บทที่ 1403 : มุ่งหน้าสู่เทียนซาน
โม่วู๋เตาไม่เพียงไม่สามารถทำนายดวงชะตาของฉินจิวยื่อได้สำเร็จอีกทั้งยังต้องมานอนหมดสติอยู่เช่นนี้ ภายในใจของทุกคนจึงเริ่มรู้สึกกังวล..
“หลิงหยุนในเมื่อไม่สามารถทำนายดวงชะตาของจิวยื่อออกมาได้เช่นนี้ พวกเราจะทำเช่นใดต่อไปดี”
หลังจากที่ตี้เสี่ยวอู๋ออกไปแล้วฉินฉางชิงจึงหันไปถามหลิงหยุนเสียงเบา ใบหน้าของเขาเศร้าหมอง และดูกังวลใจอย่างมาก..
หลิงหยุนส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบกลับไปว่า“ท่านตาฉิน ครั้งนี้หาใช่โม่วู๋เต๋าเสียแรงเปล่าไม่ แม้เขาจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาให้รายละเอียดในคำทำนายได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้พวกเราได้รู้ผลลัพธ์..”
“ห๊ะ!”
ฉินฉงชิงได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจในขณะที่คนอื่นๆในห้องต่างก็จ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น
“อย่างน้อยเขาก็ทำให้ข้าก็ได้รู้ว่าท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่!”
“ชะตาชีวิตของมนุษย์นั้นจะมีความหมายก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่อนาคตจึงเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน แต่เมื่อสิ้นลมแล้ว ชะตาชีวิตยังจะสำคัญเช่นใดกันอีกเล่า..”
และเมื่อเหรียญทองแดงทั้งสามยังกลิ้งไปกลิ้งมานั้นย่อมหมายความว่าฉินจิวยื่อยังคงมีชีวิตอยู่..
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุนทุกคนต่างก็มีสีหน้าโล่งใจขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉินฉางชิงกับฉินตงเฉวี่ยดที่เวลานี้สีหน้าได้เปลี่ยนเป็นโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
“แต่หลังจากที่เหรียญทองแดงทั้งสามหายไปนั้นย่อมหมายความว่าท่านแม่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความเป็นความตาย ซึ่งไม่อาจล่วงรู้ชะตากรรมได้..” หลิงหยุนยังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่งอย่างที่สุดในระหว่างที่อธิบาย“แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สายเกินไป! ท่านตาฉิน.. นับจากนี้ไปพวกเราต้องเร่งรีบ และใช้ทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์ ท่านตารีบไปจัดการยกเลิกพิธีต้อนรับต่างๆให้หมด!”
หลิงหยุนรู้ว่าฉินฉางชิงให้ความสำคัญกับการมาตระกูลฉินของเขาในครั้งนี้มากไม่เพียงเตรียมการต้อนรับไว้ล่วงหน้า แต่ยังเตรียมที่จะปรึกษาเรื่องของตระกูลฉินกับเขาด้วย แต่เวลานี้ สิ่งอื่นๆควรต้องยับยั้งไว้ก่อน และเรื่องสำคัญที่สุดคือต้องรีบช่วยนางฉินจิวยื่อแม่ของเขาออกมาให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรื่องนี้ไม่สามารถที่จะรอช้าได้อีกแล้ว..
ฉินฉางชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “ได้ๆ ข้าจะทำตามคำแนะนำของเจ้าทุกอย่าง เจ้าสั่งมาได้เลยว่าข้าต้องทำอะไรบ้าง”
“ก่อนอื่น..ข้าต้องรบกวนให้ท่านตาประสานงานกับสนามบินนานาชาติเสียนหยางโดเร็ว คืนนี้พวกเราจะต้องบินไปเทียนซาน..” “และหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดคืนนี้ตี้เสี่ยวอู๋จะสามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4)ได้ และจะต้องรับทัณฑ์สวรรค์ ถึงเวลานั้นคงจะเกิดปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ขึ้น ข้าต้องขอให้ท่านตาช่วยประสานงานกับทุกฝ่ายในเมืองนี้ล่วงหน้า เพื่อมิให้เกิดการแตกตื่น..”
“หลังจากที่ตี้เสี่ยวอู๋รับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จแล้วข้าและซิงเฉินก็จะเดินทางไปเทียนซานล่วงหน้า..!”
หลิงหยุนบอกแผนการทั้งสามขั้นตอนของเขาให้ฉินฉางชิงได้ล่วงรู้ในคราวเดียวฉินฉางชิงพยักหน้า แต่ก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้..
“หลิงหยุน..แล้วเจ้ากับแม่นางซิงเฉินจะไปเทียนด้วยวิธีใด”
“พวกเราสองคนก็จะเหาะไปน่ะสิ!”
หลิงหยุนอธิบายต่อทันที“ข้าได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว จากที่นี่ไปถึงเทียนซานนั้นมีระยะทางยาว 2,200 กิโลเมตร หากเดินทางโดยเครื่องบิน ก็จะต้องใช้เวลาราวสามชั่วโมงกว่า แต่นั่นยังไม่รวมเวลาเช็คอินและเช็คเอาท์ที่สนามบิน เพราะถ้าหากนับรวมแล้วก็น่าจะใช้เวลานานถึงห้าชั่วโมงเลยทีเดียว..”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนก็หันไปมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดยิ้มๆ “แต่หากพวกข้าสองคนเหาะไปเอง ด้วยระยะทาง 2,200 กิโลเมตรนี้ ก็จะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำไป!”
ฉินฉางชิงมีสีหน้าตกอกตกใจ“นี่.. พวกเจ้าเหาะได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
เขาคำนวณความเร็วในการเหาะอยู่ในใจเงียบๆ“นี่ไม่เท่ากับว่าพวกเจ้าสามารถเหาะไปได้วินาทีละหนึ่งกิโลเมตรหรอกรึ! มันไม่อันตรายเกินไปหรือ?!”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆ“ท่านตาฉิน.. ท่านอย่าได้กังวลใจไป ด้วยขั้นของข้ากับซิงเฉินนั้น พวกเราสามารถเหาะไปได้อย่างปลอดภัยแน่!” การเหาะไปด้วยความเร็วและระยะทางเท่านี้หลิงหยุนจำเป็นต้องใช้เสินหยวนอย่างน้อยสองหมื่นหยดขึ้นไป แต่ด้วยความสามารถของเขาเวลานี้ มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย..
เย่ซิงเฉินเข้าสู่ขั้นอู่เฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-5) ย่อมต้องสามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่อาจไม่ง่ายดายเช่นเดียวกับหลิงหยุนนัก
ฉินตงเฉวี่ยได้ยินว่าหลิงหยุนจะเดินทางไปเทียนซานพร้อมเย่ซิงเฉินในใจรู้สึกกังวล และต้องการจะเอ่ยปากพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา แต่แล้วก็เลือกที่จะเงียบไป..
–ตงเฉวี่ย..ครั้งนี้สถานการณ์ค่อนข้างเร่งด่วน คงจะไม่สามารถพาหลิงยู่ไปด้วยได้แล้ว!-
หลิงหยุนรู้ว่าฉินตงเฉวี่ยต้องการที่จะพูดอะไรจึงได้แต่บอกนางผ่านทางกระแสจิต –เรื่องด่วนในเวลานี้คือต้องช่วยท่านแม่ออกมาให้ได้โดยเร็วที่สุด!-
–ข้าเข้าใจเรื่องนั้นแต่พวกเจ้าไปกันตามลำพังเพียงแค่สองคนเช่นนี้..– ฉินตงเฉวี่ยเป็นห่วงความปลอดภัยของหลิงหยุน
–เจ้าอย่าได้กังวลใจไปข้าล่วงหน้าไปสำนักกระบี่เทียนซานครั้งนี้ จะยังไม่ลงมือใดๆ ข้าต้องการเพียงแค่ค่อยแอบคุ้มครองท่านแม่อยู่เงียบๆเท่านั้น และจะยังไม่ลงมือใดๆทั้งสิ้น!-
หลิงหยุนบอกกับฉินตงเฉวี่ยให้นางคลายความกังวลใจ..
ในเวลานั้นก็ใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว หลิงหยุนจึงหันไปบอกกับฉินฉางชิงว่า “ท่านตาฉิน ข้าคงอยู่ทานอาหารเย็นกับท่านไม่แล้ว ข้าจะไปพบหวังชงเซียวกับคนอื่นๆที่โรงแรมเพื่อเตรียมการ!”
“ได้ๆๆ”
ฉินฉางชิงพยักหน้ารับและรู้ว่าครั้งนี้หลิงหยุนพายอดฝีมือที่จะไปช่วยแม่ของเขามาด้วยมากมาย และความแข็งแกร่งของแต่ละคนนั้นก็เหนือคนตระกูลฉินทั้งสิ้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก และรับผิดชอบหน้าที่ที่หลิงหยุนมอบหมายให้ดีที่สุดเท่านั้น!
จากนั้นหลิงหยุน เย่ซิงเฉิน ฉินตงเฉวี่ยก็เดินทางไปยังโรงแรมห้าดาวที่อยู่ในชานเมืองซีอาน และในช่วงเช้า ฉินตงเฉวี่ยก็ได้ปิดชั้นหนึ่งของโรงแรมให้เป็นที่พักของทุกคน ทั้งหมดจึงอยู่กันได้อย่างสะดวกสบาย
ทันทีที่ไปถึงหลิงหยุนก็ตรงขึ้นไปหาทุกคนอย่างรวดเร็ว เขาไม่ยอมให้เวลาล่วงเลยไปอย่างเสียเปล่าแม้แต่วินาทีเดียว และเวลานี้หลิงหยุนก็เดินตรงเข้าไปหาตี๋ยั่วถังซึ่งถูกคุมขังไว้ในห้องพักของเอ็ดเวิร์ด
ทันทีที่พบหน้าตี๋ยั่วถังเขาก็ใช้วิธีการข่มขู่ให้ตี๋ยั่วถังยอมบอกที่ตั้งของสำนักกระบี่เทียนซานออกมาโดยเร็ว..
“ยะ..อยู่บนยอดเข้าเจงิชโชกูซู ที่เป็นยอดเขาสูงสุดของเทือกเขาเทียนซาน!”
เวลานี้ตี๋ยั่วถังรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะโกหกหรือว่าปกปิดอีกเขาเพียงแค่ต้องการรักษาชีวิตของตนเองไว้เท่านั้น จึงรีบบอกที่ตั้งของสำนักกระบี่เทียนซานโดยระบุตำแหน่งให้หลิงหยุนรู้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังบอกด้วยว่า ภายในสำนักกระบี่เทียนซานนั้นมีการวางค่ายกลไว้ด้วย
“หึ..เรื่องนี้ยังต้องรอให้ข้าพิสูจน์คืนนี้เสียก่อน หากพบว่าเจ้ากล้าโกหกข้าแม้แต่คำเดียว ข้าจะให้เจ้าได้อยู่อย่างทรมานที่สุด!”
หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฉะนั้นแล้ว.. อย่าคิดที่จะโกหกข้า เพราะเจ้าจะไม่ได้รับการให้อภัย!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็กลับออกไปเขาเดินไปหาไป๋เซียนเอ๋อที่ห้อง และคนอื่นๆต่างก็ไปรวมกันอยู่ที่นั่นเพื่อปรึกษาหารือกัน..
“เซียนเอ๋อวันนี้ข้ากับซิงเฉินจะออกเดินทางไปเทียนซานล่วงหน้า..”
จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปทางทุกคนพร้อมกับพูดต่อว่า“ส่วนเจ้า ตงเฉวี่ย รวมทั้งหวังชงเซียว ตี้เสี่ยวอู๋ และแวมไพร์ทั้งห้า นั่งเครื่องบินไปรอพวกข้าอยู่ที่อุรุมชีก่อน จำไว้ว่าทุกคนต้องนำเครื่องมือสื่อสารออกมาจากแหวนพื้นที่ เพื่อให้สามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลา..”
“แต่ที่สำนักกระบี่เทียนซานนั้นมีการวางค่ายกลป้องกันไว้หากเข้าไปในบริเวณนั้น สัญญาณเครื่องมือสื่อสารก็จะถูกตัดขาดทันที แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลใจไป เมื่อถึงเวลานัดแนะ พวกเจ้าก็แค่นั่งเครื่องบินไปลงที่ยอดเขาเจงิชโชกูซู..”
หลังจากที่สั่งการกับทุกคนแล้วหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินจึงแยกย้ายกันไปหาห้องเงียบๆ จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง และเริ่มฝึกฝนวิชาพร้อมกับสะสมพลังปราณทันที..
จนกระทั่งผ่านไปร่วมสามชั่วโมงในเวลาสองทุ่มครึ่ง หลิงหยุนก็ได้รับข้อความจากตี้เสี่ยวอู๋แจ้งว่า เขาได้เข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว และพร้อมที่จะพัฒนาขั้นได้ตลอดเวลา
“ซิงเฉินไปกันได้แล้ว!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินก็ได้เดินลงไปทางบันไดอย่างเงียบๆ และรีบรุดมุ่งหน้าไปทางด้านใต้ของเทือกเขาฉินหลิงโดยเร็ว หลังจากที่เข้าไปในบริเวณเทือกเขาฉินหลิงด้านใต้ทั้งสองคนก็แยกย้ายกันออกตามหาตี้เสี่ยวอู๋ และไม่นานก็พบ..
นับว่าตี้เสี่ยวอู๋หาสถานที่ทำการพัฒนาขั้นได้ยอดเยี่ยมยิ่งนักที่นี่เป็นหุบเขาที่มีภูเขาสูงกว่าสองพันเมตรถึงสามลูกโอบล้อม อีกทั้งยังอยู่ห่างจากภูเขาที่มีชื่อเสียงซึ่งคนนิยมมาท่องเที่ยวมากอีกด้วย และที่สำคัญบริเวณนี้มีพลังชีวิตที่หนาแน่นอย่างมาก..
“ซิงเฉินเจ้าคอยคุ้มกันให้พวกเราด้วย..”
หลิงหยุนขอให้เย่ซิงเฉินช่วยคุ้มกันให้ในระหว่างที่เขากำลังถ่ายทอดวิชามังกรทองคะนอง และวิชาใต้ปฐีให้กับตี้เสี่ยวอู๋
เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋อยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่(ขั้นพลังชี่-3) แล้ว อีกทั้งยังผ่านการฝึกวิชานู่เตามาจนสำเร็จถึงขั้นสูง การฝึกฝนวิชาใหม่ทั้งสองวิชานี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรสำหรับเขานัก
และภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงประกอบกับอยู่ภายใต้การชี้แนะที่ละเอียดของหลิงหยุน ทำให้ตี้เสี่ยวอู๋สามารถทำการฝึกฝนวิชาทั้งสองผ่านไปได้ด้วยดี แต่หลิงหยุนได้สั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ฝึกฝนต่อเนื่องไปอีกร่วมหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้เขาสามารถควบคุมธาตุทอง และธาตุดินในกายได้อย่างช่ำชอง
“เจ้าเริ่มการพัฒนาขั้นได้!”
ตี้เสี่ยวอู๋ไม่ลังเลเขาทำการรวบรวมพลังปราณสีทองเข้าสู่ขั้นต่อไปทันที และเพียงไม่นานตี้เสี่ยวอู๋ก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4)ได้!
ในค่ำคืนอันมืดมิดเหนือเทือกเขาฉินหลิงปรากฏทัณฑ์เมฆาดำทะมึนมากมายลอยอยู่เบื้องบน!
“เสี่ยวอู๋..ครั้งนี้ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของตัวเจ้าเอง เจ้าต้องผ่านทัณฑ์สวรรค์นี้ด้วยตัวเอง เจ้ามั่นใจมากเพียงใด”
ตี้เสี่ยวอู๋เงยหน้าขึ้นมองทัณฑ์เมฆาบนศรีษะด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น! “ข้ามั่นใจเต็มร้อย!”
หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินได้แต่ถอยห่างออกไปจากรัศมีของทัณฑ์เมฆาและจ้องมองก้อนเมฆสีดำที่ค่อยๆลดต่ำลงมา..
ตี้เสี่ยวอู๋กำลังรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วแม้จะเป็นอสุนีบาตห้าธาตุเช่นเดียวกับหลิงหยุน แต่ความรุนแรงนั้นน้อยกว่าที่หลิงหยุนได้รับเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว..
ผ่านไปร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็มในที่สุดตี้เสี่ยวอู๋ก็ผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ทำให้เขาสามารถเข้าสู่ระดับกลางขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) ได้ในทันที!
“เยี่ยมมาก!”
ผลลัพธ์ที่ได้ห่างไกลความคาดหวังของหลิงหยุนมากนักเขาพยักหน้าพร้อมกับร้องออกมาด้วยความพอใจ จากนั้นจึงสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋กลับไปรวมตัวกับคนอื่นๆอยู่ที่โรงแรม
หลังจากตี้เสี่ยวอู๋กลับไปแล้วหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือทันที!
เวลานี้ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้าสู่เขาเทียนซาน..