GGS:บทที่ 1126 เทคโนโลยีการรักษาสุดลึกล้ำ

ดังคำกล่าวที่ว่า ไวน์(สุรา)ดี ย่อมไม่กลัวตรอกลึก ไม่ว่าตรอกนั้นจะลึกขนาดไหน หากดีจริงผู้คนต่างก็ดั้นด้นเข้าไปถึง
ด้วยความมหัศจรรย์ในวิธีการรักษาของโรงพยาบาลกังหยุนประกอบกับการรายงานของนักข่าวทั้งสองคน ในตอนนี้ ชื่อเสียงของโรงพยาบาลกังหยุนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่ทำให้เหล่าผู้คนที่เคยดูถูก ต้องหันหลังกับมามองใหม่อีกครั้ง
“โรงพยาบาลกังหยุนนี่ไม่ได้อวดอ้างเกินเลยจริงๆเหรอเนี่ย เห็นเขาว่ากันว่าวิธีการรักษาของที่นั่นลึกล้ำมากเลยนะ”
“ไม่ใช่ว่าข่าวของสำนักข่าวนั่นโดนซื้อหรอกนะ”

“ไม่ใช่หรอกน่า ฉันรู้จักผู้รายงานข่าวสองคนนั่นดี แถมในข่าวสามารถถ่ายวิดีโอที่หมอคนหนึ่งหยิบแผ่นที่เรียกว่าแผ่นรักษาโปรโตพลาสเอาไว้ได้ วิดีโอนั้นยังถ่ายตอนที่เจ้าแผ่นนั่นรักษาบาดแผลไว้ด้วยนะ เรียกได้ว่าต่อให้แผลใหญ่ขนาดไหนก็รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัดเลยด้วยซ้ำ ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ เทคโนโลยีรักษาของพวกเขานั้นต้องเป็นของจริงอย่างแน่นอน”

“ยังมีเรื่องมหัศจรรย์มากกว่านั้นอีกนะ พวกเขาสามารถรักษาโรคสายตาสั้นได้ในหนึ่งนาที รักษาอาการมองไม่เห็นได้ในหนึ่งชั่วโมง รักษาอาการต้อกระจกโดยใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์โดยไม่ต้องผ่าตัด รักษาบาดแผลให้หายได้เพียงไม่กี่วินาที เรียกได้ว่าสุดยอดมากๆ แต่นี่ไม่เท่ากับว่าโรงพยาบาลกังหยุนจะดีกว่ากังเฟิงหรอก เหรอ…”

ในตอนนี้หวังกังหยุนได้อ่านรายงานข่าวของโรงพยาบาลกังหยุน เขาทำหน้าฉงนสนเท่ห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที ตอนนั้นเองก็ได้มีหมอคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “หมอหวัง ผมว่าข่าวนี้น่าจะมีการรายงานผิดพลาดแน่ๆ โลกนี้ไม่มีทางมีเทคโนโลยีที่เหนือล้ำแบบนี้ได้อย่างแน่นอน”
“อย่าพึ่งรีบด่วนสรุปหากว่ายังไม่รู้จักพวกนั้นดีนะ” หวังกังหยุนพูดออกมา
หากเป็นก่อนหน้านี้เขาเองก็รู้สึกว่าข่าวนี้น่าจะมีอะไรผิดพลาดเหมือนกัน แต่เขาเองก็เคยตกตะลึงเกี่ยวกับโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนของซูจิ้งมาแล้ว นี่ทำให้ความคิดเกี่ยวกับทางด้านการแพทย์ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในตอนนี้เขาได้จดจำไว้เป็นบทเรียนสอนใจแล้วว่าการที่ตัวเองทำไม่ได้ก็ใช่ว่าคนอื่นทำไม่ได้ อย่ารีบตัดสินใจโลกทั้งใบด้วยสิ่งที่เห็นในระยะสายตาเท่านั้น

ณ โรงพยาบาลต่างๆ หลิวเว่ยและหมอคนอื่นๆที่เห็นข่าวของโรงพยาบาลกังหยุนก็อดที่จะหยิบยกมาพูดคุยกันไม่ได้ว่าวิธีการรักษาที่สุดแสนจะน่ามหัศจรรย์แบบนั้นมีโอกาสจะมาจากวิธีไหนได้บ้าง
นอกจากนี้ หลังจากที่ได้เห็นข่าวแล้ว ลูฉิงหมิงและหมอคนอื่นของโรงพยาบาลกังเฟิงเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยเรื่องนี้เช่นเดยวกัน
ด้วยการที่โรงพยาบาลกังเฟิงของพวกเขานั้นมีโอกาสที่จะขึ้นไปสู่ระดับโลกได้แล้ว การที่อยู่ๆก็มีโรงพยาบาลใหม่อย่างกังหยุนมาขัดขวางนี้ ต่อให้พวกเขากลายเป็นระดับโลกไปแล้วก็ตามแต่ก็อดที่จะหยิบยกเรื่องนี้ออกมาพูดคุยได้อยู่ดี
“โรงพยาบาลนั้นเจ๋งขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ดูจากข่าวนี้ก็น่าเชื่อถืออยู่นา น่าจะเป็นเรื่องจริงนะ”
“จะยังไงก็ช่าง ยังไงซะเราก็ไม่น่าจะต้องมีเรื่องให้ขัดแย้งกัน แต่อยากจะรู้เหมือนกันนะว่าพวกนั้นมีเบื้องหลังยังไงกันแน่ แล้วทำไมอยู่ๆถึงได้พึ่งจะออกมาแบบนี้”
“ประธานลู่ครับ ประธานซูว่ายังไงบ้าง”

ลู่ฉิงหมิง ในตอนนี้กำลังใช้ความคิดอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขากำลังจะตัดสินใจว่าควรจะโทรหาซูจิ้งดีหรือเปล่าว่าควรจะตอบโต้ยังไงดี
ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจได้ว่าโทรหาซูจิ้งดีกว่า แต่เมื่อโทรไปหา ซูจิ้งกับบอกเขาว่าอย่าได้ใส่ใจกับโรงพยาบาลกังหยุนเพราะไม่ได้มีผลอะไรกับพวกเรา นี่ทำให้ลูฉิงหมิงถึงกับพูดไม่ออกเหมือนกันเมื่อได้ยิน
ในครั้งนี้ตัวเขาคิดว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้แข็งแกร่งพอที่จะโค่นล้มโรงพยาบาลกังเฟิงลงได้ แต่ซูจิ้งกับบอกไม่ให้ใส่ใจ
หากว่ามีโรงพยาบาลอื่นที่สามารถรักษาโรคเฉพาะทางอย่างโรคทางดวงตาได้แม้แต่เป็นคลีนิคธรรมดาล่ะก็ แล้วใครจะมารักษาที่คลีนิคพิเศษของซูจิ้งกันล่ะ นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการส่งต่อคนไข้เหล่านั้นให้โรงพยาบาลอื่นไปเปล่าๆหรอกเหรอ
แต่ก็อีกล่ะนะ เพราะยังไงซะซูจิ้งก็คือประธานใหญ่ของพวกเขาอยู่ดี หากซูจิ้งพูดมาแล้ว พวกเขาก็มีแต่ต้องทำตามเท่านั้น

ในตอนนี้เองที่โรงพยาบาลกังหยุนได้จัดตั้งเว็บไซต์ทางการขึ้นมาและได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรักษาและเทคโนโลยีที่ใช้ในอินเตอร์เน็ต
ดูเหมือนว่าวิธีการรักษาของโรงพยาบาลนี้เกือบจะครอบคลุมโรคภัยทุกช่วงชีวิตของคนๆหนึ่งไปเลยด้วยซ้ำ แถมยังดูมีอนาคตไกลแบบสุดๆ
แน่นอนว่าด้วยเหตุนี้ทำให้เรียกความสนใจของผู้คนอย่างมากเพราะวิธีการต่างๆที่โรงพยาบาลกังหยุนได้เผยแพร่ออกมานั้นเกือบจะเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างๆต่างก็ต้องการและรู้จักดี

ยกตัวอย่างเช่นการใช้คอนแทคเลนส์ชีวภาพในการรักษาโรคสายตาสั้น ความจริงแล้วในเรื่องนี้ได้มีการศึกษาและพัฒนามานานมากแล้วแต่ก็ยังไม่มีคนทำสำเร็จ นี่จึงเป็นเหตุที่ผู้คนรับได้มากกว่าถึงแม้จะยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จเลยก็ตาม และในตอนนี้ โรงพยาบาลกังหยุน กลายเป็นผู้เบิกทางในการรักษาเส้นทางนี้
สำหรับการรักษาอาการมองไม่เห็นนั้น คอนแทคเลนส์ชีวภาพนี้ก็ถูกนำมาใช้ด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าใช้เทคโนโลยีที่ใช้ทำคอนแทคส์เลนนี้ใช้วิทยาการที่สูงล้ำกว่า
ทางโรงพยาบาลได้ใช้กล้องขนาดเล็กทดแทนจอรับภาพของดวงตาแล้วทำการเชื่อมต่อเข้ากับระบบประสาทการมองเห็นและส่งข้อมูลการมองเห็นผ่านคลื่นไฟฟ้าไปยังสมองแทนที่จอรับภาพของดวงตาที่ใช้ไม่ได้

นี่จึงทำให้สมองสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้โดยตรงและเปลี่ยนเป็นการมองเห็นภายในสมอง
ในส่วนการรักษาต้อกระจกนั้น โรงพยาบาลกังหยุนไม่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัดแต่อย่างใด พวกเขาในโมเลกุลจากธรรมชาติที่เรียกว่า “ลาโนลินสเตรอล” หยดเข้าไปที่ดวงตาประหนึ่งยาหยอดตา โมเลกุลนี้จะค่อยๆเข้าไปช่วยฟื้นฟูกระจกตาที่เสื่อมสภาพได้เพียงไม่ถึงสัปดาห์
สำหรับการรักษากระจกตาเสื่อมสภาพนั้น พวกเขาได้ใช้แผ่นรักษาโปรโตปลาสเพื่อฟื้นคืนสภาพเซลล์กระจกตา
สิ่งที่เรียกว่าโปรโตปลาสนี้เป็นชื่อสามัญของสิ่งที่พวกเขาใช้ เจ้าสิ่งนี้คือวัสดุมีชีวิตที่มีอยู่ทั่วไปในเซลล์อยู่แล้ว อุปกรณ์สร้างขึ้นมาเพื่อใช้การปล่อยแสงเพื่อกระตุ้นให้โปรโตปลาสในเซลล์ทำการซ่อมแซมตัวเองเท่านั้น นี่จึงทำให้บาดแผลหยุดเลือดไหลและซ่อมแซมตัวเองจนแผลปิดอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ข่าวเกี่ยวกับข้อมูลวิธีการและเทคโนโลยีในการรักษาที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลกังหยุนปล่อยออกมาได้เข้าไปถึงผู้คน
ผู้คนต่างก็ตกตะลึงจนนิ่งอึ้งกันในทันทีที่เห็นข้อมูลเหล่านี้ แม้แต่บรรดาหมอทั้งหลายเองก็ยังไม่เคยคาดคิดว่าจะมีการรักษาแบบนี้อยู่ในโลก
ทุกวิธีการที่โรงพยาบาลกังหยุนใช้นั้นราวกับหลุดออกจากนอกกรอบศาสตร์ที่พวกเขาได้เรียนรู้มา แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น วิธีการเหล่านี้ช่างดูลึกล้ำราวกับหลุดออกมาจากหนังวิทยาศาสตร์เลยก็ว่าได้
แต่ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนหนังวิทยาศาสตร์ขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อพวกเขาได้ลองนึกถึงวิธีการต่างๆที่อยู่ในหนังมาปรากฎอยู่ในโลกแห่งความจริงได้นั้น พวกเขากลับนึกภาพอื่นไม่ออกเลยนอกจากวิธีการของโรงพยาบาลกังหยุน
นี่จึงทำให้โรงพยาบาลกังหยุนต้องเริ่มรับแรงกดดันจากจำนวนคนไข้ที่เริ่มหลั่งไหลไปที่นั่น
แต่ผลที่ได้ก็คือ ยิ่งมีคนไปที่นั่นมากเท่าไหร่ สถิติที่โรงพยาบาลสามารถรักษาโรคต่างๆได้ก็มากขึ้นตามไปด้วย ราวกับว่าเป็นวังวนแห่งความสำเร็จเลยก็ว่าได้

ในตอนนี้เอง โรงพยาบางกังหยุนก็ได้ออกมาประกาศว่าคลีนิคพิเศษของพวกเขานั้นพร้อมที่จะเปิดให้บริการแล้ว โดยโรคที่คลีนิครับรักษานั้นก็คือมะเร็ง
ทันทีที่ข่าวนี้ได้แพร่ออกไปก็ได้ทำให้เหล่าผู้คนต่างก็แตกตื่นกันในทันที หากว่าเป็นโรคต่างๆก่อนหน้านี้ผู้คนยังพอที่จะยอมเชื่อได้ แต่การที่โรงพยาบาลกังหยุนออกมาประกาศว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งได้แบบนี้มันยากที่จะเชื่อได้จริงๆ
นั่นก็เพราะว่า โรคมะเร็ง คือโรคร้ายหนึ่งในห้าที่พลากชีวิตของมนุษย์ในโลกใบนี้และรักษาไม่ได้ ไม่สิต้องบอกว่าเป็นหนึ่งสี่ของโลกที่ยังไม่มีการรักษาได้
เหตุที่เหลือแค่สี่นั้นก็เพราะว่าโรคALSนั้นถูกรักษาได้โดยซูจิ้งไปแล้ว หรือนี่จะหมายความว่าโรงพยาบาลกังหยุนนั้นยินดีที่จะท้าทายกับซูจิ้งได้รึเปล่าเพราะพวกเขานั้นจะได้รับชื่อเสียงมากมายหากว่าสามารถรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายนี้ได้จริง
แต่ที่สำคัญกว่านั่นก็คือพวกเขาสามารถทำได้จริงๆรึเปล่า เหตุผลที่โรคมะเร็งนี้กลายเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้นั้นเป็นเพราะว่าไม่ว่าจะรักษาจนหายไปกี่ครั้งก็ตาม โรคมะเร็งก็ยังกลับมาเป็นได้อีกครั้งไม่ว่าจะกี่ปีก็ตาม

แล้วอยู่ๆการที่มีโรงพยาบาลเปิดใหม่มาประกาศว่ารักษาได้หายขาดแบบนี้นี่ หากไม่เรียกว่าโรงพยาบาลแห่งปาฎาหารย์ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วเหมือนกัน แต่ปาฏิหารย์จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆขนาดนั้นเลยหรือ
ถึงแม้ว่าการประกาศนี้จะสร้างให้ผู้คนเกิดความสงสัยอยู่เต็มประดาเพียงใด แต่กับผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้น
ทันทีที่พวกเขาป่วยเป็นมะเร็งก็ไม่ได้ต่างจากม้าใกล้ตายที่รอหมอม้ามาฉีดยาให้ดับดิ้นไปเท่านั้น
ข่าวนี้ได้ช่วยให้มีความหวังขึ้นมาโดยไม่ได้สนใจเรื่องที่ว่าจะเชื่อได้หรือไม่ก็ตาม เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บนโลกนี้ ไม่มีโรงพยาบาลไหนที่กล้าจะมาประกาศตัวแบบนี้ได้
นี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้ว นั่นก็เพราะหากไม่มีข่าวนี้ ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับพวกเขาแล้วก็ยังควานหากันไม่เจอด้วยซ้ำ

ตอนนี้บางสำนักข่าวที่ทราบเรื่องก็ได้ส่งนักข่าวตรงไปยังโรงพยาบาลกังหยุนเพื่อสัมภาษณ์ในทันที แน่นอนว่าสำหรับคนแบบนี้แล้ว ข้อมูลของคนไข้นั้นสามารถหามาได้อย่างง่ายดาย
พวกเขาได้ใช้ช่องทางนิดหน่อยในการได้ข้อมูลคนไข้จากโรงพยาบาลอื่นมาและยืนยันได้ว่าเป็นมะเร็งจริง และเหล่านักข่าวมั่นใจได้ว่าคนไข้คนนี้ไม่ได้รับการรักษาจนหายจากโรงพยาบาลอื่นก่อนที่จะมายังโรงพยาบาลกังหยุนอย่างแน่นอน

ในวันนี้ คลีนิคพิเศษของโรงพยาบาลกังหยุนนั้นได้รับคนไข้มะเร็งมาสามราย นี่ทำให้เหล่าหมอที้งหลายยุ่งมาก แต่นักข่าวก็ยังไปขอสัมภาษณ์หมอที่มีหน้าที่รักษาอยู่ดี
“หมอครับ คุณจะรักษาคนไข้โรคมะเร็งได้ยังไงครับ ด้วยการที่โลกนี้เป็นหนึ่งในสี่ของโรคที่ไม่มีทางรักษาได้หายและฆ่าชีวิตผู้คนมากมายในโลกใบนี้ แล้วทำไมคุณหมอยังมั่นใจได้ว่าสามารถรักษาโรคนี้ได้กัน” นักข่าวสาวสวยถามออกมาอย่างคาดคั้น
“ที่พวกเรามั่นใจนั้นเป็นเพราะว่าพวกเราได้ทำการศึกษาและพัฒนาวิธีกรต่อกรโรคมะเร็งจนถึงระดับดีเอ็นเอได้แล้ว ถึงแม้ว่าพวกเรายำไม่ชำนาญในเรื่องนี้สักเท่าไหร่นักเพราะยังขาดคนไข้ที่มารับการรักษา

แต่เมื่อคิดถึงว่าโรงพยาบาลของเรานั้นพึ่งจะเปิดใหม่แล้ว พวกเรานั้นต้องการพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่าพวกเรานั้นมีความพร้อมที่จะรักษาโรคนี้จริงๆ
เอาล่ะ ผมจะไม่หยุดพวกคุณจากการถ่ายทำหรอกนะ ต่อผมก็หวังว่าพวกคุณจะไม่มาขัดขวางการรักษาและขอให้พวกคุณเคารพสิทธิของคนไข้ด้วยเหมือนกันเพราะยังไงซะที่นี่ก็คือโรงพยาบาล สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการรักษาคนไข้ที่ต้องใช้สมาธิในการรักษามากกว่าปกติ” หมอได้พูดออกมาด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้ายต่อนักข่าว

นักข่าวเองในตอนนี้ก็เข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะยังไงซะที่นี่ก็คือโรงพยาบาล หากว่าหมอนั้นไม่มีสมาธิในการรักษาคนไข้มากพอล่ะก็พวกเขาเองก็รับผลที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองไม่ไหวอย่างแน่นอน
ที่แน่ๆหากเกิดเรื่องจริงอย่างน้อยๆพวกเขาต้องเสียงานของตัวเองไปตลอดชีวิตซึ่งนั้นยังถือว่าเป็นอย่างน้อยที่สุด หากเรื่องเลยเถิดล่ะก็แน่นอนว่าพวกเขานั้นคืออาชญากรดีๆนี่เอง
ด้วยเหตุนี้ เหล่านักข่าวจึงเลือกที่จะพยายามไม่เข้าไปขัดขวางการรักษาของหมอเจ้าของไข้และแทรกแซงผู้ป่วย พร้อมทั้งรอดูผลการรักษามะเร็งอยู่เงียบๆ