บทที่ 1405 กลั่นแกล้งสารพัด

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 1405 : กลั่นแกล้งสารพัด
  ตี๋เสี่ยวเจินเป็นหญิงสาวที่ถือดียะโส และจองหองมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยแค่สิบสามปี นางประกาศกับพ่อของตนว่า การหมั้นหมายของนางนั้นสามารถทำได้ แต่เมื่อถึงเวลาแต่งงาน ก็ต้องดูว่านางพอใจที่จะแต่งหรือไม่
  แต่การหมั้นหมายของคนทั้งคู่นั้นมีเพียงตี๋เสี่ยวเจินที่รู้เรื่อง ส่วนหนิงเทียนหยานั้นหาได้รู้ด้วยไม่!
  หลังจากผ่านไปสี่ปีตี๋เสี่ยวเจินก็อายุครบสิบเจ็ดปีพอดี ในเวลานั้นนางได้เข้าสู่ขั้นซานฉางชี่ (ขั้นพลังชี่-3) แล้ว นางตัดสินใจว่าหลังจากที่เข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) และรับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จเมื่อใด นางจึงจะไปพบหน้าหนิงเทียนหยา และตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะแต่งงานกับเขาหรือไม่
  ผู้คนในสำนักกระบี่เทียนซานต่างก็รู้จักนิสัยของตี๋เสี่ยวเจินดีว่าเป็นคนเอาแต่ใจมาตั้งแต่เล็กนางไม่ต้องการจะไปอยู่ที่อื่นแม้ว่าจะแต่งงานแล้ว หลังจากแต่งงานกับหนิงเทียนหยา นางต้องการให้เขามาอยู่ที่สำนักกกระบี่เทียนซานกับตน แต่หากจะพูดให้ถูกก็คือ นางต้องการให้หนิงเทียนหยาเป็นฝ่ายแต่งเข้าตระกูลตี๋ และเข้าเป็นคนของสำนักกระบี่เทียนซานนั่นเอง!
  ด้วยเหตุนี้นางจึงได้เสนอให้พ่อของนางยกวังบนเขาเทียนเฟิงทั้งหมดนี้ให้เป็นที่อยู่ของตน และเป็นเรือนหอของนางแทน
  ตี๋เฮ่อหมิงเองก็เห็นด้วยจึงตอบตกลงทันทีอีกทั้งในเวลานั้น เขาก็ได้กวาดล้างสังหารคนในสำนักกระบี่เทียนซานที่เป็นปฏิปักษ์กับตนจนหมดสิ้นแล้ว เรียกได้ว่าเวลานั้นอำนาจจัดการภายในสำนักทั้งหมดล้วนอยู่ในมือของตระกูลตี๋..
  ในปีต่อมาคุนหลุนก็ได้ออกประกาศเป็นครั้งที่สาม สั่งให้สำนักกระบี่คุนหลุนนำเหล่าชาวยุทธไปบุกถล่มตระกูลหลิง!
  ตลอดเวลากว่ายี่สิบปีมานั้นนับว่าตระกูลหลิงอยู่มาอย่างยากลำบาก และในปีเดียวกัน หนิงเทียนหยาชายหนุ่มในวัยยี่สิบปีก็ได้ฝึกฝนวิชาสำเร็จ ระหว่างทางที่ลงเขามานั้น ก็ได้พบเจอกับฉินจิวยื่อแห่งตระกูลฉิน ทั้งคู่ต่างก็เป็นรักแรกพบของกันและกัน หนิงเทียนหยาจึงพาฉินจิวยื่อกลับไปที่ตระกูลหนิงด้วย แล้วโศกนาฏกรรมของตระกูลฉินก็เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่นั้น..
  ความจริงแล้วตี๋เสี่ยวเจินก็มิได้ต้องการที่จะแต่งงานกับหนิงเทียนหยาในทันทีแต่เมื่อได้ยินข่าวว่าหนิงเทียนหยาพาฉินจิวยื่อกลับไปตระกูลหนิงด้วย นางก็ถึงกับโกรธมาก และได้พาคนของสำนักกระบี่เทียนซานบุกไปที่ตระกูลหนิง หลังจากทำร้ายฉินจิวยื่อจนได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว นางก็บังคับให้หนิงเทียนหยาแต่งงานกับนางทันที
  สำนักกระบี่เทียนซานแข็งแกร่งยิ่งนักส่วนตี๋เสี่ยวเจินก็มีฝีมือสูงส่ง นางถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เล็ก ไม่ว่าดาวหรือเดือน หากนางต้องการย่อมต้องทำทุกวิถีทางให้ได้มา และหากนางต้องการหนิงเทียนหยา ผู้ใดเล่าจะสามารถขัดขวางนางได้!
  ตั้งแต่เล็กจนโตคนของสำนักกระบี่เทียนซานต่างก็เฝ้าชื่นชมตี๋เสี่ยวเจินว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดในเทียนซาน แต่เมื่อได้พบฉินจิวยื่อที่งดงามยิ่งกว่าตนมากนัก จึงแทบไม่ต้องคิดว่านางจะโกรธเกรี้ยวมากเพียงใด..
  ในปีนั้นหนิงเทียนหยาอายุยี่สิบปีฉินจิวยื่อสิบเก้าปี ส่วนตี๋เสี่ยวเจินนั้นสิบแปดปี..
  นับตั้งแต่นั้นมาชะตากรรมของคนทั้งสามก็เปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันหนิงเทียนหยาต้องแต่งงานกับตี๋เสี่ยวเจิน และย้ายเข้าไปอยู่ในสำนักกระบี่เทียนซาน ส่วนฉินจิวยื่อก็กลับไปอยู่ตระกูลฉิน แต่หลังจากนั้นด้วยแรงบีบคั้นอย่างหนักจากตี๋เสี่ยวเจิน ฉินจิวยื่อจึงต้องระเห็ดออกจากตระกูลฉิน และไปหลบซ่อนตัวอยู่จิงฉู จนกระทั่งให้กำเนิดหนิงหลิงยู่ และได้พบกับหลิงหยุน
  และในครั้งนั้นตี๋เสี่ยวเจินก็ได้เสนอสัญญาสิบแปดปีนี้ขึ้นมาเพื่อแก้แค้นเพราะคนที่หนิงเทียนหยารักสุดใจนั้นกลับไม่ใช่นาง แต่เป็นฉินจิวยื่อ..
  ฉะนั้นแล้วการแต่งงานจึงนับเป็นความล้มเหลวเพียงอย่างเดียวในชีวิตของตี๋เสี่ยวเจิน จึงทำให้นางโกรธแค้นอย่างมากมาจนถึงทุกวันนี้!
  นางไม่ได้รักหนิงเทียนหยาอีกแล้วแต่ต้องการเก็บเขาไว้เพื่อทำให้เขาได้รับความอัปยศอดสูมากที่สุด แม้กระทั่งให้กำเนิดตี๋ชิงโหวซึ่งเป็นสายเลือดของหนิงเทียนหยาแล้ว ตี๋เสี่ยวเจินก็ยังไม่ยอมให้ลูกชายใช้แซ่หนิง แต่ให้ใช่แซ่ตี๋แทน!
  หลังจากที่ตี๋ชิงโหวอายุได้หนึ่งขวบตี๋เสี่ยวเจินกลับร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม นางทำตัวไม่ต่างจากพระนางบูเช็คเทียน ภายในวังมีชายล้อมรอบกายมากมาย และอยากจะกระทำสิ่งใดก็ทำโดยมิได้สนใจใยดีผู้ใด
  ในขณะที่ฉินจิวยื่อก็หลบซ่อนตัวอยู่อย่างลำบากในเมืองจิงฉูมณฑลเจียงหนานนานถึงสิบแปดปี!   ส่วนหนิงเทียนหยาก็ต้องทนรับความอัปยศอยู่ในสำนักกระบี่เทียนซานนานถึงสิบแปดปีเช่นกันแม้แต่ลูกชายในไส้ของตน ยังไม่เคยเรียกเขาว่าพ่อ..
  แต่เพื่อฉินจิวยื่อและลูกในท้องของนางเพื่อตระกูลฉินและตระกูลหนิง หนิงเทียนหยาจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนอย่างไม่มีทางเลือก นั่นเพราะความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายนั้นห่างกันมากเหลือเกิน หากหนิงเทียนหยาไม่อดทนอยู่ในสำนักกระบี่เทียนซาน ไม่เพียงตระกูลหนิงจะเป็นภัย แต่ยังจะมีอันตรายไปถึงตระกูลฉินอีกด้วย
  อีกทั้งในช่วงเวลานั้นสำนักกระบี่เทียนซานเองก็สามารถสร้างสัมพันธ์กับสำนักกระบี่คุนหลุนได้สำเร็จ อีกทั้งยังคุ้นเคยกับจางคุนหลุนและหลี่คุนหลุนด้วย..
  ….
  มุมเล็กๆแห่งหนึ่งของวังอันกว้างใหญ่บนยอดเขาเทียนเฟิงมีกระท่อมเล็กๆธรรมดาๆหลังหนึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปจากตัววัง หากเทียบกับวังที่กว้างขวางใหญ่โตมโหฬารแห่งนี้ กระท่อมเล็กๆหลังนี้กลับตั้งอยู่ห่างไกลและโดดเดี่ยว
  แต่ถึงอย่างนั้นกลับสะดุดตาผู้ที่ได้พบเห็นยิ่งนักนั่นเพราะกระท่อมเล็กๆหลังนี้ไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับวังที่สวยงามใหญ่โตแห่งนี้เลย เรียกได้ว่ากลับทำลายทัศนียภาพที่งดงามของวังแห่งนี้เสียมากกว่า
  และกระท่อมเล็กๆหลังนี้ก็คือที่ที่ฉินจิวยื่อกับหนิงเทียนหยาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมานานหลายเดือน..
  กระท่อมเล็กๆหลังนี้ฉินจิวยื่อเป็นผู้ลงมือสร้างด้วยตนเองเมื่อห้าเดือนก่อนหลังจากที่มาถึงสำนักกระบี่เทียนซาน
  แต่ทันทีที่มาถึงที่นี่ตี๋เสี่ยวเจินก็ได้ทำการสะกัดจุดของฉินจิวยื่อไว้ทันที ทำให้นางไม่สามารถใช้พลังปราณในร่างได้ ด้วยเหตุนี้ฉินจิวยื่อจึงต้องใชเ้วลาในการสร้างกระท่อมเล็กๆหลังนี้ร่วมเดือนเลยทีเดียว..
  ตี๋เสี่ยวเจินไม่ยอมให้ฉินจิวยื่อตัดต้นไม้หรือต้นหญ้าแม้แต่ต้นเดียวบนยอดเขาเทียนเฟิงนางจึงต้องเดินลงเขาไปตัดไม้ และค่อยๆนำขึ้นมาสร้างทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งในที่สุดก็ได้เป็นกระท่อมหลังเล็กนี้ขึ้นมา
  แต่นี่เป็นเพียงการกลั่นแกล้งเล็กๆน้อยๆจากตี๋เสี่ยวเจินที่ฉินจิวยื่อได้รับเท่านั้น!
  ทันทีที่ฉินจิวยื่อมาถึงตี๋เสี่ยวเจินก็สั่งให้นางอยู่บนเขาเทียนเฟิงแห่งนี้ แต่กลับไม่ยอมให้นางอาศัยอยู่ภายในวังที่ใหญ่โต และเพื่อให้มีที่พักพิงหลบลมหลบฝน ฉินจิวยื่อจึงต้องไปตัดไม้และลงมือสร้างกระท่อมไม้นี้ด้วยตนเอง อีกทั้งไม่สามารถใช้กำลังภายในได้ มีเพียงเรี่ยวแรงอย่างหญิงสาวไร้วรยุทธผู้หนึ่งเท่านั้น..
  แม้กระทั่งเครื่องไม้เครื่องมือในการตัดไม้ฉินจิวยื่อก็ไม่สามารถหยิบยืมจากผู้ใดได้ ไม่เพียงเท่านั้น ตลอดเวลาที่อยู่ในสำนักกระบี่เทียนซาน ฉินจิวยื่อยังต้องคอยรับใช้ตี๋เสี่ยวเจินตลอดทั้งวันด้วย จะมีก็เพียงแค่ภายในช่วงเวลาที่ตี๋เสี่ยวเจินพักผ่อน หรือฝึกฝนวิชานั้น ที่ฉินจิวยื่อจะสามารถไปดูแลหนิงเทียนหยาได้
  แต่หลังจากล่วงเลยไปสองสามวันในที่สุดฉินจิวยื่อก็ได้รับขวานมาหนึ่งด้าม แต่ก็เป็นขวานที่คมทื่อมากแล้ว..
  เวลานี้ตี๋เสี่ยวเจินคล้ายผู้ที่มีจิตใจผิดเพี้ยนไปนางทำทุกอย่างเพื่อสร้างกลั่นแกล้ง และสร้างความอัปยศอับอายให้กับฉินจิวยื่อ
  แต่ฉินจิวยื่อก็จำต้องอดทนอดกลั้นเพราะหากนางไม่สามารถสร้างกระท่อมได้สำเร็จ หนิงเทียนหยาที่ลมปราณแตกซ่าน คงต้องนอนตายอยู่ที่หน้าผาซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะนั่นอย่างแน่นอน..
  ในวันแรกที่ฉินจิวยื่อมาถึงสำนักกระบี่เทียนซานนั้นตี๋เสี่ยวเจินได้พูดกับนางว่า “หนิงเทียนหยาอยู่ที่หน้าผานั่น เจ้าไปพบเขาได้ทุกเมื่อ รับรองได้ว่าจะไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้า แต่เจ้าจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว และดูหนิงเทียนหยาชดใช้หนี้ให้กับข้าด้วยการค่อยๆตายไปอย่างช้าๆ”   ฉินจิวยื่อได้แต่นิ่งเงียบ..
  หลังจากที่ฉินจิวยื่อไปที่หน้าผานางก็ได้พบหนิงเทียนหยานอนหายใจรวยรินอยู่ที่พื้น ฉินจิวยื่อรู้ได้ทันทีว่า นอกจากนางแล้ว ภายในสำนักกระบี่เทียนซานแห่งนี้ คงไม่มีผู้ใดดูแลหนิงเทียนหยาเป็นแน่..
  แต่เวลานี้ฉินจิวยื่อไม่สามารถใช้กำลังภายในได้และภายใต้การจับตามองอย่างใกล้ชิดของตี๋เสี่ยวเจิน แม้ต้องการจะฆ่าตัวตายพร้อมกับหนิงเทียนหยาก็ยังไม่สามารถทำได้
  ฉินจิวยื่อฉุกคิดได้ว่า..หากนางมาที่นี่เพื่อตายต่อหน้าหนิงเทียนหยาแล้วล่ะก็ นางจะมาที่นี่เพื่ออะไรกันเล่า
  ตี๋เสี่ยวเจินเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจจิตใจของฉินจิวยื่อได้ดีเช่นกันนางจึงไม่หวาดกลัวว่าฉินจิวยื่อจะฆ่าตัวตายไปเสียก่อน และนั่นทำให้ตี๋เสี่ยวเจินยิ่งสนุกสนานกับการสร้างความอัปยศและกลั่นแกล้งฉินจิวยื่อมากขึ้นเรื่อยๆ
  เพราะนี่คือจุดประสงค์เดียวที่ตี๋เสี่ยวเจินยอมให้ฉินจิวยื่อมาดูแลหนิงเทียนหยา!
  การกลั่นแกล้งและสร้างความอัปยศให้กับฉินจิวยื่อยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทุกวันไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ที่พักพิงล้วนแล้วแต่ถูกกีดกันทั้งสิ้น อีกทั้งฉินจิวยื่อยังต้องคอยไปรับใช้ตี๋เสี่ยวเจินทุกครั้งที่นางเรียกหา และที่ตี๋เสี่ยวเจินทำเช่นนั้นก็เพื่อหาเหตุที่จะทำโทษฉินจิวยื่อนั่นเอง!
  แต่ถึงอย่างนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ลำบากยากเข็ญเช่นนี้ ฉินจิวยื่อยังคงสงบนิ่งไม่ตอบโต้ และค่อยๆสร้างกระท่อมหลังเล็กวันนิดวันละหน่อย จนกระทั่งในที่สุดหนิงเทียนหยาก็มีที่คุ้มลมคุ้มฝน
  เวลานั้นแม้หนิงเทียนหยาจะเกิดลมปราณแตกซ่าน ธาตุไฟเข้าแทรก แต่เขาก็ยังสามารถจดจำฉินจิวยื่อได้ หนิงเทียนหยาได้แต่นอนแน่นิ่งไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ และได้แต่ทนดูฉินจิวยื่อที่ลำบากลำบนจนน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว ความทุกข์ภายในจิตใจของเขานั้นจึงยากที่จะบรรยายออกมาได้
  “จิวยื่อ..เจ้าไม่จำเป็นต้องทนให้คนผู้นี้ดูถูกเหยียดหยามและกลั่นแกล้งเช่นนี้ หากพวกเราไม่สามารถตายพร้อมกันได้ พวกเราตายไปทีละคนก็ได้ เจ้าตายไปก่อน หลังจากนั้นไม่นานข้าก็จะอดข้าวเพื่อตายตามเจ้าไป..”
  แต่ฉินจิวยื่อกลับหันมายิ้มให้หนิงเทียนหยาพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หากข้าคิดว่าตนเองจะไม่สามารถทนต่อความอัปยศที่นางจงใจยัดเยียดให้ได้ ข้าจะมาที่นี่เพื่ออะไรกันเล่า”
  “อีกอย่าง..ลูกสาวของเราหนิงหลิงยู่ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้าท่านเลย ท่านจะรีบตายไปได้อย่างไรกัน”
  “ความสุขในวันข้างหน้านั้นหากเทียบกับความเจ็บปวดที่เผชิญอยู่ในเวลานี้ แทบไม่มีความหมายอะไรเลย เช่นนั้นแล้วท่านก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้!”
  แต่บทสนทนาของคนทั้งคู่ก็ล้วนแล้วแต่ไปเข้าหูของตี๋เสี่ยวเจินทั้งหมดและนั่นทำให้นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และยิ่งกลั่นแกล้งทรมานคนทั้งคู่หนักขึ้นเรื่อยๆ
  ตี๋เสี่ยวเจินพบว่าภายในร่างของฉินจิวยื่อนั้นมีพลังอมตะอยู่มากมายอย่างน่าอัศจรรย์นางดีใจอย่างมาก และในทุกๆวันนอกเหนือจากการกลั่นแกล้งฉินจิวยื่อแล้ว ตี๋เสี่ยวเจินก็จะทำการดูดเอาพลังอมตะนี้เข้าไปในร่างของตนเอง
  จนกระทั่งในที่สุดตี๋เสี่ยวเจินก็สามารถดูดซับพลังอมตะภายในร่างกายของฉินจิวยื่อเข้าไปได้หมด ทำให้นางสามารถพัฒนาจากระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ไปสู่ระดับสูงสุดขั้นปาเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-8) ได้ในทันที!
  หลังจากดูดซับพลังอมตะภายในร่างของฉินจิวยื่อจนหมดแล้วตี๋เสี่ยวเจินก็ได้สร้างปราณกระบี่ขึ้นในร่างของฉินจิวยื่อ และใช้กระบี่ลมปราณเล่มนี้ทำลายเส้นลมปราณทั่วร่างของนาง ทำให้นางไม่สามารถนอนหลับได้อย่างเป็นสุขเลยแม้แต่คืนเดียว  จากการถูกตี๋เสี่ยวเจินทรมานไปทุกวันๆเช่นนี้เมื่อเวลาผ่านไปกว่าครึ่งปี ทั้งฉินจิวยื่อและหนิงเทียนหยาต่างก็มีชีวิตอยู่ในสำนักกระบี่เทียนซานอย่างระทมทุกข์!
  และบนหน้าผาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของยอดเขาเทียนเฟิงแห่งนี้ตี๋เสี่ยวเจินก็จงใจเอาหนิงเทียนหยามาทิ้งไว้ที่นี่ และให้ทั้งคู่สร้างกระท่อมเล็กๆอยู่ในบริเวณนี้ ก็เพราะว่าที่นี่เป็นตำแหน่งที่แสงอาทิตย์เกือบจะส่องมาไม่ถึงเลยตลอดทั้งปี
  ในยามเช้าเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องมานั้นกระท่อมหลังเล็กนี้ก็ถูกผืนป่าบดบังแสงอาทิตย์ไว้ ทำให้ไม่มีแสงแดดสาดส่องมาถึงจนกระทั่งบ่าย และเมื่อตกดึก ลมหนาวก็จะพัดมาอย่างรุนแรง ทำให้บริเวณนี้มีความหนาวเหน็บมากกว่าปกติ
  มีเพียงช่วงเวลาบ่ายเท่านั้นที่จะเป็นเวลาที่ดีที่สุดนั่นเพราะยังพอมีแสงอาทิตย์ที่ทะลุผ่านผืนป่ามาได้บ้าง และสร้างความอบอุ่นให้กับกระท่อมหลังเล็ก แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย
  และในยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บตี๋เสี่ยวเจินก็ไม่อนุญาตให้ฉินจิวยื่อก่อไฟ ดังนั้นแม้จะมีกระท่อมเล็กๆคุ้มหัว แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถต้านทานลมหนาวที่รุนแรงนี้ได้