GGS:บทที่ 1127 ฉิวจิงสับสน

หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน โรงพยาบาลกังหยุนก็ได้ประกาศข่าวดีออกมาว่าผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระยะลุกลามนั้นมีอาการป่วยที่ดีขึ้น และหลังจากนั้นประมาณสิบวันผู้ป่วยก็ได้หายดีอย่างแท้จริงเหลือแค่เพียงการฟื้นฟูร่างกายเท่านั้น
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้จะมีคนเชื่อได้ง่ายๆได้ยังไง หลายๆคนตั้งข้อสงสัย อีกหลายคนเองไม่เชื่อเรื่องนี้เลยสักนิด แต่เมื่อผู้ป่วยเหล่านี้ไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ปรากฏว่าพวกเขาตรวจไม่พบมะเร็งเลยแม้แต่น้อย นี่เทียบเท่ากับว่าพวกเขาหายดีแล้วจริงๆ
ทันทีที่ข่าวนี้ได้เผยแพร่ออกไปก็ได้สร้างความโกลาหลไปทั่วทั้งโลกในทันที วงการแพทย์ทั่วทั้งโลกต่างก็ตกตะลึงกับเรื่องนี้ นั่นก็เพราะประเทศจีนไม่เพียงจะเอาชนะโรคALSได้เพียงอย่างเดียวแต่ยังเอาชนะโรคมะเร็งได้อีกด้วย

เมื่อเทียบกับโรคที่โดนตราไว้ว่าไม่มีทางรักษาได้ทั้งห้าโรคนั้น โรคมะเร็งมีผู้ป่วยมากกว่าโรคALSถึงสิบเท่า ยิ่งไปกว่านั้นคือจำนวนยังคงมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยส่วนใหญ่ของผู้ที่เป็นมะเร็งนั้นจะเป็นผู้ที่สูบบุหรี่และได้รับสารก่อมะเร็งต่างๆ นี่จึงทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้นเพื่อสูงขึ้นในทุกๆปี และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
“พระเจ้า โรงพยาบาลนั่นสุดยอดเลยจริงๆที่มีสามารถรักษาได้แม้แต่มะเร็งระยะลุกลาม”
“ในตอนแรกพวกเราทุกคนต่างก็คิดว่าที่โรงพยยาบาลออกมาโฆษณานั้นเป็นเพียงเรื่องเกินจริงไปเท่านั้นเพื่อให้ได้รับชื่อเสียง
พวกเราเชื่อด้วยซ้ำว่าโรงพยาบาลกังหยุนนั้นพยายามลอกเลียนแบบทุกสิ่งทุกอย่างมาจากโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนด้วยซ้ำ ตอนนี้รู้แล้วว่าโฆษณาเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง”
“คราวนี้ฉันว่าโรงพยาบาลกังเฟิงต้องมีคู่ปรับแล้วเป็นแน่”
“แล้วซูจิ้งมีท่าทียังไงบ้างล่ะ”
“ไม่มีเลยแม้แต่น้อย เห็นเขาว่ากันว่าซูจิ้งนั้นมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับโทรศัพท์กาลเวลารุ่นที่สองซึ่งทำรายได้มากกว่าโรงพยาบาลเลยไม่ได้สนใจด้านการแพทย์อีกต่อไป”

หลังจากได้เห็นข่าวนี้ หวังกังหยุน หลิวเว่ย และหมอคนอื่นๆเองก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นอยู่นาน ส่วนหมอของโรงพยาบาลกังเฟิงอย่างลูฉิงหมิงและคนอื่นๆต่างก็ตกตะลึงอยู่นานเลยทีเดียว
“พระเจ้า พวกเราเอาชนะโรคมะเร็งได้แล้ว”
“ตอนแรกฉันก็ว่ารางวัลโนเบิลด้านการแพทย์ปีนี้จะกลายเป็นของท่านประธานซูจิ้งแล้วนะ เพราะว่าเขานั้นเป็นคนที่รักษาโรคALSได้
แต่เมื่อทางนั้นรักษาได้แม้แต่โรคมะเร็งแบบนี้หากรางวัลโนเบิลหลุดมือไปก็ไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด เพราะว่าทางนั้นดูแล้วสุดยอดกว่ายังไงก็ไม่รู้”
“ตอนนี้ผู้คนต่างก็พูดถึงโรงพยาบาลกังหยุนกันเป็นการใหญ่ ราวกับว่าพวกเขานั้นลากพวกเราลงมาจากยอดหอคอยเลยจริงๆ”

ก่อนหน้า ผู้คนต่างก็นึกกันไปว่าโรงพยาบาลกังเฟิงนั้นไม่มีใครจะฉุดรั้งลงมาจากยอดหอคอยไม่ได้แล้ว แม้แต่องค์กรการแพทย์ระดับโลกนั้นก็ยากที่จะเทียบเคียง
ใครจะไปคิดว่าอยู่ๆก็มีโรงพยาบาลอื่นโผล่ออกมาโดยมีรูปแบบการบริหารที่คล้ายกันและทำได้แม้แต่การรักษาโรคที่ไม่มีวันรักษาแบบนี้ นี่คือศัตรูที่แท้จริงของโรงพยาบาลกังเฟิงชัดๆ
และผลจากนี้ก็ทำให้เหล่าผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เงียบหายไปนานปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง คนกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มคนนักเลงคีย์บอร์ดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อซูจิ้ง โดยพวกเขานั้นได้หาเรื่องซูจิ้งมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่เดิม คนเหล่านี้ต่างก็ถอดใจที่จะลากซูจิ้งลงมากยอดไปแล้วทั้งๆที่ยังไม่ยากเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ทำได้เพียงรับมันไว้แต่โดยดี

เหตุหลักๆก็คือซูจิ้งนั้นทำได้แม้กระทั่งทำให้อเมริกายอมศิโรราบได้ แล้วใครจะกล้าไปเมื่อเรื่องกัน
อย่างไรก็ตาม โดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครสักคนกล้าที่จะเปรีบยบเทียบกับโรงพยาบาลกังเฟิงของซูจิ้งได้ นี่เรียกได้ว่าเป็นโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดเลยว่าซูจิ้งจะมีวันนี้กับเขาด้วย”
“สำหรับคนที่กล้าไปท้าต่อยกับซูจิ้งที่อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าแบบนี้ได้สมควรจะต้องเป็นคนที่สุดยอดกว่าซูจิ้งอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าไม่เคยมีคนสนใจเขามาก่อน”
“ดีจริงๆที่เรามีโรงพยาบาลกังหยุน ในภายภาคหน้าฉันจะไปรักษาแต่กับหมอที่นั่นเท่านั้น”

ณ ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีบรรยากาศมืดดำหนวดเครารกรุงรังได้หัวเราะออกมาสามครั้งอย่างดังลั่นในทันทีที่เห็นข่าวการรักษาโรคมะเร็งนี้
ชายคนนี้ก็คือฉิวจิง คนที่เคยหาเรื่องกับซูจิ้งแล้วพบกับจุดจบที่ไม่สวยเลยแม้แต่น้อยโดยที่ซูจิ้งยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด
เขาเองเคยเป็นหมอที่ได้รับความนิยมในวงการแพทย์มาก่อน แต่ในตอนนี้ เขากลับกลายเป็นหมอที่ไม่มีคนสนใจแม้จะเอ่ยถามชักชวนให้เข้าร่วมเลยด้วยซ้ำ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขานั้นไม่ได้ต่างไปจากหมาหัวเน่าเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะเขาได้ละทิ้งจิตวิญญาณและความสูงส่งของการเป็นแพทย์และมีชีวิตอยู่ไปวันๆเท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่าในที่สุดแล้วเขาจะได้ทำงานในคลินิกเล็กๆแห่งหนึ่ง แต่เขานั้นก็ได้ทำงานด้วยใจที่ไม่อยากเพราะแตกต่างกับชีวิตช่วงเวลาก่อนหน้ามากเกินไป

เขานั้นทำสีหน้ามุ่ยยู่ตลอดทั้งวัน และมีปัญหากับทุกสิ่งที่เห็น จนในที่สุด แม้แต่คลินิกเล็กๆก็ยังไม่สามารถที่จะยอมรับเขาไว้ได้จึงทำให้ฉิวจิงต้องตกงานอีกครั้ง
ในตอนนี้ เขาเองได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโรงพยาบาลกังหยุนที่ดูแล้วสูงล้ำกว่าโรงยาบาลกังเฟิงทำให้เขานั้นรู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างที่สุด ในขณะเดียวกัน หัวใจของเขาก็กลับคืนมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“หึ เป็นเพราะในตอนนั้นฉันแค่พลาดไปหาเรื่องซูจิ้งไว้ในไมโครบลอคเท่านั้น ไอ้โจรแก่หวังกังหยุนนั่นถึงกับตราหน้าฉันว่าเลวระยำตำบอนอย่างที่สุดจนทำให้ไม่มีโรงพยาบาลไหนที่กล้าจะรับฉันอีก

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโรงพยาบาลกังหยุนจะไม่รับฉันสักหน่อย หึหึหึ พวกเขานั้นดูท่าจะต้องการเทียบเคียงกับโรงพยาบาลกังเฟิงตั้งแต่เริ่มแบบนี้แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ต้องไม่ชอบซูจิ้งเช่นเดียวกัน
ในเมื่อฉันที่กล้าจะท้าทายซูจิ้งจนโดนขึ้นบัญชีดำแบบนี้ไปสมัครโรงพยาบาลอื่นไม่ได้แต่ฉันว่ายังไงพวกเขาก็ต้องรับฉันเอาไว้อย่างแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อฉิวจิงคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมาทำให้เขานั้นอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้จริงๆ
ตอนนี้เขารู้สึกราวกับผมทางสว่างที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาจนได้

“เหนือสิ่งอื่นใดนั้น…ฉัน…คงต้องโพสต์ลงไปในไมโครบลอกซะหน่อยสินะ” ฉิวจิงพูดออกมาด้วยสายตาที่ร้อนรน เขาได้เปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองพร้อมกับสร้างเนื้อหาหนึ่งขึ้นมาในไมโครบลอคของตัวเองแล้วโพสต์ออกไป
เนื้อหาของโพสต์นี้เกี่ยวกับการกดให้โรงพยาบาลกังเฟิงดูต่ำลงและยกโรงพยาบาลกังหยุนให้สูงขึ้น เพียงแค่เห็นก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าคนเขียนโพสต์นี้มีความรู้สึกยังไง
เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ฉิวจิงไปทำการตัดผมโกนหนวดก่อนจะนำสูทตัวเก่งของเขามาใส่ จนทำให้ภาพลักษณ์ในตอนนี้ราวกับได้คืนสู่ความสง่าในฐานะแพทย์อีกครั้งหนึ่ง และได้มุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลกังหยุนในทันทีเนื่องจากในเว็บไซต์ทางการของโรงพยาบาลกังหยุนได้แจ้งเอาไว้ว่าพวกเขากำลังต้องการรับผู้มีความสามารถ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขานั้นโพสต์ข้อความดูถูกแบบนั้นออกไป เพราะคิดว่าจะได้คะแนนจากเรื่องนี้จนทำให้ถูกรับเข้าทำงานทันที

ด้วยการที่ในตอนนี้ฉิวจิงนั้นยากจนข้นแค้นจนทำให้แม้แต่รถยนต์ส่วนตัวก็ต้องขายออกไป เขาจึงไปโดยใช้แท็กซี่เพื่อตรงไปที่โรงพยาบาลกังหยุนแทน
พร้อมความคิดที่ว่าในคราวนี้เขานั้นต้องมีอนาคตที่ไม่สิ้นสุดอย่างแน่นอน คิดไปแม้กระทั่งว่าด้วยสิ่งนี้จะทำให้ภรรยาเก่าของเขานั้นต้องเปลี่ยนใจกลับมายืนอยู่ข้างเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดีจนถึงขั้นอยู่ๆก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“แหม่…ดูท่าทางมีความสุขมากเลยนะครับเนี่ย มีเรื่องดๆเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอครับ” คนขับรถถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็ไม่ได้มีความสุขอะไรขนาดนั้นหรอกน่า พอดีผมเตรียมจะไปสมัครงานที่โรงพยาบาลกังหยุนเท่านั้นเอง” ฉิวจิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“โอ้….คุณเป็นหมอด้วยเหรอครับเนี่ย โรงพยาบาลกังหยุนนี่ดีมากเลยนะครับ ผมได้ยินมาว่าวิธีการรักษาของที่นั่นดีเยี่ยมเลย รักษาได้แม้กระทั่งโรคมะเร็งแน่ะ” คนขับรถได้พูดออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อย
“ใช่แล้ว โรงพยาบาลกังหยุนนั้นสุดยอดจริงๆ ฉันหวังจริงๆว่าจะได้ร่วมงานกับพวกเขาจริงๆ” ฉิวจิงพูดออกมาด้วยท่าทีสุขุม แต่จิตใจของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ นั่นก็เพราะ
อย่างแรก ด้วยประสบการณ์ที่เขาไม่ชอบหน้าซูจิ้งมาแต่ทุนเดิมและเรื่องที่พึ่งจะทำไปนี่ต้องสร้างความพึงพอใจให้แก่คนของโรงพยาบาลกังหยุนอย่างแน่นอน อย่างที่สอง ในตอนนี้ยังไงซะเขาก็ยังถือว่าเป็นหมอที่มีความสามารถอย่างแท้จริงอยู่ดี
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอให้ได้งานนะครับ” คนขับรถได้พูดอวยพรออกมา

หลังจากที่นั่งรถไปพักใหญ่แล้ว คนขับรถได้เปิดข่าวขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศอันเงียบงันโดยเขาได้เปิดข่าวท้องถิ่นขึ้นมา
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากฟังช่องท้องถิ่นแบบนี้เลยแม้แต่น้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกมาเพราะตอนนี้เขานั้นยังอารมณ์ดีอยู่ ตราบใดที่มันไม่ได้เสียงดังเกินจนรบกวนอารมณ์ของเขาก็ไม่มีปัญหา
แต่ทันที่เขานั้นได้ยินชื่อของโรงพยาบาลกังหยุนแว่วเข้าหูมาก็อดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟังในทันที
เสียงจากวิทยุเป็นเสียงของนักข่าวสาวที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น โดยเธอพูดออกมาว่า “พวกเราพึ่งจะได้รับรายงานข่าวมาค่ะว่าซูจิ้งได้ปรากฏตัวที่โรงพยาบาลกังหยุนในตอนนี้ และภาพที่ส่งมานี้แสดงให้เห็นว่าประธานของโรงพยาบาลกังหยุนนั้นแสดงความเคารพต่อเขาอย่างมาก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…”
….

“จากที่นักข่าวได้เข้าไปสัมภาษณ์นะคะ กลายเป็นว่าโรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้เองก็ถูกจัดตั้งขึ้นมาพร้อมทั้งบริหารงานโดยซูจิ้งเช่นเดียวกันค่ะ นี่หมายความว่า ซูจิ้งได้ค้นพบทั้งเทคโนโลยีในการรักษาแบบใหม่ ตลอดจนวิธีการรักษาโรคมะเร็งเองก็ถูกพัฒนาโดยซูจิ้งเช่นเดียวกัน…”
…..
“นักข่าวของเรานั้นได้ถามมาแล้วนะคะว่าทำไมทั้งๆที่โรงพยาบาลกังเฟิงเองก็ยังเปิดและทำรายได้อย่างดีเลิศอยู่แล้ว แล้วมีเหตุผลอะไรถึงได้เปิดโรงพยาบาลกังหยุนขึ้นมาอีก
โดยเขานั้นได้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มว่า เขานั้นต้องการจะแสดงให้เห็นว่าการที่โรงพยาบาลกังเฟิงมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั้นไม่ได้มาจากชื่อเสียงของเขา
แต่มาจากการที่โรงพยาบาลนั้นดำเนินการมามากมายและดีเยี่ยมจนทำให้ได้รับชื่อเสียงมาด้วยตัวเอง หากว่าจะมีอะไรมาล้มล้างได้ก็คงมีแต่ตัวเขาเองเท่านั้น
และเขายังบอกมาด้วยท่าทีอารมณ์ดีอีกค่ะว่า “ดูไร้สาระดีใช่ไหมล่ะ” ”
…..

ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่ออกไปนั้นทำให้หวังกังหยุน หลิวเว่ย และหมอคนอื่นๆต่างก็สับสนกันไปหมด แม้แต่ลู่ฉินหมิงและหมอจากโรงพยาบาลกังเฟิงคนอื่นๆเองก็มีท่าทีสับสนไม่ต่างกัน นี่เท่ากับว่าพวกของลู่ฉินหมิงนั้นกังวลเองอยู่ฝ่ายเดียวว่าจะรับมีกับเรื่องนี้ยังไง
พอเขากลับมาหวนคิดว่าการที่ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้นั้นก็เป็นเพราะเหตุนี้เองสินะ เพราะยังไงซะสุดท้ายแล้วทั้งสองโรงพยาบาลนั้นก็จะเป็นโรงพยาบาลในเครือเดียวกันอยู่ดี
เรื่องนี้ทำให้เหล่าผู้คนที่ออกมาโวยวายและกระทำการดึงโรงพยาบาลกังเฟิงและซูจิ้งให้ตกต่ำและยกโรงพยาบาลกังหยุนให้สูงนั้นต่างก็สับสนกันไปหมด

ในรถคันหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลกังหยุนนั้น ฉิวจิงในตอนนี้ราวกับว่าตัวเองกำลังจะกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ทั่วทั้งร่างกายนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีอย่างที่สุด
ในตอนนี้เขานั้น มีความรู้สึกว่าทั่วทั้งโลกนี้เต็มไปด้วยเบื้องหลังที่ตัวเขานั้นยากจะหยั่งถึงได้จริงๆ