บทที่ 1404 : สำนักกระบี่เทียนซาน
จันทราจรัสจรขึ้นเหนือภูเขาเทียนซานท่ามกลางเมฆาสมุทรสุดสายตา..
นี่คือท่อนเปิดของบทกวีที่ชื่อว่า‘กวนซานเยวี่ย 關山月’ ของกวีเอกสมัยราชวงถังนามว่าหลี่ไป๋ บทกวีนี้ตั้งใจแต่งขึ้นเพื่อชื่นชมจันทราที่อยู่เหนือเขาเทียนซาน และเหล่าเมฆาที่ลอยละล่องราวกับท้องสมุทรที่สวยงาม บทกวีนี้ยังคงได้รับการกล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้..
เทียนซานเป็นหนึ่งในภูเขาทั้งเจ็ดที่มีชื่อเสียงของโลกเป็นเทือกเขาใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเอเซียกลาง และครอบคลุมถึงสี่ประเทศ และในประเทศจีนนั้นครอบคลุมตั้งแต่ทิศตะวันออกไปจรดทิศตะวันตกด้วยความยาว 2,500 กิโลเมตรโดยประมาณ และมีความกว้างเฉลียที่ 300 กิโลเมตร จุดที่มีพื้นที่กว้างที่สุดก็จะอยู่ราว 800 กิโลเมตร
ยอดเขาเจงิชโชกูซูนี้เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาเทียนซานและมีความสูงราว 7,400 เมตรโดยประมาณ ยอดเขาแห่งนี้มีลักษณะยาวแต่แคบ ทอดตัวจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกเป็นระยะทางกว่าแปดร้อยเมตร แต่กลับมีความกว้างเพียงแค่หนึ่งเมตรเท่านั้น หากมองจากที่สูง จะเห็นยอดเขาแห่งนี้มีรูปร่างคล้ายกับกระบี่ยาว!
นอกจากยอดเขาเจงิชโชกูซูนี้ก็ยังมียอดเขาอื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วนภายในเทือกเขาเทียนซานแห่งนี้ และส่วนใหญ่ล้วนปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งตลอดทั้งปี แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีทรัพยากรทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ สัตว์ป่า หรือนกกา!
นอกเหนือจากป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์แล้วยังมีแม่น้ำลำธารไหลผ่านอีกด้วย..
และทางด้านเหนือของยอดเขาเจงิชโชกูซูนี้มีหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ลึกลงไปด้านล่าง และมียอดเขาสามยอดล้อมรอบอยู่ และที่แห่งนี้ก็คือที่ตั้งของสำนักกระบี่เทียนซาน!
ยอดเขาทั้งสามนี้คนของสำนักกระบี่เทียนซานจะเรียกว่ายอดเขาสวรรค์(เทียนเฟิง) ปฐพี และมวลมนุษย์ ที่นี่มีคนของสำนักกระบี่สวรรค์อยู่ร่วมกันกว่าสามร้อยชีวิต!
ในบรรดายอดเขาทั้งสามนั้นยอดเขาเทียนเฟิงนี้นับว่าสูงที่สุดสุด เพราะมีความสูงมากกว่าหนึ่งพันเมตรเลยทีเดียว และบนยอดเขาแห่งนี้ก็มีการสร้างวังที่เรียกว่าใหญ่โตไว้ด้านบนอีกด้วย นอกจากความใหญ่โตแล้ว ภายในยังมีตำหนักเล็กใหญ่อยู่มากมาย หากพินิจพิจารณาให้ดี วังแห่งนี้จะดูคล้ายกับพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่งอย่างมาก..
ถึงแม้จะไม่มีกำแพงล้อมรอบดังเช่นพระราชวังทั่วไปแต่ก็มีประตูทางเข้าที่สร้างขึ้นเป็นประตูโค้งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และที่ประตูทางเข้าวังนี้ก็มีตัวอักษรที่เขียนไว้ว่า.. สำนักกระบี่เทียนซาน!
ในยามค่ำคืนดึกดื่นเวลานี้ภายในห้องโถงของวังสวรรค์แห่งสำนักกระบี่เทียนซานนี้ มีหญิงสวมเครื่องประดับบนศรีษะคล้ายมงกุฏหงส์ แต่งกายด้วยชุดชาววังโบราณ กำลังนั่งขัดสมาธิพร้อมปิดเปลือกตาลงอย่างสงบนิ่ง คล้ายกับว่ากำลังฝึกฝนวิชาอยู่..
หญิงผู้นี้ดูละม้ายคล้ายกับคนในวัยสามสิบปีรูปร่างสะโอดสะองผอมบาง ใบหน้าขาวนวล ผิวพรรณผ่องใส หญิงผู้นี้นับว่ามีใบหน้างดงามไม่น้อย คิ้วบางนั้นโก่งสูง และริมฝีปากบางก็กำลังเปล่งเสียงหัวเราะแหลมออกมา ฟังแล้วช่างน่าหวาดผวายิ่งนัก!
และนางก็คือตี๋เสี่ยวเจินนั่นเอง!
เวลานี้ตี๋เสี่ยวเจินในวัยสามสิบเจ็ดปีได้ฝึกบ่มเพาะพลังจนสามารถเข้าสู่ขั้นปาเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-8) ได้แล้ว และอำนาจของนางในเวลานี้ ก็ครอบคลุมไปทั่วทั้งสำนักกระบี่เทียนซาน!
วันนี้..หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ตี๋เสี่ยวเจินกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยร่างกายเล็กน้อย จึงได้มานั่งเดินลมปราณอยู่ในภายในห้องโถงแห่งนี้ หลังจากเปิดเปลือกตาขึ้นมา นางก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น แต่ภายในใจกลับรู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก..
และในระหว่างนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอก ทันทีที่ตี๋เสี่ยวเจินได้ยินเสียงฝีเท้าคุ้นเคยนั้น นางจึงรีบเปิดจิตหยั่งรู้ของตนออกสำรวจดูโดยเร็ว หลังจากนั้นจึงพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“โฮว่เอ๋อกลับมาแล้ว..”
สีหน้าแววตา และน้ำเสียงของตี๋เสี่ยวเจินเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที นั่นเพราะผู้ที่กำลังเดินเข้ามานั้นคือตี๋ชิงโหวซึ่งเป็นบุตรชายของนางเอง..
ตี๋ชิงโหวยังอยู่ในวัยสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีเท่านั้นดวงหน้าของเขาหล่อเหลาไม่น้อย และคิ้วโก่งยาวทั้งสองกับริมฝีปากบางนั้น ก็ดูไม่ต่างจากคิ้วและปากของตี๋เสี่ยวเจินผู้เป็นแม่เลยแม้แต่น้อย หากผู้ใดได้พบเห็นตี๋ชิงโหว เพียงแค่เห็นผิวพรรณของเขาก็ย่อมคาดเดาได้ว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องเติบโตมาท่ามกลางความเพียบพร้อมมากเพียงใด..
“ยินดีด้วยท่านแม่..โอสถโฉมสะคราญและโอสถเยาว์วัยถูกนำกลับมาถึงที่นี่แล้ว!”
ตี๋ชิงโหวเดินเข้าไปในห้องโถงกว้างใหญ่และตรงเข้าไปหาตี๋เสี่ยวเจินทันที เขายิ้มกว้างพร้อมกับยื่นขวดหยกสีเขียวในมือให้กับนาง
ตี๋เสี่ยวเจินลุกขึ้นยืนดวงตาทั้งสองจ้องมองขวดโอสถสีเขียวไม่กระพริบ พร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“โฮว่เอ๋อ..เป็นโอสถทั้งสองจริงๆรึ”
โอสถทั้งสองนี้ตี๋เสี่ยวเจินต้องใช้แต้มในหน่วยนภาหลายล้านแลกเปลี่ยนมา มีหรือที่นางจะไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจ
ตี๋ชิงโหวพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจ“จริงท่านแม่! เม็ดสีม่วงคือโอสถเยาว์วัย ส่วนสีขาวคือโอสถโฉมสะคราญ!”
ตี๋เสี่ยวเจินยื่นมือออกมาคว้าขวดหยกสีเขียวไปทันทีพร้อมกับถามขึ้นด้วยความร้อนใจ “ข้ากลืนโอสถนี่ได้เลยหรือไม่”
“เรียนท่านแม่..ข้าได้สอบถามจากหัวหน้าผู้อารักขาทั้งสามแล้ว ท่านต้องกลืนโอสถเยาว์วัยนี่เสียก่อน หลังจากท่านกลับกลายเป็นเด็กสาวแล้ว จึงค่อยกลืนโอสถโฉมสะคราญเข้าไป”
ตี๋ชิงโหวยังพูดเอาอกเอาใจผู้เป็นมารดาอีกว่า“หลังจากท่านแม่กลืนโอสถทั้งสองนี้เข้าไป ไม่เพียงท่านจะเปลี่ยนเป็นหญิงสาวสะคราญ แต่ยังจะงดงามยิ่งกว่าฉินจิวยื่อมากมายนัก..”
“ฮ่าๆๆๆ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของฉินจิวยื่อหลุดออกมาจากปากของลูกชายแววตาของตี๋เสี่ยวเจินก็เป็นประกายเคียดแค้นชิงชังขึ้นมาวูบหนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะเสียงแหลมออกมา นางเปิดฝาขวดหยกออกพร้อมกับใช้จมูกสูดดมกลิ่มหอมของโอสถทั้งสองเม็ด
“อืมม..เป็นโอสถแท้!”
ตี๋เสี่ยวเจินฝึกมาจนถึงระดับสูงสุดขั้นปาเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-8) แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสามารถแยกแยะโอสถจริงและโอสถปลอมได้ จากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นบอกกับตี๋ชิงโหวว่า
“โฮ่วเอ๋อเจ้าไปบอกหัวหน้าผู้อารักขาทั้งสามว่า ข้าจะตบรางวัลให้กับพวกเขาอย่างงาม!”
“น้อมรับคำสั่งท่านแม่!”
ตี๋ชิงโหวตอบกลับไปทันทีแต่เมื่อเห็นตี๋เสี่ยวเจินกำลังจะกลืนโอสถลงไป เขาก็รีบเอ่ยทัดทานขึ้นว่า
“ท่านแม่..ที่นี่มีแม่กับข้าอยู่กันเพียงแค่สองคนเท่านั้น เหตุใดจึงไม่ให้ผู้อื่นได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของท่านด้วยเล่า..”
ระหว่างที่พูดตี๋ชิงโหวก็ยกมือขึ้นชี้ไปยังทิศทางหนึ่งตี๋เสี่ยวเจินชะงัก และสามารถเข้าใจความหมายของลูกชายได้ในทันที นางปิดฝาขวดหยกพร้อมกับสั่งว่า
“โฮ่วเอ๋อ..หากเจ้าไม่เตือนข้า ข้าเองก็เกือบลืมพวกมันไปเสียสนิท!”
ตี๋เสี่ยวเจินขยายรัศมีจิตหยั่งรู้ของตนเองออกครอบคลุมไปถึงท้ายวังที่อยู่ห่างไกลออกไปพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“โอสถนี่ช่างมาถึงได้ทันเวลายิ่งนัก!เวลานี้เขาเสมือนแสงตะเกียงที่กำลังจะมอดดับลงทุกที ก่อนที่เขาจะสิ้นใจ ข้าจะให้เขาได้เห็นว่าข้างดงามเพียงใด!”
“โฮ่วเอ๋อ..เจ้าตามข้ามา!”
….
วังสวรรค์ใหญ่โตนี้ได้ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาเทียนเฟิงมานานไม่ต่ำกว่าสองร้อยปีเดิมทีที่นี่เป็นที่ทำการของสำนักกระบี่เทียนซาน แต่เมื่อยี่สิบปีก่อน ตี๋เสี่ยวเจินก็ได้เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นบ้าน และสถานที่ฝึกวิชาส่วนตัวของตนเอง
ตี๋เฮ่อหมิงพ่อของตี๋เสี่ยวเจินเป็นเจ้าสำนักกระบี่เทียนซานคนปัจจุบันเขามีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว และตี๋เสี่ยวเจินก็เป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ยิ่งนัก และเหนือกว่าทายาทในรุ่นราวคราวเดียวกับนางทุกคน ตี๋เฮ่อหมิงจึงค่อนข้างทะนุถนอม และเอาอกเอาใจนางราวกับไข่มุกที่ล้ำค่า
ในวัยเพียงแค่สิบเก้าปีตี๋เสี่ยวเจินก็สามารถฝึกบ่มเพาะจนสามารถเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ได้ และรับทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ตี๋เฮ่อหมิงใช้ทรัพยากรที่ล้ำค่าในการฝึกฝนไปกับตี๋เสี่ยวเจินอย่างมาก และไม่ว่าจะเป็นโอสถใดๆ วิชาใดๆ อาวุธ ของวิเศษ หรือสิ่งอื่นใด ตี๋เสี่ยวเจินก็มักจะได้มีสิทธิ์เลือกก่อนคนอื่นๆในสำนัก..
และในวัยยี่สิบปีตี๋เสี่ยวเจินก็ขอผู้เป็นพ่อดูแลสำนักกระบี่สวรรค์เอง ตี๋เฮ่อหมิงก็ไม่ลังเล และตกลงรับปากนางทันที!
ตี๋เฮ่อหมิงได้ย้ายตนเองและที่ทำการของสำนักกระบี่เทียนซานไปอยู่ที่ยอดเขาปฐพีแทนและได้มอบวังสวรรค์ที่ใหญ่โตนี้ให้กับลูกสาว และนับจากนั้นเป็นต้นมา ตี๋เสี่ยวเจินก็กลายเป็นผู้ดูแลสำนักกระบี่เทียนซานแทนตี๋เฮ่อหมิง
ส่วนตี๋เฮ่อหมิงนั้นก็หลบไปอยู่เบื้องหลังเงียบๆแทนในขณะเดียวกันก็แอบเกลี้ยกล่อมเหล่าอาวุโส และเหล่าผู้อารักขาของสำนักกระบี่เทียนซานให้มาสนับสนุนลูกสาวของตน
แน่นอนว่าหากผู้ใดเป็นปฏิปักษ์ และไม่ยินยอมให้การสนับสนุนกับตี๋เสี่ยวเจินนั้น ตี๋เฮ่อหมิงก็จัดการสังหารทิ้งในทันที เขาจัดการถอนรากถอนโคนทุกคนที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับตี๋เสี่ยวเจินอย่างไม่ปราณี
เรียกได้ว่า..มันคือการต่อสู้แย่งชิงอำนาจที่เหี้ยมโหดอย่างมาก และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสำนักกระบี่เทียนซานก็ได้ตกอยู่ในกำมือของตระกูลตี๋ไป!
แต่การที่ตี๋เฮ่อหมิงก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้นั้นหาใช่ว่าเขาไม่ต้องลงทุนสิ่งใด และสิ่งที่เขาลงทุนไปมากที่สุดก็คือตี๋เสี่ยวเจินลูกสาวของเขานั่นเอง!
ในโลกของชาวยุทธนั้นแม้สำนักกระบี่เทียนซานจะเป็นสำนักของผู้ฝึกฝนบ่มเพาะพลัง แต่กลับไม่อาจเทียบได้กับคุนหลุน หรือฉู่ซานเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งหนานซานยังไม่อาจเทียบได้! สำนักกระบี่เทียนซานตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีนและติดต่อกับโลกภายนอกน้อยมาก แต่เพื่อให้สำนักกระบี่เทียนซานสามารถเติบโตก้าวหน้า และยิ่งใหญ่ได้มากกว่านี้ ตี๋เฮ่อหมิงจึงต้องพยายามหาโอกาส..
ตี๋เฮ่อหมิงเฝ้ารอโอกาสนั้นมานานจนกระทั่งเมื่อสี่สิบปีก่อน ได้มีเหตุการณ์น่าตกใจเกิดขึ้นในประเทศจีน ตี๋เฮ่อหมิงจึงได้ตระหนักว่าโอกาสของตนเองและสำนักกระบี่เทียนซานมาถึงแล้ว..
ตระกูลหลิงเดินทางเข้าคุนหลุนตระกูลฉินเข้าไปยังสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี และตระกูลหลงไปเผิงไหล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ตระกูลหลิงเข้าคุนหลุนแล้วอีกสิบปีต่อมา ก็มีข่าวแพร่สะพรัดว่าห้ามคนตระกูลหลิงบ่มเพาะพลัง และห้ามผู้ใดรับคนตระกูลหลิงเป็นศิษย์..
ระหว่างสำนักกระบี่เทียนซานและเทือกเขาคุนหลุนนั้นมีเพียงแค่แอ่งทาริมกั้นกลางเท่านั้น และแน่นอนว่าในช่วงเวลานั้น ตี๋เฮ่อหมิงย่อมต้องน้อมรับคำสั่งของคุนหลุนอย่างแน่นอน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบากกว่าแรงของตี๋เฮ่อหมิงเลยแม้แต่น้อย เขาไม่มีสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนตระกูลหลิง จึงสามารถทำตามคำสั่งของคุนหลุนได้ไม่ยาก..
และในเวลานั้นตี๋เสี่ยวเจินก็เพิ่งจะอายุได้เจ็ดขวบพอดี!
เขาจึงเกิดความคิดที่จะฝึกตี๋เสี่ยวเจินให้บ่มเพาะพลัง..
แต่หลังจากนั้นอีกหกปีก็มีข่าวใหม่เกี่ยวกับคุนหลุนอีก หากสำนักใดพบเห็นคนตระกูลหลิงฝึกฝนบ่มเพาะพลัง และแจ้งให้คุนหลุนรู้ก็จะได้รับรางวัล
ครั้งนี้ตี๋เฮ่อหมิงก็น้อมรับคำสั่งของคุนหลุนด้วยความยินดีอีกครั้งเหตุผลของเขาก็เช่นเคย สำนักกระบี่เทียนซานหาได้มีสัมพันธ์ใดๆกับตระกูลหลิง และนี่เป็นข้ออ้างที่เขาจะสามารถเข้าใกล้คุนหลุนได้ แต่ก็นับว่ายังห่างเหินยิ่งนัก.. และในปีนั้นตี๋เสี่ยวเจินก็อายุได้สิบสามปีพอดีตี๋เฮ่อหมิงจึงได้ทำการเปิดจิตหยั่งรู้ให้กับนาง และทำให้นางเข้าสู่การบ่มเพาะขั้นพลังชี่ได้..
จากนั้นไม่ทันไรตี๋เฮ่อหมิงก็ได้ตัดสินใจให้หมั้นหมายตี๋เสี่ยวเจินให้กับหนิงเทียนหยา คุณชายแห่งตระกูลหนิงที่เก่าแก่ซึ่งอาศัยอยู่แถบเทือกเขาคุนหลุน
ตระกูลหนิงนั้นเป็นตระกูลจอมยุทธโบราณที่รักสันโดษบ้านของเขานอกจากจะอยู่ใกล้กับสำนักกระบี่คุนหลุนแล้ว ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอีกด้วย ตี๋เฮ่อหมิงจึงตัดสินใจให้ลูกสาวของตนแต่งเข้าตระกูลหนิง เพราะชาวยุทธต่างก็รู้ดีว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสำนักกระบี่คุนหลุนนั้นก็คือคุนหลุนเอง..
และสำนักกระบี่เทียนซานนั้นก็เป็นสำนักที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังผู้เฒ่าตระกูลหนิงจึงไม่ลังเลที่จะตกปากรับคำเรื่องการแต่งงานครั้งนี้
และนี่คือสิ่งล้ำค่าที่ตี๋เฮ่อหมิงจะต้องจ่ายเพื่อทำให้สำนักกระบี่เทียนซานสามารถก้าวหน้าขึ้นมาได้อย่างที่ใจต้องการ!