขายังมองไปที่สีสันของฤดูใบไม้ร่วงนอกหน้าต่าง จึงไม่ตระหนักว่าแผ่นหลังสังฆราชดูหมองมัวและโดดเดี่ยวเพียงใด

สังฆราชไปจากสำนักฝึกหลวง เหมาชิวอวี่และผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นของนิกายหลวงก็จากไปพร้อมกับเขา ตามมาด้วยมุขนายกหลายสิบคนและทหารม้านิกายหลวง

ทหารม้าและยอดฝีมือจากราชสำนักไม่ปรากฏตัวอีก พระราชวังหลีแสดงกำลังออกมาและแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน

เฉินฉางเซิงยังคงเป็นว่าที่สังฆราช

สำนักฝึกหลวงได้ความสงบกลับคืนมา ประตูเปิดออกอีกครั้งเพื่อต้อนรับกลิ่นหอมของฤดูใบไม้ร่วง

อาจารย์และนักเรียนที่จากไปตอนเกิดเหตุโกลาหลทั้งหมด ถูกซูม่ออวี๋จดชื่อเอาไว้ในสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ

อาจารย์กับนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้จากไป พวกเขาเริ่มทำความสะอาด เก็บกวาดซากปรักหักพังรอบหอตำรา ในขณะที่เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนการสอนในวันพรุ่งนี้ด้วยเช่นกัน

เฉินฉางเซิงไปยังสวนร้อยหญ้าที่อยู่ติดกัน

ป่าที่นี่ยังคงมีใบดกกว่าป่าของสำนักฝึกหลวง สีสันหลากหลายของฤดูใบไม้ร่วงทำให้เกิดภาพที่งดงาม

มีโต๊ะหินอยู่ในป่าตัวหนึ่ง

ไม่มีกาน้ำชาหรือถ้วยชาบนโต๊ะ

เขานั่งที่โต๊ะ สายตาเหม่อมองออกไป