บ้านหลายสิบหลังพังราบเป็นหน้ากลอง เหลือไว้เพียงแค่โรงน้ำชาตั้งอยู่ ครั้นเมื่อฝุ่นในส่วนลึกของตรอกไป๋ฮวาสงบลง รถม้าหลายคันก็มาถึง
ไม่มีใครอยู่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง บรรยากาศเงียบมากทว่าความจริงแล้วมีสายตานับไม่ถ้วนที่ลอบมองมายังที่แห่งนี้
เฉินหลิวอ๋องลงมาจากรถม้า
เป็นอ๋องเยาว์ที่สุดในราชวงศ์ต้าโจว ยังคงมีสีหน้าอ่อนโยนให้ความรู้สึกดุจสายลมวสันต์ อย่างไรก็ตาม บรรยากาศสูงส่งรอบกายหนาหนักกว่าเดิม บางทีด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำตัวสบายๆ มากขึ้น รูปลักษณ์ดูสดใสกว่าเดิม ใบหน้าดูชัดเจนกว่าเดิม
อ๋องสกุลเฉินสิบสี่องค์เดินทางเข้าจิงตู เซียงอ๋องเป็นผู้นำ มีการเสนอในราชสำนักว่าจะมอบตำแหน่งมหาเสนาบดีให้กับเซียงอ๋อง เฉินหลิวอ๋องเป็นบุตรของเซียงอ๋อง และยังเป็นสมาชิกสกุลเฉินเพียงคนเดียวที่อยู่ในจิงตูช่วงสิบกว่าปีมานี้ เรื่องนี้ทำให้เขาเป็นที่หวาดกลัวของอ๋องทั้งหลาย แม้แต่พี่น้องของเขาเอง แต่ก็มีผลงานน่ายกย่อง หากไม่มีเขา อ๋องสกุลเฉินคงยากที่จะทำให้จิงตูสงบลงได้ในเวลาอันสั้น
เฉินหลิวอ๋องเดินขึ้นประตูสำนักฝึกหลวง
ไม่มีใครมาต้อนรับหรือขัดขวาง มีเพียงเจตจำนงกระบี่อันบางเบาแต่ทรงพลัง แผ่ออกมาจากกำแพงราวกับดอกเหมยเหมันต์
ยอดฝีมือหลายคนที่มีแววตาลึกล้ำและการบำเพ็ญเพียรไม่ธรรมดามาถึงด้านหลังเขา
เฉินหลิวอ๋องทำท่าบอกว่ายอดฝีมือจวนอ๋องจะไม่เคลื่อนไหวโดยไม่ได้รับคำสั่งจากเขาและจะอยู่กับที่ เขาจะเดินเข้าไปตามลำพัง
หลังจากเดินเข้าสำนักฝึกหลวง เขาก็ยังไม่ได้รับการต้อนรับหรือขัดขวาง มีแต่ดวงตะวันฤดูใบไม้ร่วงที่สะท้อนอยู่บนทะเลสาบและต้นไทรใหญ่เขียวชอุ่ม
เฉินหลิวอ๋องเข้าสู่หอตำรา สองปีมานี้ เขากับเฉินฉางเซิงพูดคุยกับอย่างผ่อนคลาย มิใช่ที่หอเฉิงหู หากแต่เป็นที่นี่
หญิงสาวเยาว์วัยหลายสิบคนอยู่ริมทะเลสาบ บ้างนั่งบ้างยืนกระซิบกระซาบกัน
เฉินหลิวอ๋องตกใจกับภาพที่เห็น คิดในใจ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กลับไปแดนใต้แล้ว ทำไมศิษย์ของสถานศึกษาหนานซียังอยู่ที่นี่อีก
อาจารย์กับนักเรียนกำลังทำความสะอาดหอตำรา ซูม่ออวี๋กำลังเตรียมการซ่อมแซม จนกระทั่งนักบวชที่ข้างกายกระซิบบอกเขาจึงสังเกตเห็นเฉินหลิวอ๋อง
เขารู้ว่าเหตุใดเฉินหลิวอ๋องถึงมาและบอกอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าสำนักไม่อยู่”
เฉินหลิวอ๋องคิด หากเป็นข้า ข้าก็คงไม่ยอมพบคนจากราชสกุลเฉิน
“เช่นนั้นข้าจะรอ” เขากล่าวกับซูม่ออวี๋
ซูม่ออวี๋ตอบ “ราชสำนักมีเรื่องต้องกังวลมากมาย มีหลายที่ที่ท่านอ๋องต้องไป หากท่านอ๋องต้องการก็ทิ้งข้อความไว้ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่”
เฉินหลิวอ๋องเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของซูม่ออวี๋ เขายิ้มอย่างขมขื่นอยู่บ้างและตอบ “เอาเป็นว่าข้ามาหาความสงบใจแล้วกัน”
……
……
เฉินหลิวอ๋องผู้บริสุทธิ์สูงส่ง คำสัญญาที่ให้มีค่ายิ่งกว่าทองพันตำลึง นี่เป็นสิ่งที่คนมากมายทราบกันดี
หากเขาบอกว่าจะรอ เขาก็จะรอจริงๆ เขานั่งใต้ต้นไม้ริมทะเลสาบ มือถือถ้วยชาเอาไว้ ยิ้มตอบสายตาสงสัยของเหล่าหญิงสาวจากสถานศึกษาหนานซี ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็กลับมาในยามโพล้เพล้
ศิษย์สถานศึกษาหนานซีและอาจารย์นักเรียนสำนักฝึกหลวงรู้ว่าทั้งสองต้องการพูดคุยกัน พวกเขาจึงต้องจากไป
เฉินหลิวอ๋องถือถ้วยชามองไปที่หญ้า ใบไม้ร่วงบนหญ้าอย่างเงียบงัน หลังจากผ่านไปนาน เขาก็ถามขึ้นในที่สุด “ขอข้าไปคารวะสุสานเหนียงเหนียงได้หรือไม่”
เฉินฉางเซิงไม่คาดคิดว่าคำพูดแรกของเขาจะเป็นเรื่องนี้และตะลึงงันอยู่บ้าง
“ไม่ว่าจะมีความขัดแย้งกันหรือเรื่องใครผิดใครถูก เหนียงเหนียงก็ปฏิบัติต่อข้าด้วยดี” เฉินหลิวอ๋องเงยหน้ากล่าว “ข้าได้รับการเลี้ยงดูจากนางสิบกว่าปีก่อนจะออกจากวัง”
เฉินฉางเซิงคิดดูแล้วก็ถามกลับ “ชีวิตสิบกว่าปีนั้นขมขื่นหรือไม่”
เฉินหลิวอ๋องสะดุ้งอยู่บ้าง จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่นอีกครั้ง
ดังที่เฉินฉางเซิงคาด ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอย่างจงใจ แค่มองดูความจริงเบื้องลึก เขาก็เปิดโปงความจริงของเรื่องออกมาได้ด้วยประโยคง่ายๆ
“ถูกต้อง…ในช่วงหลายปีนั้น เหนียงเหนียงปฏิบัติต่อข้าด้วยดีทีเดียว ทุกคนในวังปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพอย่างสูง แต่ข้ากลับใช้ชีวิตอย่างขมขื่น”
เฉินหลิวอ๋องก้มลง วางถ้วยชาลงบนพื้นหญ้าแล้วกล่าวต่อ “เพราะข้าแซ่เฉิน”
เฉินฉางเซิงมองตาเขาแล้วถาม “ดังนั้นไม่ว่านางจะปฏิบัติต่อท่านอย่างไร ท่านก็ยังต้องการให้นายตายอยู่ดี”
เฉินหลิวอ๋องครุ่นคิดอยู่ระยะเวลาหนึ่งแล้วตอบ “บางทีเพราะข้าไม่เคยเข้าใจว่านางเป็นคนแบบไหน ข้าจึงหวาดกลัวนาง”
เฉินฉางเซิงคิดถึงคำตอบของเขาแล้วเห็นด้วย “ข้าเองก็ไม่เข้าใจนาง”
เฉินหลิวอ๋องมองไปที่เขาและกล่าวอย่างจริงจัง “แต่ตอนนี้เจ้าก็ยังยืนอยู่ข้างนาง…เจ้ารู้ว่าข้าพูดถึงเจ้ายืนอยู่ข้างนางในแง่ของจิตใจ”
เฉินฉางเซิงไม่ได้อธิบาย “ท่านอ๋อง ทำไมถึงมาหาข้า”
เฉินหลิวอ๋องตอบ “ข้าหวังจะได้แสดงความเคารพต่อนาง”
เฉินฉางเซิงใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
เขาไม่อาจบอกใครได้ว่าเขาฝังร่างของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไว้ที่ไหน
ต่อให้เป็นเฉินหลิวอ๋องที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เลี้ยงดูมาก็ตาม
“ผิงกั๋วถูกตระกูลเทียนไห่นำตัวกลับไปแล้ว” เฉินหลิวอ๋องพลันพูดขึ้นมา
นี่เป็นเรื่องที่เฉินฉางเซิงไม่สนใจ แต่เขาก็รู้ว่าเมื่อเฉินหลิวอ๋องพูดขึ้นมา เขาก็ต้องพูดอะไรอีกอย่างแน่นอน
“นอกจากคนบนบัลลังก์ โลกนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก มีด้านที่น่าเกลียด แต่ก็ยังมีด้านที่ใจอ่อนอีกด้วย”
เฉินหลิวอ๋องมองดูเขาและกล่าว “บางทีโลกนี้อาจทำให้เจ้าผิดหวัง แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเสียความหวังทั้งมวลต่อโลกนี้ไป”
ไม่นานก่อนหน้านี้ สังฆราชก็พูดบางอย่างคล้ายคลึงกันนี้ในหอตำรา
เฉินฉางเซิงถาม “ท่านอ๋องอยากบอกอะไรกันแน่”
เฉินหลิวอ๋องถาม “ยังจำสิ่งที่มุขนายกเหมยลี่ซากล่าวไว้ก่อนเสียชีวิตได้หรือไม่”
ความคิดของเฉินฉางเซิงย้อนกลับไปในห้องที่เต็มไปด้วยดอกเหมยเบ่งบาน นึกถึงผู้อาวุโสและใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เขาไม่กล่าวอะไรเป็นเวลานาน
“ท่านมุขนายกบอกข้าว่าข้าต้องจดจำสิ่งที่เจ้าจ่ายไป”
เฉินหลิวอ๋องกล่าวต่อ “ในตอนนั้น เราไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว”
เติบโต ผลไม้ เสียสละ ถ้อยคำที่คลุมเครือยากจะเข้าใจถูกเอ่ยออกจากปากเหมยลี่ซา ตอนนี้หลังจากการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูก็ได้รับคำตอบแล้ว เพื่อที่จะล้มการปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ผู้คนใช้ประโยชน์จากเฉินฉางเซิง ด้วยเหตุนี้เขาจึงจ่ายไปมากมาย หลายสิ่งไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ หากต้องใช้คำพูดบรรยาย ก็คงต้องใช้คำว่า ความเชื่อใจ ความหวัง อารมณ์และความรู้สึก
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสำนักซางคิดอะไร หรือเสด็จพ่อคิดอะไร ท่านลุงท่านอาคิดอย่างไร หรือเหล่าพี่น้องของข้าคิดอย่างไร แต่ตระกูลเฉินเป็นหนี้เจ้า และข้าจะตอบแทนเจ้าแทนพวกเขา”
เฉินหลิวอ๋องมองดวงตาเขาและกล่าวอย่างจริงใจ “ข้ายินดีสละทุกอย่างเพื่อความปลอดภัยของเจ้า”
เฉินฉางเซิงตอบ “ขอบคุณ”
เขาสงบมาก จนออกจะแข็งทื่ออยู่บ้าง แต่ก็มีประกายความอบอุ่นเกิดขึ้นในร่างเขาในที่สุด
เฉินหลิวอ๋องเสริม “ข้าเข้าใจว่าเจ้ารู้สึกเช่นไร แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถตั้งสติได้โดยเร็วที่สุด วันนี้ใต้เท้าสังฆราชได้สนับสนุนเจ้าอย่างมาก หากเจ้ายอมแพ้หรือจากไป แล้วใต้เท้าสังฆราชจะเผชิญหน้าผู้ศรัทธานับล้านๆ ได้อย่างไร แล้วอาจารย์นักเรียนของสำนักฝึกหลวงเล่า และจะเกิดอะไรกับฝ่าบาท”
เฉินฉางเซิงคิดถึงคำพูดของหลินกงกงที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ก็รู้สึกเหนื่อยล้า “ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่คำถามที่ข้าต้องคิดใคร่ครวญ”
เฉินหลิวอ๋องตอบ “หากข่าวลือเป็นจริง ฝ่าบาทรักเจ้าดั่งพี่น้อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จำเป็นต้องใคร่ครวญคำถามพวกนี้”