GGS:บทที่ 1128 ขยะกองใหม่

ชายหนุ่มมาดสุขุมคนหนึ่งหลังจากกลับมาจากที่ทำงาน เขาได้ทำการเปิดQQแล้วเข้าไปในกลุ่มของเขาในทันที หลังจากนั้นเขาได้ทำการพิมพ์ข้อความออกไปว่า “นี่โรงพยาบาลกังเฟิงยังไม่แสดงท่าทีอะไรต่อโรงพยาบาลกังหยุนอีกเหรอ ไอ้พวกนั้นไม่น่าจะคิดยอมแพ้ง่ายๆนี่นา
สงสัยว่าจะยังไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่สินะ หรือว่าเราจะร่วมมือกันกระตุ้นให้ไอ้พวกนั้นเต้นดิ้นไปดิ้นมาดีล่ะ”
“…….”
“…….”
เพื่อนในกลุ่มของเขานั้นที่เคยคิดแบบเดียวกันนั้น ในตอนนี้ต่างก็เงียบงันกันไปหมด
“เป็นอะไรกันพวกนาย” ชายหนุ่มมาดสุขุมเริ่มผิดสังเกตจึงได้ถามออกมา
“นี่นายยังไม่ได้ข่าวอีกเหรอ” คนหนึ่งในกลุ่มพิมพ์ถามออกมา
“ข่าวอะไรล่ะนั่น วันนี้ทั้งวันฉันยังไม่ได้ยินว่าโรงพยาบาลกังเฟิงจะทำอะไรเลยสักอย่าง แต่ก็เอาเถอะ ยังไงซะต่อให้ไอ้พวกนั้นทำอะไรก็เทียบไม่ได้กับการที่โรงพยาบาลกังหยุนเอาชนะโรคมะเร็งได้อย่างแน่นอน”
“…..เอาไปดูเองเถอะ” คนหนึ่งในกลุ่มได้พิมพ์ตอบออกมาก่อนที่จะส่งลิ้งค์ข่าวให้ดู
เมื่อชายหนุ่มมาดสุขุมได้เปิดดูก็ได้เข้าไปยังข่าวๆหนึ่ง ในทันทีที่เห็น ดวงตาของเขาเบิกกว้างในทันที ปากของเขาอ้ากว้าง กว้างที่สุดเท่าที่จะเคยอ้ามา

เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีม้านับหมื่นตัววิ่งเล่นอยู่ในใจเขา พลางนึกอุทานออกมาในใจว่า ห่าเหวอะไรกัน ซูจิ้งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลกังหยุนงั้นเหรอ
แล้วไอ้การที่พวกเขาต่างก็พากันยกยอปอปั้นโรงพยาบาลกังหยุนให้สูงและฉุดกระชากโรงพยาบาลกังเฟิงให้ต่ำลงมานั้นจะไปมีค่าอะไรกัน ในเมื่อทั้งสองโรงพยาบาลนั่นต่างก็เป็นของซูจิ้ง นี่มันไม่ได้ต่างจากลิงที่ถูกหลอกให้เป็นตัวตลกเลยนี่หว่า

ชายหนุ่มมาดสุขุมคนนี้มีความรู้สึกอยากจะขุดหลุมออกจากกลุ่มแชทนี้ออกไปให้พ้นๆเพราะคนในกลุ่มนี้เยอะจนทั่วทั้งประเทศเลยก็ว่าได้
ยังดีหน่อยที่ชื่อผู้ใช้เป็นเลขรหัสและไม่มีใครรู้ว่าตัวจริงของแต่ละคนนั้นคือใคร ไม่อย่างนั้นล่ะก็ไม่เพียงจะมีคนรู้ว่าเขานั้นทำอะไรลงไปล่ะก็ มีหวังต้องย้ายหนีกันบ้างแน่ๆ
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพัก หนุ่มมาดสุขุมก็มีความคิดว่าจะดีดตัวเองออกจากกลุ่มนี้ในทันที ในตอนนั้นเองที่เขาเห็นว่า จำนวนคนที่อยู่ในกลุ่มนี้จากห้าหกหลักเหลือเพียงแค่หลักเดียวเท่านั้น

กลุ่มนี้แต่เดิมนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อรวบรวมเหล่าคนที่ไม่พอใจในตัวซูจิ้งและเตรียมที่จะก่อการบางอย่าง
ตอนนี้ในเมื่อพวกเขารู้ดีแล้วว่าซูจิ้งนั้นยากที่จะทำอะไรได้แล้วแน่ๆ จะเป็นการดีกว่าถ้าไม่ไปทำการทุบหินด้วยไข่ จะดีกว่า นี่คือเหตุผลที่ทำให้จำนวนคนในกลุ่มหายไปอย่างรวดเร็วในพริบตา
สำหรับกลุ่มนี้นั้น เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในทุกครั้งที่ซูจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวทำอะไรบางอย่าง
ทุกๆครั้งที่ซูจิ้งทำอะไรแล้วสำเร็จได้ด้วยดีนั้นทำให้คนเหล่านี้รู้สึกได้ราวกับว่าซูจิ้งได้ตบหน้าพวกเขาแบบตรงๆ และนั่นก็ทำให้ล้มเลิกความตั้งใจไปในทันที

เหมือนอย่างตอนที่อเมริกานั้นล้มเลิกความตั้งใจไป ในตอนนั้นคนในกลุ่มที่มีมากมายห้าหกหลักลดลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่หลัก
และในวันนี้จากกลุ่มที่เริ่มจะกลับมาเติบโตจนถึงเลขห้าหลักได้ ในที่สุดก็หลงเหลือแค่เลขหลักเดียว
เรียกได้ว่ากลุ่มๆนี้ตายแล้วอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งเห็นแบบนี้ ชายหนุ่มมาดสุขุมก็ไม่มีท่าทีอิดออดที่จะคงอยู่ในกลุ่มนี้อีกต่อไป พร้อมการยกเลิกความคิดที่จะใช้เหล่าฝุ่นผงพวกนี้ไปสาดซัดใส่ซูจิ้งอีกต่อไป

ในโลกอินเตอร์เน็ต หลังจากข่าวที่ว่าโรงพยาบาลกังหยุนนั้นมีซูจิ้งเป็นคนก่อตั้งเผยแพร่ออกไปทำให้ชาวเน็ตพูดคุยเรื่องนี้กันไปทั่ว
“พระเจ้าเถอะ กลายเป็นว่าโรงพยาบาลกังหยุนนั้นถูกก่อตั้งโดยซูจิ้ง”
“เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันได้ยินข่าวมาว่ามีคนออกมาเยาะเย้ยซูจิ้งว่าที่เงียบไปนั้นเป็นเพราะว่าเขานั้นอวดดีไม่ออกเมื่อต้องเจอกับคนที่แน่กว่าเขา
ตอนนี้ฉันเองอยากรู้แล้วล่ะว่าคนพวกนั้นตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าหน้าจะบางลงบ้างหรือยัง ยิ่งนึกก็ยิ่งสงสัยนะว่าคนพวกนั้นมีหนังหนาแค่ไหนกัน ดูตอกหน้ากลับไปซ้ำๆก็ยังกล้าที่จะออกมาวอแวโหวกเหวกโวยวายแบบนี้อยู่เรื่อย
นี่คือขนาดพี่จิ้งยังไม่ได้ออกมาทำอะไรเลยนะ นี่ฉันล่ะอยากจะให้พี่จิ้งออกโรงเองเลยจริงๆ อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใครจะไปรู้ ที่พี่จิ้งทำการตั้งโรงพยาบาลใหม่ขึ้นมาโดยไม่ให้ใครรู้นั้นอาจเป็นเพราะเขาวางแผนที่จะเห็นคนออกมาวอแวโหวกเหวกโวยวายแบบนี้อยู่ก็ได้ แล้วดูว่าใครบ้างที่ทำแบบนี้ซ้ำๆจะได้กุดหัวถูก”

“อย่างกับแสงสว่างและเงามืดเลยแหะ”
ที่ผ่านมานั้น คนเหล่านี้คือคนที่เคยกล้าที่จะหาเรื่องกับซูจิ้งแบบซึ่งหน้า แล้วแพ้พ่ายไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเก็บจนเริ่มคิดว่าพวกเขาถูกซูจิ้งรังแกมากเกินไป
จึงได้สั่งสมความนี้เอาไว้ภายในใจ นานวันไป พวกเขาก็ยิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรไม่ได้แต่ก็ยังไม่มีความคิดที่จะถอดใจ จึงเรียกที่จะอยู่เงียบๆรอคอยจังหวะที่จะเอาคืน
ทั้งที่ซูจิ้งไม่ได้มีความคิดที่จะเริ่มก่อนแม้แต่น้อย ซูจิ้งแทบจะไม่เคยทำอะไรคนเหล่านี้เลยสักนิด นอกจากดำเนินธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา และล้างบางคนที่กล้าจะหาเรื่องโดยนำคนที่มีความสัมพันธ์ดีกับเขามาเกี่ยวข้องด้วย ควรจะเป็นซูจิ้งต่างหากควรที่จะมีความรู้สึกนี้ด้วยซ้ำไป

ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน คนเหล่านี้ถึงแม้จะเลิกรวมตัวกันแต่นั่นก็ไม่ได้จะทำให้ความคิดเกลียดชังนี้จางหายไปไหน
พวกเขาต่างก็ตีโพยตีพายว่าทั้งๆที่ซูจิ้งเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลกังเฟิงดีๆแล้วอยู่ๆก็ไปแอบตั้งโรงพยาบาลใหม่แบบนี้ แสดงว่าซูจิ้งต้องการแกล้งพวกเขาชัดๆ ………

“ฮ่าฮ่าฮ่า สรุปว่าโรงพยาบาลกังหยุนนั้นอยู่ในเครือเดียวกับเราตั้งแต่ต้นเหรอเนี่ย” เหล่าหมอและพยาบาลของโรงพยาบาลกังเฟิงที่ได้ยินข่าวนี้ต่างก็อดที่จะออกมาแสดงความยินดีและโล่งใจกันไม่ได้
“ไอ้หมอนี่นี่น้า..เล่นซะพวกเราหัวหมุนเป็นลิงไปเลย” ลูฉิงหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มและไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย
ตัวเขานั้นออกจะยินดีด้วยซ้ำที่การแพทย์ของโลกใบนี้ได้พัฒนาขึ้นไปอีกระดับขั้นหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือวิชาความรู้การแพทย์ที่ช่วยยกระดับวงการยังเป็นโรงพยาบาลในเครือเดียวกันแบบนี้ นี่ต้องทำให้โรงพยาบาลกังเฟิงกังหยุนครอบคลุมการรักษาในทุกด้านและกลายเป็นที่นิยมอย่างแน่นอน
“ประธานของเรานี่ทั้งๆที่น่าจะยุ่งการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือกาลเวลารุ่นที่สองซะขนาดนั้นยังหาเวลามาพัฒนาการแพทย์แขนงใหม่ได้ยังไงกันเนี่ย”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือนี่ไม่ใช่แค่ศาสตร์การรักษาเล็กๆธรรมดาแต่เรียกได้ว่าเป็นจ้าวแรกที่นำเทคโนโลยีมาผสานกับการรักษาโลกเลยก็ว่าได้ถึงขนาดที่ว่ารักษาได้แม้แต่โรคมะเร็ง
นี่เรียกได้เลยว่าถ้าไใช้เทคโนโลยีทางด้านพันธุกรรมอย่างเดียวล่ะก็ไม่มีทางเลยที่จะชนะโรคมะเร็งได้ แต่มั่วผนวกรวมกับด้านการแพทย์แล้ว นี่ถือเป็นยุคใหม่แห่งะการรักษาได้เลยนะ”
“ลูกพี่ของพวกเรานี่ต้องไม่ใช่มนุษย์แล้วแน่ๆ”
“อีกไม่นานหรอก เขาจะได้กลายเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์อย่างแท้จริง”

ในตอนนี้ไม่เพียงทั่วทั้งโลกจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้แล้ว แม้แต่หมอในโรงพยบาลกังหยุนที่ก่อนหน้านี้กังวลแทนซูจิ้งอย่างหนัก ในตอนนี้พวกเกลับเปลี่ยนท่าทีเป็นได้หน้าแทนเจ้านายในทันที
ในตอนนี้ไม่ว่าพวกเขาจะไปไหนก็สามารถมีเรื่องคุยโวได้แม้แต่กับภรรยาและลูกๆของตัวเองไปอีกนานแสนนาน
ก่อนหน้านี้พวกเขานั้นเพียงแค่คิดว่าการทำงานกับโรงบาลกังหยุนได้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ในตอนนี้พวกเขากระจ่างชัดแล้วว่า พวกเขานั้นได้เดินไปในเส้นทางสายหนึ่งที่จะชี้นำชาวโลก

ในตอนนี้เรียกได้เลยว่าโรงพยาบาลกังเฟิงนั้นได้มีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ยุ่งกว่าเดิม ซูจิ้งเองก็ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับโรงพยาบาลทั้งสองนี้แล้วด้วยว่า
ตั้งแต่เขาได้ทำการก่อตั้งโรงพยาบาลกังเฟิงมานั้น เขาได้ทำการศึกษาศาสตร์การแพทย์ทั้งแผนจีนโบราณและแผนปัจจุบันของชาติตะวันตกอย่างแตกฉาน
แต่นั่นก็ทำให้เขานั้นผมความจริงว่าความรู้ทางการแพทย์ทั้งความรู้แผนจีนโบราณและความรู้แผนปัจจุบันของชาวตะวันตกนั้นไม่ได้เพียงพอต่อการรักษาโรคที่เกิดขึ้นในโลกยุคนี้ และนี่คือเหตุผลที่เขาได้คิดหาวิธีการรักษาโลกรูปแบบใหม่และในที่สุดก็ได้ตั้งโรงพยาบาลกังหยุนขึ้น
และด้วยการนี้ภายในอนาคตอันใกล้ เมื่อทั้งสองโรงพยาบาลได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มีให้กัน เขาคาดว่าในอนาคต โรงพยาบาลกังเฟิงกังหยุนจะกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของวงการแพทย์อย่างแน่นอน

ในตอนนี้ที่ประตูโรงพยาบาลกังหยุน รถแท็กซี่คันหนึ่งได้เข้ามาจอด และเป็นฉิวจิงที่ก้าวลงมาจากรถ ในตอนนี้เขาไม่ได้มีอาการปิติยินดีแบบก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
นี่ทำให้คนขับรถเองถึงกับประหลาดใจเหมือนกันเพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้เห็นชายหนุ่มคนนี้มีท่าทีมั่นใจอย่างที่สุด ราวกับว่าตัวเขานั้นได้งานที่นี่แล้วอย่างไม่ต้องสืบ
แต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหลังจากได้ยินข่าวที่ว่าโรงพยาบาลกังหยุนเป็นของซูจิ้งแล้วทำไมถึงได้หมดอาลัยตายอยากอย่างนี้กัน แต่ก็อีกนั่นล่ะ เขาก็แค่คนขับรถมาส่งเลยไม่อยากจะถามอะไรมาก

หลังจากลงจากรถแท็กซี่ ฉิวจิงมองไปยังป้ายของโรงพยาบาลกังหยุนอยู่พักใหญ่แล้วก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมายาวๆ หากเขารู้มาแต่แรกว่าโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นซูจิ้งก่อตั้งเขาคงไม่มาที่นี่ แต่เขาเองก็ไม่สามารถบอกให้คนขับเปลี่ยนเป้าหมายได้ทันเพราะมัวต่อตกตะลึงจนไม่ได้สติเนื่องจากดีใจสุดขั้วและต้องมาเศร้าสุดขีดในพริบตา
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงยังกล้ามาที่นี่ อาจเป็นเพราะว่าเขานั้นยังคิดว่าที่นี่คือความหวังสุดท้าย หรือไม่ก็ข่าวนั้นเอาจจะเป็นข่าวปลอมก็ได้
ใครจะรู้ ซูจิ้งอาจไม่ใช่คนก่อตั้งจริงๆเพราะซูจิ้งนั้นไม่น่าจะคู่ควรกับที่นี่ นั่นก็เพราะกับอีแค่การรักษาโรคALSนั่นเขาก็แค่ได้วิธีการมาจากหนังสือเท่านั้น

กับครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่ใช่ว่าจะอ่านหนังสือโบราณก็สามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้ ไหนจะธุรกิจที่รัดตัวขนาดนั้นไม่น่าจะมีเวลาว่างพอมาทำเรื่องแบบนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าข่าวอาจจะพลาดไปก็ได้
ฉิวจิงยังคงก้าวเดินต่อไปเพื่อจะสัมภาษณ์งานด้วยความคิดที่เข้าข้างตัวเองแบบสุดๆ ในเมื่อมาถึงนี้แล้วเขาก็ไม่อยากจะถอยโดยไม่ได้รู้ผลอย่างแน่นอน

เมื่อคนสัมภาษณ์เห็นเขา สายตาของชายคนนั้นก็มีท่าทางแปลกๆเล็กน้อย เขาได้ลองเปิดอะไรบางอย่างดูอีกครั้งเพื่อยืนยันความคิดของตน
สิ่งที่เขาเปิดนั่นก็คือหน้าเว็บที่ฉิวจิงได้กล่าวดูถูกโรงพยาบาลกังเฟิงเอาไว้แล้วทำการยื่นให้ฉิวจิงในทันทีราวกับว่าเขาขี้เกียจจะพูดเรื่องนี้แม้แต่น้อยก็ไม่อยาก และเขาก็ได้เรียกหน่วยรักษาความปลอดภัยให้หิ้วฉิวจิงออกไป
ฉิวจิงในตอนนี้ได้นั่งลงอยู่ที่ริมทางเท้าหน้าโรงพยาบาล เขาอดทนเรื่องราวต่างๆต่อไปอีกไม่ได้จนร้องไห้ออกมา

ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าในที่สุด ซูจิ้ง ก็คือคนก่อตั้งโรงพยาบาลนี้
เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวกำลังเล่นตลกกับชีวิตเขาซ้ำไปซ้ำมา เล่นกับหัวใจของเขาโดยการส่งแสงสว่างสุดท้ายมาให้แล้วดับลงไปซะดื้อๆ หรือจะบอกว่าซูจิ้งกำลังย่ำยีหัวใจของเขาแต่เขาก็ไม่กล้าจะว่าร้ายซูจิ้งอีกต่อไป
ตอนนี้ ชั่วขณะนี้ เขาสำนักผิด สำนึกผิดอย่างที่สุด เขาครุ่นคริดอย่างหมกมุ่นว่าทำไมเขาถึงได้ไปเริ่มท้าทายซูจิ้งได้กัน ทำไมกันล่ะ

ตอนนี้ซูจิ้งผู้สร้างเรื่องราวทั้งหมดนี้ เขาไม่ได้แยแสต่อโลกภายนอกแต่อย่างใด เขาเองก็รู้เรื่องฉิวจิงแล้วเหมือนกันแต่ก็เท่านั้น หากต้องสนใจเรื่องนั้นสู้เขาเอาเวลาไปศึกษาสมบัติจากกองขยะห้วงเวลาฯและบ่มเพาะยังจะดีกว่า
ถึงแม้คนทั้งโลกจะเห็นว่าโรงพยาบาลกังหยุนดีเด่ขนาดไหน แต่เขาก็หาได้สนใจไม่ มันก็แค่ก้าวเล็กๆสำหรับเขาในการเติมเต็มค่าการใช้ประโยชน์เพื่อยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขาก็เท่านั้น

ในคืนวันนั้นราวๆตีสาม ซูจิ้งที่หลับอยู่ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เป็นฉิงหยุนได้พูดออกมาว่า “ท่านเจ้าของ ขยะห้วงเวลาฯมาแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูจิ้งได้ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมดีดตัวยืนแล้วพุ่งลงไปที่ชั้นหนึ่งในทันที
เป้าหมายของเขาคือสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ