ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 13 ยุคใหม่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เริ่มจากสามวันก่อน จักรพรรดิแห่งต้าโจวมิใช่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่อีกต่อไป ทว่าเป็นชายหนุ่มนามเฉินอวี๋

เขาเป็นโอรสคนเดียวของจักรพรรดิเซียนและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ทั้งยังเป็นรัชทายาทเจาหมิงที่หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อยี่สิบปีก่อน

เขาเป็นศิษย์ที่ซางสิงโจวเลี้ยงดูมาอย่างใส่ใจเป็นเวลายี่สิบปี อาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเต๋าของนิกายหลวงยุคนี้ เป็นผู้ปกครองที่สิบสี่อ๋องสกุลเฉินกับตระกูลเทียนไห่สาบานจะให้การสนับสนุน เขาจะพบเจอปัญหาอะไรได้

เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่คือปัญหาภายในวังหลวง แต่หากคนที่เขาพูดด้วยคือถังซานสือลิ่ว เขาอาจบอกว่า “ช่างปะไร” หรือไม่ก็นิ่งเงียบ

เฉินหลิวอ๋องเข้าใจความเงียบของเขาผิดไป เมื่อเขาคิดถึงชายหนุ่มคนนั้น ใบหน้าไร้ซึ่งความสุขหรือเศร้า นั่งเงียบอยู่บนบัลลังก์ปกครองราชสำนัก เขาก็รู้สึกว่าหน้าอกหนักขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงที่พูดกับเฉินฉางเซิงหนักแน่นขึ้นมาบ้าง “เจ้าควรรู้ดีว่าความพิการของเขาจะเป็นช่องโหว่ให้พวกมักใหญ่ใฝ่สูง”

เฉินฉางเซิงก้มหน้าและโต้แย้ง “อาจารย์อยู่ที่นั่น หลินกงกงก็อยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นบิดาท่านหรือจงซานอ๋อง หรือใครก็ตาม มิอาจกล้าทำผิดคำสาบาน อีกทั้งยังมีตระกูลเทียนไห่ที่สนับสนุนเขา”

เพียงเพราะว่าเขาไม่เคยแสดงมุมมองของตนในเรื่องการเมืองราชสำนัก ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยคิดใคร่ครวญ ไม่เคยมองดูเรื่องนี้

ในฐานะพระญาติฝ่ายมารดาของฝ่าบาท ตระกูลเทียนไห่ย่อมต้องมีบทบาทสำคัญ ไม่อย่างนั้นสายตาเย็นชาที่พวกเขามองการตายของนางคงเป็นเรื่องตลก

เฉินหลิวอ๋องจ้องมองดวงตาของเฉินฉางเซิงและตำหนิ “เจ้ามิใช่ฝ่าบาท เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะรู้สึกถึงแรงกดดันที่พระองค์ได้รับในตอนนี้”

เฉินฉางเซิงตอบ “ศิษย์พี่ไม่ใช่คนที่อยากเป็นจักรพรรดิ แรงกดดันที่เขาได้รับไม่ได้มาจากตระกูลมักใหญ่พวกนั้น แต่จากตำแหน่งจักรพรรดิเอง”

เฉินหลิวอ๋องคิด ในโลกนี้จะมีใครที่ไม่อยากเป็นจักรพรรดิบ้าง ต่อให้หลังจากประสบกับการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซูมาก็ตาม เฉินฉางเซิงนั้นอ่อนต่อโลกเกินไป ยังไม่เติบใหญ่เขาอดถอนหายใจไม่ได้ บทสนทนาของเขามาถึงจุดที่ยุ่งยาก แต่เฉินฉางเซิงก็ยังไม่ยินดีที่จะยอมรับ ไร้กำลังที่จะทำต่อไป เขาตบไหล่ให้กำลังใจเฉินฉางเซิง ครั้นแล้วก็ไปจากสำนักฝึกหลวง

ในคืนนั้น ผู้คนมากมายต้องตายอยู่ในวังหลวง สองวันต่อมา ก็ยังมีหลายคนต้องตายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าขันทีที่แม้แต่ตอนนี้เฉินฉางเซิงก็ยังไม่ทราบชื่อ หรือเหล่านางกำนัลที่ไร้ความสำคัญในตำหนักชิวฟาง ผู้ไม่มีชื่อมาตั้งแต่แรกแล้ว ล้วนตายกลายเป็นผี จากนั้นก็ถูกลืมเลือนเช่นเดียวกับคราบเลือดที่ถูกเช็ดล้างไป

แต่แม้ว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์สำคัญและความตายของคนมากมาย วังหลวงก็ไม่เคยตกอยู่ในความโกลาหล เพราะซางสิงโจวที่วางแผนมานานหลายปีได้ทำการเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาได้เชิญผู้อาวุโสหลายท่านกลับสู่วังหลวง ผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่เป็นข้ารับใช้เก่าแก่ของวังหลวง ก็เป็นสหายเก่าของจักรพรรดิเซียน อย่างเช่นหลินกงกง พวกเขาถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่บังคับให้ออกไปจากจิงตู และในตอนนี้ พวกเขาก็กลับมาแล้ว

มหาราชครูไป๋อิงก็กลับมาเช่นกัน

สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ามาในวัง พัดผมขาว ทว่าไม่อาจทำให้รอยย่นบนใบหน้าชราของเขาเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

เขากำลังอ่านรายงานชุดหนึ่ง ตัวอักษรเขียนด้วยหมึกสีแดงชาด เขียนอย่างสง่างาม ทว่าขาดพลังชีวิต เปี่ยมไปด้วยความดื้อรั้นที่ซ่อนอยู่ ส่วนคำบรรยายถ้อยคำพวกนั้น ประกอบด้วยประโยคง่ายๆ จำนวนหนึ่ง แต่แม่นยำมาก ดูเหมือนจะเป็นผู้มีประสบการณ์เขียนขึ้น ทำให้ขุนนางในวังหลวงมีเวลามากขึ้นในการลงมือทำ

เอกสารชุดหนึ่งเป็นเช่นนี้ อีกสิบกว่าชุดก็เป็นเช่นนี้ ไป๋อิงไม่อาจรักษาท่าทีและความสง่าเอาไว้ ก็เงยหน้าขึ้น หันไปที่โต๊ะด้านข้าง

นักพรตหนุ่มจากเมืองซีหนิงได้กลายเป็นจักรพรรดิหนุ่มแห่งต้าโจว ฐานะของเขาเปลี่ยนไป แต่เขาก็ยังเป็นคนเดิมในอดีต

เขานั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ เปิดหนังสือดูอย่างเงียบงัน เมื่อเขาดูหนังสือเหล่านี้ ก็หยิบพู่กันแต้มชาดขึ้นมาเขียนบางอย่างลงไปอยู่เป็นระยะๆ

ดังเช่นที่เขายังอยู่ในวัดเก่าเมืองซีหนิง อ่านคัมภีร์เต๋าและเขียนการตีความของตัวเองลงไป

เขากำลังอ่านรายงานของราชวงศ์ต้าโจวหลายปีที่ผ่านมา เฉกเช่นผู้ปกครองทั้งหลายในอดีต เขามีหน้าที่วิเคราะห์ ประเมินและตัดสิน เขากำลังเรียนรู้จากมหาราชครูเรื่องการปกครองแผ่นดิน

ดวงตามหาราชครูชื้นขึ้นเล็กน้อยเพราะเขารู้สึกสะเทือนอารมณ์ เขาคิดในใจ *โอรสจักรพรรดิเซียนกับเหนียงเหนียงช่างโดดเด่นจริงๆ เกิดมาเพื่อเป็นมหาราช น่าเสียดาย…*สายตามองไปที่ขาจักรพรรดิหนุ่ม แขนเสื้อข้างซ้ายและปอยผมสีดำ เขาถอนหายใจคิด โลกนี้จะมีสิ่งที่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร

สนธยามาเยือน บทเรียนของวันนี้ก็ถึงบทสรุป มหาราชครูลุกขึ้นและขอตัวจากไป

จักรพรรดิหนุ่มลุกขึ้นอย่างยากลำบากแม้จะมีขันทีคอยช่วย ก่อนทำการคำนับในฐานะนักเรียนอย่างเหมาะสม

เมื่อมหาราชครูออกไปจากห้องโถง ขันทีก็กระซิบถาม จักรพรรดิหนุ่มส่ายหน้า สีหน้าอบอุ่น

ทั้งขันทีและนางกำนัลที่อยู่โดยรอบผ่อนคลายได้อีกครั้ง

ช่วงไม่กี่วันมานี้มีคนมากมายตายอยู่ในวัง มีเลือดไหลหลั่งมากเกินไป เมื่อเห็นจักรพรรดิองค์ใหม่ที่ตาบอดข้างหนึ่ง แขนขาดไปข้างหนึ่ง จะเดินต้องใช้ไม้เท้า พวกเขาก็สิ้นหวังอย่างแท้จริง พวกเขาเห็นคนพิการมามาก รู้ว่าคนเช่นนี้มักจะโหดเหี้ยมจนน่ากลัว ครั้นต้องรับใช้ใกล้ชิดกับจักรพรรดิองค์นี้ พวกเขาก็กลัวที่จะทำให้ไม่พอใจแม้สักเล็กน้อย แล้วจะต้องทนทุกข์กับการลงทัณฑ์อย่างหนักหน่วง พวกเขาเตรียมใจที่จะถูกโบยจนตายไปด้วยกัน ไม่คาดคิดว่าสองวันมานี้ไม่เพียงจักรพรรดิไม่โกรธเกรี้ยว แต่ยังไม่เคยพูดจาก้าวร้าวแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เคยพบกับนายที่ใจดีมีเมตตามาก่อน แม้แต่เฉินหลิวอ๋องที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังหลวงตอนยังเยาว์ก็ยังมีบางเวลาที่ระเบิดอารมณ์ออกมา ผู้คนที่ยังภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถูกบังคับให้ยอมรับเจ้าชีวิตเช่นนี้เพื่อต้าโจว…อย่างน้อยสำหรับพวกเขานี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้น

จักรพรรดิหนุ่มเริ่มรับประทานอาหาร มีกับข้าวมากมายแต่พระองค์ก็ทรงเลือกแต่ที่รสอ่อนที่สุด ทานอาหารมันๆ เพียงแค่ไม่กี่คำ ดื่มน้ำแกงเพียงแค่ครึ่งถ้วยเท่านั้น

เมื่อมื้ออาหารจบลง ขันทีก็นำชาแดงถ้วยหนึ่งมาช่วยให้จักรพรรดิดื่มเพื่อย่อยอาหาร จักรพรรดิส่ายหน้าแสดงออกว่าแค่น้ำสะอาดก็เพียงพอแล้ว

ขันทีเข้าใจและนำน้ำมาหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ถอยออกไปรอด้านนอก ขณะนั้นเขาก็คิดกับตัวเอง ฝ่าบาทคล้ายคลึงกับผู้ใดกัน จักรพรรดิเซียนหรือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

ไม่ วิธีที่พระองค์เสวยและรักษาสุขภาพนั้น เหมือนคนแค่ผู้เดียวเท่านั้น คนผู้นั้นนามเฉินฉางเซิง

หากพูดให้ถูกต้อง เป็นเฉินฉางเซิงผู้นั้นที่คล้ายฝ่าบาทอย่างมาก

ในวัดเก่าเมืองซีหนิง เขาเป็นคนที่ทำกับข้าวตลอดสิบสี่ปี และเขาก็ทำกับข้าวตามแบบที่เฉินฉางเซิงชอบและต้องการ

นิสัยของเฉินฉางเซิง ความชอบของเฉินฉางเซิง อาหารโปรดของเฉินฉางเซิง ล้วนมาจากเขา

เป็นเขาที่เลี้ยงเฉินฉางเซิงมาตั้งแต่แรก

จักรพรรดิเดินออกจากห้องโถง ยืนอยู่บนบันไดหิน มองดูกำแพงวังในแสงโพล้เพล้

เขารู้ว่าเฉินฉางเซิงอยู่ทางนั้น อันที่จริงพวกเขาอยู่ไม่ห่างจากกันเท่าใด เพียงไม่กี่ร้อยจั้งเท่านั้น

ใกล้แค่ตาแต่ห่างราวสุดขอบฟ้า เพราะไม่อาจพบกันได้ ย่อมมีเหตุผลที่พวกเขาไม่อาจพบกัน

ฟ้าสนธยาสีแดงดุจโลหิต ย้อมร่างซางสิงโจวด้วยสีสันแปลกประหลาด เขายืนข้างหน้าต่างริมผนังห้องโถง เขายืนอยู่ตรงนี้มาเป็นเวลาหนึ่งแล้ว มองดูอย่างเงียบงัน

จักรพรรดิหนุ่มจ้องมองไปทางสำนักฝึกหลวงอย่างเงียบงันเป็นเวลานาน ทันใดนั้นเขาก็หันกลับและโค้งคำนับไปที่หน้าต่าง

ซางสิงโจวคำนับตอบอย่างจริงใจ

อาจารย์กับศิษย์ถูกกั้นด้วยหน้าต่าง ไม่มีอะไรในหน้าต่าง มีแต่ความว่างเปล่า แต่ไม่ได้หมายความว่าระหว่างทั้งสองไม่มีอะไรต่อกัน

พวกเขาเป็นอาจารย์กับศิษย์ ทั้งยังเป็นขุนนางกับเจ้าชีวิตอีกด้วย

……

……

สายลมฤดูใบไม้ร่วงเหนือแท่นกานลู่พัดไปทุกทิศทาง ความมืดหนาขึ้น ไข่มุกราตรีบนขอบแท่นค่อยๆ สว่างขึ้น ซางสิงโจวยืนอยู่ริมแทนกานลู่เอามือไพล่หลัง มองไปที่ถนนหนทางในเมืองจิงตู มองโลกที่เขาไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานานแต่ก็ยังคุ้นตาอย่างมาก เขากล่าวอย่างใจเย็น “คืนก่อน จงซานอ๋องพูดกับชุยซั่งซูว่าเขาเองก็เป็นหลานสายหลักของจักรพรรดิไท่จงเช่นกัน”

ตอนนี้ทั่วโลกรู้ว่าเขาเป็นขุนนางที่จักรพรรดิไท่จงไว้ใจที่สุด ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นก็เพื่อสนองประสงค์จักรพรรดิไท่จง

คำพูดของจงซานอ๋องดูเหมือนจะมีความหมายคลุมเครือไม่ชัดเจน ตีความได้กว้าง แต่เจตจำนงนั้นชัดเจนอย่างมาก

ในเมื่อเขาเป็นหลานสายหลักของจักรพรรดิไท่จงเช่นกัน ก็เป็นที่ยอมรับได้หากซางสิงโจวจะสนับสนุนเขา ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนจักรพรรดิหนุ่ม

“คำว่า ‘สายหลัก’ ไม่อาจใช้มั่วซั่วได้” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของแท่นกานลู่

ซางสิงโจวตอบโดยไม่หันกลับไป “ดูเหมือนท่านจะมีความเห็นต่างไป”

คนผู้นั้นนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานแล้วจึงตอบ “อาจเป็นการโป้ปดมดเท็จหากบอกว่าข้าไม่มีความเห็น แต่ข้าเข้าใจดีว่าข้าคิดเห็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ”

สีหน้าของซางสิงโจวไม่เปลี่ยน แต่ดวงตาแสดงความพอใจอย่างล้ำลึก

คนผู้นี้ยังเยาว์อยู่มากมีใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมชุดสีน้ำเงิน คาดเอวด้วยเข็มขัดสีเหลืองสด เขาคือเฉินหลิวอ๋อง

ซางสิงโจวหันไปหาเขาแล้วถาม “แล้วเจ้าต้องการพูดอะไร”

เฉินหลิวอ๋องกล่าว “เฉินฉางเซิงเตรียมตัวจากไป”

เมื่อสังฆราชไปยังสำนักฝึกหลวง เขาเชื่อว่าเฉินฉางเซิงได้จากไปแล้ว หรือไม่ก็กำลังเก็บข้าวของอยู่

เฉินฉางเซิงไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่คิดที่จะจากไป

ซางสิงโจวนิ่งเงียบไป หลังจากหยุดไปนานเขาก็ประกาศ “ข้าไม่ปล่อยให้เขาจากไป”

เฉินหลิวอ๋องถาม “ใต้เท้ายืนกรานให้เขาอยู่ในจิงตูต่อไปเพื่อเหตุใด”

ซางสิงโจวไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง “ในชีวิตข้า มีสองเรื่องที่ข้าต้องทำให้สำเร็จ เรื่องแรกสำเร็จลงแล้ว”

หากสังฆราชอยู่ที่นี่ เขาคงรู้ว่าภารกิจแรกก็คือล้มการปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และภารกิจที่สองก็คือกำจัดเผ่ามารอย่างราบคาบ

เฉินหลิวอ๋องไม่ทราบ ดังนั้นเขาจึงสับสนกว่าเดิมว่าเหตุใดซางสิงโจวถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาในตอนนี้

ตอนนั้นเอง รอยร้าวที่ชัดเจนหลายรอยปรากฏก็ขึ้นบนท้องฟ้ายามสนธยา ไม่นานจากนั้น เสียงนกร้องแหลมสูงพลันดังก้องไปทั่วหล้า

ห่านแดงสิบตัวกับอินทรีแดงสี่ตัวบินไปสู่ทุ่งหิมะทางเหนือที่ไกลออกไป มีเพียงห่านแดงสามตัวและอินทรีแดงสองตัวที่กลับมาได้

พวกมันนำข่าวกลับมา เป็นข่าวที่ทำให้ผู้คนงงงันและตั้งหน้าตั้งตารออยู่เป็นเวลานาน

เมืองเสวี่ยเหล่ายังคงปิดอยู่

คนชุดดำกุนซือเผ่ามารกับผู้บัญชาการมารได้ร่วมมือกันก่อกบฏ

ทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหล

หิมะโหมกระหน่ำเกิดภัยพิบัติ

ขุนพลมารเจ็ดคนตายไป

หนานเค่อหนีไปในพายุหิมะ

สถานะของราชามารไม่อาจทราบได้

……