GGS:บทที่ 1129 สะพรึง

เมื่อซูจิ้งก้าวเข้าสู่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศ วงวันขนาดยักษ์ได้หมุนเวียนอยู่บนท้องฟ้าโดยมีขยะมากมายกำลังไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย และเช่นเดิม ขยะแต่ละชิ้นลอยไปลอยมาด้วยสนามพลังพิเศษของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯเพื่อคัดแยกขยะในเบื้องต้น
ทันทีที่ซูจิ้งมองปลาดไปนั้น หนังตาของเขาก็ได้กระตุกในทันที เหตุผลก็เพราะว่าเขานั้นได้เห็นโครงกระดูกมากมายทั้งโครงกระดูกมนุษย์และโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตที่ไม่คุ้นตา เรียกได้ว่าเป็นท้องทะเลโครงกระดูกที่เต็มไปด้วยความหลอนและน่าสะพรึงก็ว่าได้
นอกจากนี้ ซูจิ้ง ยังเห็นตะขาบตัวใหญ่ยักษ์ที่มีความยาวกว่าสองเมตรเป็นอย่างน้อย รวมถึงไม้ท่อนยักษ์ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่าสิบห้าเมตร สัญชาตญานของซูจิ้งแทบจะแจ้งเตือนในทันทีเลยว่าห้วงเวลาที่พวกมันจากมานั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นอกจากนั้นยังมีขยะธรรมดาอยู่อีกเป็นจำนวนมาก เท่าที่เขาเห็นนั้นมีทั้งเศษใบไม้ ดิน ดาบหัก เศษผ้า เศษกระดาษ เฟอร์นิเจอร์ และขยะอย่างอื่น

หลังจากผ่านไปสักพัก ขยะห้วงเวลาฯก็หยุดไหลลงมาและวังวนมิติก็ได้จางหายไป
ขยะห้วงเวลาฯกองนี้นั้นแทบจะเต็มพื้นที่รองรับของสถานีฯที่มีขนาดกว่า 1800 ตารางเมตรเลยทีเดียว และในตอนนี้พวกมันล้วนแล้วแต่ถูกแบ่งหมวดหมู่เอาไว้แล้ว
ซูจิ้ง ตรงไปยังขยะฯกองสิ่งมีชีวิตก่อนเป็นอย่างแรก นอกจากตะขาบที่เขาได้เห็นไปในตอนแรกแล้ว ในกองนี้ยังมีหนู แมลง และพืชอยู่อีก
เขาได้ทำการปล่อยกระแสจิตเพื่อสะกดจิตสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในทันทีเพื่อป้องกันการหนี และที่ก็ต้องทำให้ซูจิ้งต้องประหลาดใจไม่น้อยเหมือนกัน นั่นก็เพราะตะขาบและหนูที่หลงมานี้มีความแข็งแกร่งทางจิตใจที่สูงกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ติดมาและสูงล้ำกว่าคนบนโลกนี้ซะอีก
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังไม่ได้สนใจสัตว์พวกนี้แม้แต่น้อย หลังจากควบคุมสัตว์ทุกตัวได้ เขาก็ตรงไปยังขยะฯกองกระดูกในทันที เขานั้นอยากเห็นให้ชัดๆว่ากระดูกพวกนี้มันคือตัวอะไรกันแน่
แต่ที่เขานั้นค่อนข้างจะมั่นใจก็คือ จากรูปร่างของกระดูกนั้นพวกมันล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งกว่าตะขาบและหนูที่เจออย่างแน่นอน

ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ ขยะกองไม้ก็ได้มีสูงระเบิดดังลั่นจนทำให้ไม้จำนวนมากมายไหลร่วงลงมาพร้อมควันโขมงโฉง
ซูจิ้งขมวดคิ้วแน่นในทันทีพร้อมความคิดที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตหลุดรอดไปยังขยะกองไม้อย่างนั้นเหรอ แต่เมื่อคิดถึงความสามารถในการคัดแยกของฉิงหยุนนั้นถึงจะค่อนข้างจะเป็นการคัดแยกเบื้องต้นจริงๆ อย่างเช่นกล่องไม้ที่มีอัญมณีอยู่ก็ยังจัดให้อยู่เป็นขยะฯกองไม้จนเขาต้องแงะพวกมันออกมาเองทั้งๆที่พวกนี้คือของดีทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงการทำตามความต้องการของซูจิ้งแล้วนั้น ฉิงหยุนยังคงเพ่งเล็งการคัดแยกขยะฯสิ่งมีชีวิตก่อนเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว
ตราบใดที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ ฉิงหยุนจะถือว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตในทันที ไม่ว่าจะต้นหญ้าเล็กๆ หรือแม้แต่สมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีการไหลเวียนของพลังวิญญาณก็ยังโดนจัดเป็นสิ่งมีชีวิตเลย ฉิงหยุนจึงไม่น่าจะพลาดเรื่องนี้ได้

ด้วยความสงสัย ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตเข้าไปตรวจสอบทั้งขยะฯกองไม้ในทันที แต่ก่อนที่จะพบเจออะไรนั้น ไม้ในกองก็เริ่มไหลลงมาอีกครั้ง และในคราวนี้ เผยให้เห็นโลงศพสีดำทมิฬโลงหนึ่ง
นี่ทำให้ซูจิ้งอดที่จะถลึงตามองไม่ได้เพราะฉากนี้ช่างคุ้นเคยอย่างไม่อยากเชื่อ
เขาเคยพบโลงศพมาแล้วครั้งหนึ่งจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ
โลงศพที่ซูจิ้งเจอในตอนนั้นมีศพมีชีวิตอยู่และในภายหลังเขาก็ได้นำมันไปตั้งแสดงที่พิพิธภัณฑ์ของเขาโดยอ้างว่าเป็นโลงศพในยุคสมัยสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ์ซึ่งสร้างความตะลึงต่อสายตาชาวโลกจนอึ้งทึ่งกันไปทั่ว
นี่จึงทำให้เขาอดจะสงสัยไม่ได้ว่าในคราวนี้เขาจะต้องเจอศพมีชีวิตแบบคราวก่อนอีกรึเปล่า เขาได้ทำการปล่อยพลังงานศักดิ์สิทธิ์ใส่โลงศพในทันที
อย่างไรก็ตาม ในคราวนี้ พลังงานศักดิ์สิทธิ์ได้กระทบเข้ากับแรงต้านที่ทรงพลัง มันแข็งแกร่ง เย็นยะเยือก และเต็มไปด้วยพลังแห่งมารร้าย
หัวสมองของซูจิ้งในตอนนี้สั่นสะท้านในทันทีนั่นก็เพราะพลังจิตของเขานั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคลื่นพลังนี้ราวกับเรือเล็กที่แล่นฝ่าท้องทะเลคลั่ง

พลังของเขาถูกผลักกลับมาอย่างง่ายๆและต้านเอาไว้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย สมองของเขาส่งสัญญาณความเจ็บปวดในทันทีพร้อมกับใบหน้าของเขาที่ขาวซีดในทันใด
เป็นตอนนี้ที่โลงศพได้ทำการระเบิดออกเผยให้เห็นร่างๆหนึ่งที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยกลิ่นอายสีดำพร้อมกับหมอกสีดำที่แพร่กระจายไปทั่ว
ด้วยการที่มีหมอกดำปกคลุมทำให้ซูจิ้งไม่อาจจะเห็นใบหน้าของร่างนี้ได้ มันได้ลอยตัวขึ้นตรงไปบนฟ้าอย่างไม่ยากเย็นแม้แต่น้อย
“ไอ้เด็กเวร แกกล้าดียังไงถึงกล้ามาขัดขวางการบ่มเพาะของข้า กว่าข้าจะพบเจอสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งหยินและไอปีศาจเพื่อทำการซ่อมแซมบาดแผลบนร่างพร้อมทั้งบ่มเพาะจนกว่าจะบรรลุแบบนี้ได้นั้นก็ยากแล้ว
ไม่คิดเลยจริงๆว่าสถานที่แบบนี้ยังมีมนุษย์อันแสนอ่อนแอมายุ่มย่ามได้ แกจะจ่ายค่าเสียหายที่มาก่อกวนข้าแบบนี้อย่างไร
หากไม่มากพอที่จะตอบสนองต่อความโกรธของข้าล่ะก็ ข้าจะสังเวยแกให้กลายเป็นผีเน่าๆตัวหนึ่ง” เงาดำในตอนนี้ได้ส่งเสียงอันแหลมเล็กออกมา มันเป็นเสียงที่เสียดหูแบบสุดๆและแฝงเอาไว้ด้วยความโกรธอย่างมาก

ซูจิ้งในตอนนี้ดูเงาดำที่ลอยอยู่บนฟ้าด้วยสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัวแบบสุดๆ หนึ่งเป็นเพราะตอนนี้เขาได้รับความบาดเจ็บทางวิญญาณและยังไม่มีเวลาฟื้นฟู
อีกหนึ่งคือเขารับรู้ได้ในทันทีว่าร่างเงาดำที่อยู่ตรงหน้านี้ยากที่จะต่อกร และเท่าที่ฟังดูแล้ว ร่างนี้ไม่เพียงจะไม่ใช่มนุษย์ เจ้านี้ยังสามารถสังเวยวิญญาณมนุษย์ให้แปรเปลี่ยนไปเป็นไอมารได้ นี่คือเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด….เจ้านี่คือตัวอะไรกันแน่

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายแบบนี้ แม้แต่ซูจิ้งก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าเขานั้นจะเผชิญหน้าด้วยวิธีการไหนดี
หากจะพูดคุยล่ะก็ หากพูดคุยไม่ดีมันจะเปลี่ยนจากการค้าขายหยกผ้าไหมเป็นสงครามการแย่งชิงได้อย่างง่ายดาย และผู้คนมากมายจะถูกสังเวยกลายเป็นไอมารอย่างแน่นอน แล้วเขาจะคุยอะไรได้กัน
ในเมื่อยังไงซะร่างๆนี้ก็ตั้งตนเป็นศัตรูอยู่แล้ว ทางที่ดีที่สุดคือการเปิดการโจมตีก่อน…..
เมื่อซูจิ้งคิดได้ดังนั้น เขา ก็ได้หยิบมีดบินทั้งสามขึ้นมาไว้ในมือก่อนที่จะซัดออกไปใส่ในทันที มีดทั้งสามแหวกฝ่าอากาศออกไปพร้อมการเสริมแรงจากกระแสจิตของซูจิ้งตรงไปยังร่างเงาในทันที

มีดบินทั้งสามนั้นรวดเร็วจะแทบจะทิ่มแทงไปยังร่างเงาดำนั้นแทบจะในพริบตา อย่างไรก็ตาม มีดบินทั้งสาม ราวกับถูกแรงอะไรบางอย่างขัดขวางเอาไว้ พวกมันได้หยุดลงก่อนที่จะสัมผัสร่างเงาตรงๆและสลายไปเป็นฝุ่นผง
“อ่อนด้อยนัก” เพียงชั่วพริบตา ร่างเงาก็ได้ปรากฎกายอยู่หน้าซูจิ้งในทันที กรงเล็บที่แพร่กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกได้พุ่งตรงไปที่ลำคอของซูจิ้ง
ซูจิ้งที่รู้ตัวก็ถึงกับหน้าถอดสี เขาปัดกรงเล็บนั้นออกไปแล้วทำการร่ายบทสวดมนต์ในตำราวิถีแห่งมังกรในทันทีจนทำให้ทั่วทั้งร่างกลายเป็นมังกร นี่คือกระบวนท่าที่หนึ่งในวิถีมังกร ตราประทับมังกรสวรรค์
“ปังงงงงง” เงาดำได้ทำการรับแรงกระแทกได้อย่างไม่ยากเย็น ซูจิ้งเองนั้นต้องถอยหลังจากแรงกระแทกไปสามก้าว
เงาดำที่เห็นฉากนี้ก็ถึงกับประหลาดใจจนต้องบ่นออกมาเบาๆว่า “เหอะ ดูถูกแกไปหน่อยแหะ ไม่นึกว่าคนอย่างแกจะเรียนตำราพุทธได้”

ตอนนั้นเอง เงาดำได้เข้าประชิดซูจิ้งอีกครั้ง ซูจิ้งได้ประเคนทุกอย่างที่มีใส่ร่างเงาดำจนเกิดแรงกระแทกดังกึกกั้งราวกับช้างตัวใหญ่ยักษ์ที่กำลังตกมัน
หากนี่เป็นตึกล่ะก็ต้องราบเป็นหน้ากองไปแล้ว หากเป็นคนธรรมดาโดนแรงกระแทกนี้เข้าไปล่ะก็อวัยวะภายในต้องระเบิดเป็นชิ้นๆในทันที

อย่างไรก็ตาม คราวนี้ร่างเงาดำนั้นราวกับเลือนลางหายไป มันปล่อยให้ซูจิ้งซัดฝ่ามือทะลุผ่านได้อย่างง่ายดายแล้วใช้มือสัมผัสฝ่ามือของเขา
ซูจิ้งไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อยว่านี่คือการโจมตีอย่างหนึ่ง กว่าเขาจะรู้ตัวก็คือตอนที่บรรยยกาศโดยรอบที่เขาสัมผัสได้นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในตอนนี้เขานั้นสัมผัสได้ว่าอากาศรอบตัวเต็วไปด้วยหมอกสีดำ ไอปีศาจนับไม่ถ้วนหลังไหลล้อมรอบตัวซูจิ้ง จับ และพันธนาการซูจิ้งเอาไว้

ในตอนนี้ซูจิ้งกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำใหญ่ นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขานั้นกำลังอยู่ในห้วงวิกฤต ถึงแม้จะเป็นแบบนี้แต่สมองของซูจิ้งก็ไม่ได้ลนลานแต่อย่างใด
เขาคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับร่างเงาและไอปีศาจนี้และคิดได้ว่าในเมื่อความมืดก็คือความมืด ต่อให้ติ้นลึกหนาบางยังไงซะย่อมไม่แตกต่างกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูจิ้งจึงได้เริ่มพูดบางอย่าง และในตอนนั้นเองก็ได้ปรากฎตัวอักษรที่แผ่อายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ในขณะเดียวกัน จิตใจของซูจิ้งในตอนนี้ได้นึกถึงเนื้อหาในตำราหัวใจพระสูตรรูปพระพุทธ ถ้าเขาจำไม่ผิด รูปพระพุทธในตำรานั่นสมควรจะเป็นพระพุทธเจ้าที่มีอำนาจบารมีที่สุดในห้วงเวลาฯแห่งนั้น
และมือข้างหนึ่งข้างพระพุทธเจ้าได้มีรูปของเงาดำเงาหนึ่งอยู่