GGS:บทที่ 1125 การรักษาที่แปลกประหลาด
หลังจากที่โรงพยาบาลกังหยุนได้โฆษณาออกมาว่าทางโรงพยาบาลสามารถรักษาโรคหูหนวก ตาบอด และต้อกระจกโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งนาที
ด้วยการโรคเหล่านี้เป็นโรคทั่วไปแต่รักษาได้ยากยิ่ง แต่กับที่โรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้นั้นพวกเขาได้ใช้วิธีการรักษาโรคเหล่านี้ไว้ในคลีนิคทั่วไปเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในคลินิกพิเศษแต่อย่างใด
นี่เป็นการบ่งบอกว่าโรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้มาวิธีการรักษาที่ดีกว่าโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนของซูจิ้งที่ต้องรักษาโรคเหล่านี้ในคลีนิคพิเศษเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ต ยังไม่ยอมเชื่อเพียงเพราะเรื่องแค่นี้อย่างแน่นอน การที่โรงพยาบาลที่มาจากไหนไม่รู้แล้วออกมาบอกว่าสามารถรักษาโรคที่โรงพยาบาลทั่วทั้งโลกแทบจะไม่มีปัญญารักษา ใครจะไปเชื่อได้ง่ายๆกัน
“โรงพยาบาลกังหยุนนี่ที่กล้าทำแบบนี้แสดงว่าตั้งใจจะชนกับโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนะ”
“ฉันว่าแล้วไม่ผิดคำเลยจริงๆ”
“เดี๋ยวนี้ก็ยังมีบางคนคิดจะพยายามลอกเลียนความสำเร็จของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนอยู่อีกเหรอเนี่ย นี่พวกนั้นไม่รู้กันเลยรึไงว่าทำไมโรงพยาบาลกังเฟิงถึงได้แข็งแกร่งได้ขนาดนี้”
“เรามาคอยดูกันดีกว่า ฉันว่าอีกไม่นานหรอกโรงพยาบาลนี้ต้องปิดตัวลงแน่ๆเพราะการรักษาที่สุดยอดขนาดนั้นน่ะไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้ เดี๋ยวก็โดนข้อหาโฆษณาเกินจริงไปอยู่ดี ฉันว่าดีไม่ดีนะ พวกนั้นต้องล่มจมเพราะโฆษณาของตัวเองแหงๆ”
เมื่อพูดถึงเรื่องโฆษณานั้น โรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้นั้นแน่นอนว่าย่อมทุ่มเงินลงไปโฆษณาอย่างมากมายมหาศาลอย่างแน่นอนเพราะว่ามีสื่อหลากหลายช่องและรูปแบบเผยแพร่โฆษณาของโรงพยาบาลนี้
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ในตอนนี้ผู้คนจะจดจำชื่อของโรงพยาบาลนี้ดีกันแล้วก็จริง แต่ทุกๆคนยังคิดว่าการรักษาของโรงพยาบาลแห่งนี้ที่เวอร์วังนั้นมันช่างไม่น่าหัวเราะจนน่าหัวเราะเกินไป
และด้วยเหตุนี้จึงทำให้โรงพยาบาลหลายๆโรงพยาบาลเริ่มตื่นตัวเกี่ยวกับการใช้สื่อในการโฆษณาแล้วเหมือนกัน
แม้แต่โรงพยาบาลในเครือของปู่เตี๋ยนเองที่ในตอนนี้ถึงกับโฆษณาแข่งถึงขนาดติดโปสเตอร์ของโรงพยาบาลไปทั่ว จนเรียกได้ว่าเข้าถึงคนแทบจะทุกระดับและทำเงินไปไม่น้อยเลย นั่นเป็นเพราะยังมีคนบางคนนั้นจะคิดว่าอะไรที่โฆษณานั้นย่อมดีกว่าเสมอ ถึงแม้ว่าจะไปแล้วจะรักษาไม่หายก็ตาม
ในเช้าวันนี้ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งและเด็กหนุ่มอายุประมาณ16-17ปีพร้อมแว่นตาหนาเตอะได้เดือนเข้าไปยังประตูของโรงพยาบาลกังหยุน
เมื่อเด็กชายเห็นป้าย ก็อดที่จะขมวดคิ้วและหยุดเท้าของตัวเองลงก่อนที่จะถามออกมาว่า “แม่ แม่พาผมมาทำไมที่นี่ล่ะ ไม่ใช่ว่าเรากำลังจะไปโรงพยาบาลกังเฟิงกันหรอกเหรอ”
“โรงพยาบาลไหนมันก็เหมือนๆกันล่ะน่า แถมที่นี่ชื่อมันก็คล้ายกันแค่ชื่อขาดไปคำสองคำก็เท่านั้นแหล่ะ” หญิงวัยกลางคนพูดออกมา
“ถึงจะบอกว่าชื่อมันคล้ายกันแต่ยังไงก็คนละคำกันนะ โธ่… ถึงพวกเราจะมาจากเมืองชางไห่ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าโรงพยาบาลของที่นี่จะทุรกันดารเหมือนกับที่นั่นสักหน่อย” เด็กหนุ่มบ่นอุบออกมา
“ก็ที่นี่เค้าบอกว่าสามารถรักษาโรคทางดวงตาได้เพียงหนึ่งนาทีนี่นา แถมสิบคนแรกยังคิดครึ่งราคาอีกด้วย ราคารักษามันก็ตกเหลือหนึ่งหมื่นหยวนเท่านั้น ค่ารักษาที่นี่ถูกกว่าที่โรงพยาบาลกังเฟิงนั่นตั้งเยอะ
แถมที่นั่นยังเปิดรักษาโรคนี้เฉพาะคลีนิคพิเศษที่ต้องใช้เงินเริ่มรักษาตั้งล้านนึงแน่ะ” หญิงวัยกลางคนได้ร่ายยาวออกมา
“แต่ถ้ามันรักษาไม่ได้ ต่อให้ถูกยังไงก็เสียตังเปล่าไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง อีกอย่างนึงเห็นเขาบอกกันว่าที่นี่ใช้การรักษาด้วยใช้เทคโนโลยีทางชีวภาพที่ได้ผลอย่างมาก พวกเขารับประกันด้วยว่า หากพวกเขารักษาไม่หายล่ะก็ไม่คิดเงินเลยสักหยวนเดียว มองยังไงก็คุ้มค่าที่จะลองนี่นา ลองดูเถอะน่า
ลูกรัก ลูกเองก็อายุพึ่งจะ 16 ปี แต่สายตาข้างลูกสั้นถึง 800 แล้ว ถึงแม้ว่าลูกจะไม่คิดว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ แต่หากว่าลูกปล่อยทิ้งไว้จนโตล่ะก็ ลูกจะเข้าใจว่าแม่ทำไมถึงขวนขวายหาวิธีขนาดนี้ แต่แม่นั้นไม่อยากให้ลูกรับรู้ความรู้สึกนั้นเลยจริงๆ” หญิงวัยกลางคนใช้คำพูดต่างๆนานาจนทำให้เด็กหนุ่มนั้นต้องยอมตามใจในที่สุดถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อมั่นในโรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้เลยสักนิด
แต่กับเรื่องนี้ ความจริงแล้วเขาก็ไม่อยากจะดื้อดึงอะไรมากนัก แล้วก็ไม่อยากจะไปรักษาที่คลินิกพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิงจางหยุนแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเขาเองก็รู้ดีแก่ใจว่าครอบครัวของเขานั้นจ่ายค่ารักษาที่นั่นไม่ไหว ต่อให้จ่ายได้ก็ต้องแบกรับหนี้ก้อนโต
ด้วยการที่โรงพยาบาลแห่งนี้พึ่งจะเปิดใหม่และยังไม่มีใครเชื่อถืออีกทั้งช่วงนี้อากาศเย็นด้วยทำให้ที่นี่ไม่มีคนไข้สักเท่าไหร่นัก
หลังจากที่ทั้งคู่ไปทำบัตรโรงยาบาล ทั้งสองก็ได้เข้ารับการตรวจในคลินิกดวงตาในทันที เมื่อเข้าไปถึง หมอก็ได้ทำการเช็คระยะการมองเห็นของเด็กหนุ่มคนนี้ก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็ได้หายเข้าไปด้านหลังอยู่นานพอสมควร ก่อนที่จะเดินกลับมาพร้อมนำคอนแทคเลนส์คู่หนึ่งมาให้
เพียงแค่เห็นทั้งสองก็บอกได้ทันทีว่ามันบางมาก บางกว่าคอนแท็คส์เลนที่วางขายกันทั่วไปมากนัก
“นี่ ฉันพาลูกมารักษาตานะ แล้วหมอจะเอาคอนแท็คเลนส์ออกมาทำไม” หญิงวัยกลางคนเริ่มโวยวายออกมา ส่วนเด็กหนุ่มเองก็ทำได้เพียงเลิกคิ้วของตัวเท่านั้นพลางนึกในใจว่าโรงพยาบาลนี้ไม่ขี้เหนียวไปหน่อยรึเปล่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใจเย็นๆครับคุณนาย เห็นอย่างนี้เจ้านี่ไม่ใช่คอนแท็คเลนส์ธรรมดานะครับ นี่ คือคอนแทคเลนส์ชีวภาพที่ทางเราผลิตขึ้นมา
หากว่าเป็นคอนแทคเลนส์โดยทั่วไปแล้วหากว่าใส่ไว้เป็นเวลานานจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายและฝืดเคืองดวงตา
ต่อให้ใส่ไว้นานแล้วไม่อาการทั้งสองอย่างนี้ แต่หากเผลอไผลจนลืมถอดออกจากดวงตาก็อาจจะส่งผลต่อการมองเห็นมากกว่าเดิม และถึงขั้นทำให้ตาอักเสบเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเทียบกับคอนแทคเลนส์ตัวนี้แล้ว มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีทางชีวภาพ รับประกันได้ว่าไม่ทำให้ดวงตารู้สึกไม่สบายอย่างแน่นอน
และที่ดีที่สุดของคอนแทคเลนส์นี้ก็คือ เมื่อใส่เข้าไปแล้วไม่จำเป็นต้องถอดออกมาอีกเลยตลอดชีวิต นอกเสียจากว่าจะเกิดอุบัติเหตุทำให้มันเสียหายมันก็สูญเสียความสามารถของมันไป
แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ หากเกิดเรื่องนั้นจริงล่ะก็ คุณนายก็แค่มาที่นี่แล้วก็ซื้อมันใหม่แค่นั้นเอง” หมอวัยกลางคนพูดออกมา
“ห้ะ ดีขนาดนั้นเลยเหรอ” หญิงวัยกลางคนอุทานออกมาด้วยสายตาอันเปล่งประกายในทันที
“จริงหรือเปล่า….” เด็กหนุ่มได้ถามออกมาด้วยความรู้สึกไม่ใช่ในเรื่องนี้นั่นก็เพราะเขานั้นไม่เคยได้ยินว่าในโลกนี้จะมีคอนแทคเลนส์ที่ดีแบบนี้มาก่อน
หากว่าคอนแทคเลนส์นี้จริงพวกเขาก็ควรจะทำวางขายทั่วไป ไม่ควรจะมาใช้กับโรงพยาบาลเล็กๆแบบนี้
ชายวัยกลางคนเองก็ได้อธิบายเกี่ยวกับข้อสงสัยของทั้งสองคนอย่างกระตือรือร้นจนทำให้ทั้งสองคนยอมที่จะใช้คอนแทคเลนส์นี้ในการรักษาเด็กหนุ่มในที่สุด
กระบวนการในการใส่คอนแทคเลนส์นี้ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด ใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาทีก็เรียบร้อยแล้วเพราะเด็กหนุ่มคนนี้เคยใช้มาบ้างแล้ว
เมื่อเด็กหนุ่มได้ใส่คอนแทคเลนส์นี้เข้าไปแล้ว เขานั้นไม่ได้รู้สึกไม่สบายดวงตาเหมือนกับคอนแทคเลนส์ที่เขาเคยใช้มาก่อนหน้านี้เลยสักนิด เขาในตอนนี้ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังใส่คอนแทคส์เลนส์อยู่จริงๆ
แม้แต่มองในกระจกเองเขาก็ไม่เห็นร่องรอยอะไรเลยที่จะบ่งบอกว่าเขานั้นกำลังใส่คอนแทคเลนส์อยู่
ตัวเลนส์นี้มันบางราวกับปีกของจั๊กจั่นจนทำให้เมื่อใส่ไปแล้วมันกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของลูกตาโดยสมบูรณ์
ส่วนเรื่องของการมองเห็นนั้นแทบจะไม่ต้องอธิบายเลย ตอนนี้เขาเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้อย่างชัดเจนอย่างที่สุดในชีวิตของเขา
“จิ้งเอ๋อ ลูกรู้สึกเป็นยังไงบ้าง” หญิงวัยกลางคนที่เห็นท่าทางของลูกตัวเองก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้
“รู้สึกดีครับ….” เด็กน้อยพลางคิดในใจว่า อย่างน้อยๆก็ตอนนี้อ่ะนะ คอนแทคเลนส์นี้ได้สร้างประหลาดใจให้เขาอย่างมาก มันช่างสมบูรณ์แบบจนเขาเองก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ว่า “นี่ผมไม่ต้องใส่แว่นตานั่นแล้วจริงๆเหรอ”
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ตาของเธอเป็นปกติแล้ว นอกจากว่าเธอนั้นอยากจะใส่แว่นเลนส์ธรรมดาเพื่อป้องกันดวงตาของตัวเองเท่านั้น
ตราบใดที่เธอยังรักษาดวงตานี่ไว้ไม่ให้อักเสบหรือมีสิ่งสกปรกเข้าไปในดวงตามากเกินไปก็ไม่มีปัญหา อ้อ แล้วก็ยาได้ใช้ยายอดตาหรือน้ำยาล้างตาโดยเด็ดขาด แน่นอนว่ารวมถึงเศษอะไรก็ตามด้วยเหมือนกัน หากเธอทำเรื่องเหล่านี้ได้ล่ะก็ ฉัน…ไม่สิทางโรงพยาบาลรับประกันเลยว่าคอนแทคแลนส์นี้ใช้ได้อย่างน้อยๆก็สิบปีเลยทีเดียว อ้อ ทางโรงพยาบาลของเรานั้นยังมีการรับประกันในทุกกรณีเปลี่ยนให้ฟรีเป็นระยะเวลาหนึ่งปีด้วยนะ” หมอวัยกลางคนพูดออกมา
“สุดยอดไปเลย เห็นไหม แม่บอกแล้วว่าโรงพยาบาลนี้ดีจริงๆ” หญิงวัยกลางคนพูดออกมาด้วยท่าทางเปี่ยมสุขและรอยยิ้มกว้าง
ในที่สุด คู่แม่ลูกก็ได้จากไปจากโรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้อย่างเปี่ยมสุขยิ่งกว่าเดิม นั่นก็เพราะว่าอาการของเด็กหนุ่มได้หายดูแล้วโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีกในอนาคต หากเป็นที่อื่นล่ะก็อย่าพูดถึงคอนแทคเลนส์เลย แค่รักษากว่าปกติก็ตั้งเสียเงินไม่ต่ำสี่หมื่นหยวนอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นช่วงระยะเวลาหนึ่งได้มีคนไข้คนหนึ่งได้เข้ามายังคลินิกรักษาตาเพื่อรักษาอาการมองไม่เห็น แน่นอนว่าค่ารักษาโรคมองไม่เห็นนี้ย่อมแพงเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เมื่อคนไข้คนนี้รักษาอาการมองไม่เห็นนี้ได้ก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก และไม่คิดว่าเงินที่สูญเสียไปไม่คุ้มค่าเลยสักนิด
ในวันนี้เช่นเดียวกัน ได้มีนักข่าวสองคนเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งมายังโรงพยาบาลกังหยุนเพื่อขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับรูปแบบการรักษาของที่นี่ เนื่องจากเริ่มมีข่าวลือเกี่ยววิธีการรักษาที่ไม่เหมือนใครออกไป
ตอนนั้นเอง ทั้งคู่ ก็ถูกสั่งให้ถอยไปเนื่องจากขวางทางอยู่ เป็นชายคนหนึ่งที่อยู่ในรถเข็นมีอาการค่อนข้างสาหัสขนาดที่ว่าเลือดยังไหลออกมาตลอดเวลา แค่ดูก็รู้ว่าพึ่งจะเกิดเหตุสดๆร้อนๆ
นักข่าวทั้งสองได้รีบวิ่งตามเข้าไปในคลินิกเหตุฉุกเฉินในทันที ตอนแรกทั้งสองก็คิดว่าจะโดนไล่ออกมาเหมือนกัน แต่ทั้งหมอและพยาบาลก็ไม่ได้มีท่าทีไล่ทั้งสองออกมาจากห้องแต่อย่างใด
“นี่…..น่าจะเป็นห้องผ่าตัดใช่รึเปล่า”
“น่าจะใช่นะ…. แต่ดูแล้วมันเหมือนไม่ใช่ยังไงก็ไม่รู้ แถมพวกเขายังไม่คิดจะกันพวกเราออกไปอีกด้วย ปกติแล้วในห้องผ่าตัดแบบนี้ต้องไม่ให้คนนอกเข้าไม่ใช่รึไงกัน อย่าบอกว่าที่นี่ไม่รู้ถึงสามัญสำนึกของโรงพยาบาลในข้อนี้…..”
“โคตรห่วยเลยจริงๆ คนพวกนี้คิดจะผ่าตัดกันทั้งแบบนี้น่ะเหรอ”
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่พยาบาลไม่สนใจคำพูดของทั้งสองคนนี้แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ได้ทำการตัดขากางเกงเป็นช่อง เผยให้เห็นรอยแผลที่ขา รวมถึงถลกเสื้อเผยให้เห็นรอยแผลฉกรรจ์ที่สีข้าง
ในตอนนี้เอง หมอผู้ดูแล ได้นำแผ่นอะไรบางอย่างที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ก่อนที่จะวางลงไปบนบาดแผลอย่างรวดเร็ว แม้แต่บริเวณสีข้างที่เป็นรอยแผลฉกรรจ์ก็ยังสามารถวางลงไปได้
ตอนนั้นเอง แผ่นดังกล่าวก็ได้ปล่อยแสงออกมา หลังจากนั้น รอยผลที่เลือดไหลไม่หยุดก็ค่อยหยุดลงอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งรักษาบาดแผลจนหายชนิดที่ว่าสังเกตได้ด้วยตา
มันช่างดูมหัศจรรย์อย่างมากเมื่อเทียบกับการที่ว่ารอยแผลฉกรรจ์ขนาดนั้นกลับหายได้อย่างง่ายๆและรวดเร็วขนาดนี้ หากเป็นปกติ อย่าว่าแต่ครึ่งเดือนเลย ให้เวลาเดือนหนึ่งแผลก็ยังไม่ปิดสนิทดีด้วยซ้ำ
“พระเจ้าเถอะ นี่มันอะไรกัน” นักข่าวได้ตามอุทานออกมาด้วยท่าทีโง่งม
“อ๋อ ไอ้นี่เรียกว่าแผ่นรักษาโปรโตน่ะ” หมอคนที่ปิดบาดแผลได้พูดออกมา
“”แผ่นรักษาโปรโตห่าเหวอะไรนะ” นักข่าวคนหนึ่งที่กำลังตำลึงถามซ้ำออกมาโดยไม่สามารถสงวนท่าทีใดๆไว้ได้แต่อย่างใด นั่นก็เพราะนอกจากพวกเขาจะยังไม่เคยได้ยินแล้ว เขายังไม่เคยเห็นการรักษาแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต จนไม่อาจสงวนท่าทีของการเป็นนักข่าวไว้ได้แม้แต่น้อย
เมื่อตั้งสติได้ พวกเขานั้นเริ่มจะรู้สึกอยากจะถ่ายรูปขึ้นมาจึงได้ทำการขออนุญาตผุ้ป่วยและหมอเจ้าของไข้ หมอเจ้าของคนไข้นั้น ทำเพียงแค่มองหน้าเจ้าหน้าที่พยาบาลกันไปมาแล้วจึงตอบตกลงอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด ส่วนผู้ป่วยนั้นด้วยท่าทีนอบน้อมที่สุดในชีวิต แม้แต่ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหนักมาก่อนหน้านี้ก็ยังต้องใจอ่อนในทันทีเมื่อได้เห็น
หากเป็นตามปกติ เขาเองก็คงจะปฏิเสธแบบหัวชนฝาไปแล้ว แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเขามาที่แล้วมันช่างน่าอัศจรรย์จนไม่อยากเชื่อเหมือนกัน
ในตอนแรก เขาเองก็ยังนึกว่าต้องพาตัดใหญ่เลยด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว ไม่เพียงไม่ต้องผ่าตัด แต่ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าอาการบาดเจ็บนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำ นี่จึงทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างมาก
หลังจากที่ได้สัมภาษณ์หมอในห้องฉุกเฉินและผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ง นักข่างทั้งสองยังคิดที่จะไปหาคนไข้คนอื่นเพื่อสัมภาษณ์อยู่อีก เนื่องจากว่าเหตุการณ์ที่ทั้งสองพึ่งจะได้เห็นไปนั้นช่างมหัศจรรย์มากเกินไป
หลังจากเขาได้สัมภาษณ์แล้ว พวกเขาก็พบว่าวันนี้มีคนไข้ที่มีอาการหลากหลายเข้ามารับการรักษา พวกเขาเองจึงได้คอยดักสัมภาษณ์ ทีละราย ทีละราย และในทุกๆเคสคนไข้ ผลลัพท์นั้นได้ทำให้ท้องสองต้องตกตะลึง
ในตอนแรกที่มานั้น ความตั้งใจสูงสุดของนักข่าวทั้งสองก็คือการเปิดโปงโรงพยา บาลที่มักจะชอบทำการโฆษณาเกินจริงอยู่เสมอ
แต่มาในตอนนี้ พวกเขารู้แล้วว่า โรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้ไม่เพียงจะไม่ได้โฆษณาเกินจริงเลย พวกเขายังมอบการรักษาที่วิเศษกว่าที่ใดให้กับผู้ป่วยด้วยซ้ำไป