บทที่ 1406 : หญิงชั่วช้าสารพัดพิษ
เวลานี้นอกเหนือจากต้องอดทนต่อความหิวโหยแล้วฉินจิวยื่อยังต้องอดทนต่อความหนาวเหน็บอีกด้วย..
แม้ภายในกระท่อมหลังเล็กจะมีเตาอั้งโล่ใบเล็กๆอยู่ด้านในและฉินจิวยื่อก็หมั่นเติมฟืนลงไปอยู่เรื่อยๆ แต่เปลวไฟเล็กๆนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ภายในห้องอบอุ่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
ฉินจิวยื่อสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อหยาบและบนศรีษะมีที่คาดผมเก่าๆอันหนึ่งคาดอยู่ นางนั่งอยู่ข้างเตาอั้งโล่ ส่วนมือก็ถือฟืนเติมลงไปในเตาเพิ่มความร้อนให้ภายในห้อง
ฉินจิวยื่อเวลานี้หาได้งดงามดังเช่นเมื่อครั้งที่อยู่ในจิงฉูอีกใบหน้าของนางซีดเซียวจนเหลือง ร่างกายผ่ายผอมลงไปมาก ดวงตาทั้งสองข้างลึกโบ๋ ใบหน้าตอบจนเห็นโหนกแก้มทั้งสองข้างอย่างชัดเจน น้ำหนักของนางนั้นลดลงไปจากเดิมอย่างมากมาย และเวลานี้ดูเหมือนนางจะมีน้ำหนักไม่ถึงสี่สิบกิโลกรัมด้วยซ้ำไป กระดูกแขนของนางนั้นไม่ได้ใหญ่โตไปกว่าท่อนฟืนที่กำลังใช้เพิ่มความร้อนเลยแม้แต่น้อย!
ก่อนหน้านี้ฉินจิวยื่อเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-2ได้แล้ว อีกทั้งยังได้รับพลังอมตะที่หลิงหยุนถ่ายเทลงไปในร่าง ทำให้นางดูอ่อนเยาว์ราวกับหญิงสาวอายุยี่สิบปีเท่านั้น แต่หลังจากที่เข้ามาอยู่ในสำนักกระบี่เทียนซาน และถูกทรมานตลอดระยะเวลากว่าห้าเดือนนี้ ทำให้ฉินจิวยื่อดูไม่ต่างจากหญิงชราในวัยห้าสิบปีเลยทีเดียว!
สภาพของฉินจิวยื่อเวลานี้ต่อให้หลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่มาพบเข้า หากไม่พินิจพิจารณาให้ละเอียด ไม่แน่ว่าทั้งสองคนก็อาจจะจดจำแม่ของตนเองไม่ได้..
แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยนั่นก็คือนัยน์ตาคู่งามของนางนั่นเอง!
แม้ดวงตาทั้งสองข้างจะลึกโบ๋แต่แววตาทั้งสองของฉินจิวยื่อยังคงกระจ่างใสเป็นประกายเช่นเดิม แววตาของนางยังคงไว้ซึ่งความมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ และพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ริมฝีปากยังคงสามารถแย้มยิ้มได้ตลอดเวลาในขณะที่จ้องมองหนิงเทียนหยา ซึ่งนอนหายใจรวยรินอยู่ตรงหน้า!
และหากเทียบกับฉินจิวยื่อแล้วในเวลานี้หนิงเทียนหยากลับมีความเป็นผู้ใหญ่น้อยกว่าฉินจิวยื่อเสียอีก!
ร่างของหนิงเทียนหยานอนราบอยู่บนเตียงไม้ที่ทำขึ้นเองบนร่างกายมีเศษหญ้าแห้งปกคลุมอยู่แทนผ้าห่ม หนิงเทียนหยานั้นผ่ายผอมมากกว่าฉินจิวยื่อเสียอีก ใบหน้าของเขาซูบจนเห็นแต่โหนกแก้ม ร่างกายก็เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น ใบหน้าดำคล้ำไม่น่าดูเลยแม้แต่น้อย
หนิงเทียนหยานอนหายใจรวยรินในขณะที่ดวงตาเหม่อมองไปบนเพดานไม้ แววตาที่เคยมีแต่ความเศร้าหมอง บัดนี้เริ่มเปล่งประกายขึ้นมาบ้าง.. ผ่านไปครู่ใหญ่หนิงเทียนหยาจึงได้พยายามที่จะเอี้ยวคอมองไปทางฉินจิวยื่อ แต่ก็ไม่สามาถทำได้ เขาจึงได้แต่นอนนิ่งอยู่ในท่าเดิม พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ
“จิวยื่อ..ข้า.. คงใกล้.. จะตาย.. แล้ว.. เป็นแน่..”
“อืมม..”
ฉินจิวยื่อทำเสียงรับรู้อยู่ในลำคอก่อนจะพูดออกมาตามความจริง “ท่านพี่.. ท่านไม่ต้องหวาดกลัวไป หลังจากที่ท่านไปแล้ว ข้าจะตามไปอยู่กับท่านเอง!”
ฉินจิวยื่อตอบหนิงเทียนหยาไปตามตรงและไม่คิดที่จะปลอบโยนเขา เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรหนิงเทียนหยาก็ต้องตายอยู่ดี และเวลานี้หนิงเทียนหยาก็เปรียบเสมือนแสงตะเกียงที่ริบหรี่ และกำลังจะดับลงเพราะน้ำมันที่ใกล้หมดเต็มที..
หนิงเทียนหยาพยายามลืมตาขึ้นมองในขณะเดียวกันก็รำพึงรำพันออกมาอย่างคนไร้เรี่ยวแรง “จิวยื่อ..เวลานี้.. ข้า.. ดูเป็น.. เช่นใดบ้าง”
ฉินจิวยื่อลุกขึ้นยืนและค่อยๆโน้มตัวลงไปที่เตียงพร้อมกับจ้องมองใบหน้าที่ซูบผอมเหลือแต่กระดูกของหนิงเทียนหยา ก่อนจะยิ้มออกมาและตอบเขาไปว่า
“ท่านพี่..ท่านดูไม่หล่อเหลาเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่ไม่เป็นไร เพราะเวลานี้ข้าเองก็หาได้น่าดูอะไรนัก ช่างเถิด! หลังจากที่พวกเราสองคนหมดลม ร่างกายของพวกเราสองคนก็ต้องเหลือแต่โครงกระดูกอยู่ดี..”
“จิวยื่อ..ข้าผิดต่อเจ้านัก! คิดไม่ถึง.. จริงๆว่า.. การพบกัน.. ครั้งนั้นของเราสองคน.. จะกลับกลาย.. เป็นการทำร้ายเจ้าเช่นนี้..”
ฉินจิวยื่อฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น “ท่านพี่.. ท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวเช่นนี้! ที่ผ่านมาแม้พวกเราสองคนจะเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป แต่พวกเราก็ได้ชดใช้ความผิดทั้งหมดให้กับนางแล้ว ถึงวันนี้พวกเราไม่มีสิ่งใดที่ติดค้างนางอีกแล้ว!” “ฮ่าๆๆๆ”
ยังไม่ทันทีฉินจิวยื่อจะพูดจบดีเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากด้านหลังของนาง
“หึ..ช่างเป็นคู่ผัวตัวเมียที่รักใคร่กันยิ่งนัก! แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ พวกเจ้ายังคงรักใคร่กันมั่นคง!”
และเสียงที่ดังขึ้นนั้นก็หาใช่ใครอื่นไม่แต่เป็นตี๋เสี่ยวเจินนั่นเอง น้ำเสียงของนางผสมผสานไปด้วยความเศร้าเสียใจ และโกรธแค้น
“ถูกต้อง!เวลานี้ระหว่างเราทั้งสามคน ไม่มีหนี้ใดติดค้างกันอีกแล้วสินะ!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงพูดของตี๋เสี่ยวเจินฉินจิวยื่อก็มิได้หันหลังกลับไปมอง นางยังคงยืนหันหลังให้ และแววตาของนางนั้นก็บ่งบอกถึงความหงุดหงิดรำคาญใจ
ฉินจิวยื่อนั้นเป็นหญิงที่เฉลียวฉลาดนางรู้จักอารมณ์และความต้องการของตี๋เสี่ยวเจินเป็นอย่างดี และสามารถอ่านแผนการที่ชั่วร้ายของตี๋เสี่ยวเจินในครั้งนี้ออกตั้งแต่แรก นางรู้ว่าเมื่อใดที่นางก้าวเท้าเข้ามาในสำนักกระบี่เทียนซานแห่งนี้ แน่นอนว่าทั้งนางและหนิงเทียนหยาจะไม่มีทางกลับออกไปได้อีก และนางเองก็ยินยอมที่จะสละชีวิตของตนเองตั้งแต่แรกแล้ว
ด้วยเหตุนี้ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่นางถูกทรมาน และถูกเหยียดหยามมาโดยตลอดนั้น ฉินจิวยื่อจึงยังคงสามารรักษาความสงบนิ่งมาได้ตลอด นางรู้ดีว่าตนเองนั้นไม่อาจช่วยหนิงเทียนหยาให้พ้นจากความตายได้แน่ จึงมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือ.. นางต้องตายไปพร้อมกับเขานั่นเอง!
และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของหนิงเทียนหยาแล้วสิ่งเดียวที่ฉินจิวยื่อจะทำเพื่อหนิงเทียนหยาได้ก็คือ การได้ตายไปพร้อมกับเขา และนางก็ไม่ได้หวาดกลัวหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อย!
แต่หนิงเทียนหยากลับสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความโกรธแค้นเขาขบฟันและกำมือแน่นเมื่อได้ยินเสียงพูดของตี๋เสี่ยวเจิน พร้อมกับพยายามดิ้นรนที่จะลุกขึ้นนั่ง
ฉินจิวยื่อเห็นท่าทางของหนิงเทียนหยาจึงได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน และเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านพี่ท่านดูสิ.. ผู้ที่ตั้งใจทรมานพวกเราสองคนให้ได้รับความเจ็บปวด แต่กลับได้รับความเจ็บปวดมากกว่าพวกเราสองคนเสียอีก..”
และนี่คือการจู่โจมของฉินจิวยื่อ!
นางจงใจเพิกเฉยต่อตี๋เสี่ยวเจินที่เวลานี้กำลังยืนอยู่ด้านหลังของตนเองและเวลานี้สีหน้าของตี๋เสี่ยวเจินก็เปลี่ยนเป็นโมโหเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที!
“เจ็บปวดงั้นรึฮ่าๆๆๆ”
ตี๋เสี่ยวเจินหัวเราะเสียงดังพร้อมกับยกขวดโอสถสีเขียวในมือขึ้น ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นชี้หน้าหนิงเทียนหยาที่นอนราบอยู่บนเตียงพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ข้านี่นะเจ็บปวด!หนิงเทียนหยา หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายก็ลุกขึ้นมานั่งสิ แล้วดูว่าอะไรอยู่ในมือของข้า!”
“จิวยื่อ..เจ้าช่วยพยุงข้าขึ้นที!”
จู่ๆหนิงเทียนหยาก็มีเรียวมีแรงขึ้นมามากกว่าเดิมและสามารถพูดจาได้ราบรื่น และน้ำเสียงก็หนักแน่นมั่นคงอีกด้วย
“ได้สิ!”
ฉินจิวยื่อรู้ว่านี่คงจะเป็นแรงฮึดเฮือกสุดท้ายของหนิงเทียนหยาและเขาคงมีบางสิ่งบางอย่างต้องการจะพูด นางจึงค่อยๆช่วยพยุงร่างของหนิงเทียนหยาให้ลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นจึงหันไปมองตี๋เสี่ยวเจิน แล้วจึงค่อยทรุดกายลงนั่งข้างหนิงเทียนหยา..
“ตี๋เสี่ยวเจิน..”
เนื่องจากเวลานี้ร่างกายของหนิงเทียนหยานั้นซูบผอมเหลือเพียงแค่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น ใบหน้าของเขาจึงดูน่ากลัวมากขึ้นเมื่ออยู่ใต้แสงไฟ แต่แววตาทั้งสองข้างกลับสงบนิ่งจนน่าแปลกใจ หนิงเทียนหยาขบฟันแน่นก่อนจะพูดต่อว่า“ไม่ว่าสิ่งที่อยู่ในมือเจ้าจะเป็นอะไร หรือต่อให้เวลานี้เจ้าได้กลายเป็นเซียนแล้ว ระหว่างเราสองคนก็หาได้มีสัมพันธ์ใดเกี่ยวข้องกันอีก..”
“ฮ่าๆๆๆงั้นรึ”
ตี๋เสี่ยวเจินหัวเราะเสียงดังอย่างเย้ยหยันจากนั้นจึงยกมืออีกข้างขึ้นเปิดฝาขวดหยกออก และจัดการเทโอสถสองเม็ดออกมา
“เจ้าคาดเดาได้ไม่ผิดนัก!เพราะโอสถทั้งสองเม็ดนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าการเป็นเซียนเลยแม้แต่น้อย..”
“ที่ข้ามาพบเจ้าในคืนนี้ก็เพื่อที่จะมารอดูเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ก่อนจะตาย ข้าอยากให้เจ้าเห็นข้า – ตี๋เสี่ยวเจินกลืนโอสถทั้งสองนี้เสียก่อน!”
หลังจากพูดจบ..ตี๋เสี่ยวเจินก็กลืนโอสถเยาว์วัยเม็ดสีม่วงเข้าไปทันที หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งนาที ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับร่างของตี๋เสี่ยวเจินอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้นางกลับกลายเป็นหญิงสาวในวัยสิบแปดปีเท่านั้น!
“ฮ่าๆๆๆ”
ตี๋เสี่ยวเจินหัวเราะออกมาด้วยความดีอกดีใจเมื่อเห็นผลอันน่าอัศจรรย์ของโอสถล้ำค่าเม็ดนี้และไม่จำเป็นต้องส่องกระจก ตี๋เสี่ยวเจินก็รู้ได้ว่าตนเองได้กลับกลายเป็นหญิงสาวสะคราญไปแล้ว
จากนั้นนางก็หันไปทางฉินจิวยื่อพร้อมกับพูดจาเย้ยหยัน“เป็นเช่นใดบ้าง! เจ้าคงตกตะลึงมากสินะ? เจ้าเด็กลงไปเพียงแค่สิบปี แต่ข้าสามารถเด็กลงไปถึงยี่สิบปี!”
“หึ..ข้าต้องสูญเสียสิบเก้าปีแห่งวัยเยาว์ของตนเองไป แต่เวลานี้ข้าได้มันกลับคืนมาแล้ว!”
“ข้า– ตี๋เสี่ยวเจิน เวลานี้ได้วัยเยาว์กลับคืนมา แต่ดูพวกเจ้าสองคนสิ! เวลานี้พวกเจ้าทั้งสองคนไม่ต่างจากซากศพ!”
ตี๋เสี่ยวเจินเย้ยหยันคนทั้งคู่แล้วก็ไม่รอช้ารีบกลืนโอสถโฉมสะคราญเข้าไปทันที!
ครึ่งนาทีผ่านไป..ตี๋เสี่ยวเจินกลับเปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่งดงามอย่างมาก ริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าได้มลายหายไปทันที ผิวพรรณก็เปลี่ยนเป็นขาวใสราวกับไข่มุก และไร้ซึ่งตำหนิใดๆ
“โอ้โหท่านแม่!ท่านช่างงดงามยิ่งนัก!”
ตี๋ชิงโหวเดินเข้ามาหาตี๋เสี่ยวเจินพร้อมกับร้องอุทานออกมาเสียงดังแม้จะยืนอยู่ข้างกายตี๋เสี่ยวเจิน แต่ตี๋ชิงโหวก็หาได้ปรายตามองหนิงเทียนหยาไม่
“ลูกโฮ่ว..เจ้าให้บ่าวนำกระจกมาให้ข้าที!” ตี๋เสี่ยวเจินร้องสั่งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ..
หลังจากที่สาวใช้ส่วนตัวของตี๋เสี่ยวเจินนำกระจกมาให้นางก็ย่อตัวทำความเคารพตี๋เสี่ยวเจินพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“บ่าวยินดีกับนายหญิงด้วยเวลานี้นายหญิงได้กลับกลายเป็นหญิงสาวที่งดลามยิ่นัก!”
และเมื่อตี๋เสี่ยวเจินเห็นตัวเองในกระจกนางก็ได้แต่ตกตะลึงอย่างมาก แต่หลังจากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างมีความสุข
“ฮ่าๆๆๆช่างคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปยิ่งนัก!”
จากนั้นตี๋เสี่ยวเจินก็หันไปจ้องมองหนิงเทียนหยากับฉินจิวยื่อพร้อมกับถามขึ้นว่า“พวกเจ้าสองคนคิดเห็นเช่นใดกับการเปลี่ยนแปลงของข้า”
ระหว่างนั้นฉินจิวยื่อกับหนิงเทียนหยาต่างก็นั่งจ้องหน้ากันด้วยความรักใคร่ดูดดื่ม ทั้งสองคนไม่แม้แต่จะหันไปมองตี๋เสี่ยวเจินด้วยซ้ำไป..
“นี่พวกเจ้า!”
ตี๋เสี่ยวเจินเห็นท่าทางของทั้งสองคนก็ได้แต่โมโหจนควันออกหูนางร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้นพร้อมกับกัดฟันกรอด จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ดูเหมือนพวกเจ้าทั้งสองคงรู้ตัวว่าต้องตายในคืนนี้และได้เตรียมตัวที่จะตายกันแล้วสินะ”
แต่ฉินจิวยื่อกับหนิงเทียนหยากลับยังคงนั่งนิ่งมองตากันด้วยความรักลึกซึ้งอยู่เช่นเดิมไม่แม้แต่จะปรายตามองไปทางตี๋เสี่ยวเจิน
“นี่พวกเจ้า…”
ตี๋เสียวเจินยิ้มเย็นก่อนจะพูดขึ้นว่า“แต่น่าเสียดาย.. เพราะข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าได้ตายด้วยกันสมใจง่ายๆเช่นนั้นแน่!”
ตี๋เสี่ยวเจินยกมือขึ้นชี้หน้าหนิงเทียนหยาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หนิงเทียนหยา นับจากนี้ไปชีวิตของเจ้ากับนางแพศยานี่ จะต้องเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เจ้าตายได้.. แต่นางหญิงแพศยาแซ่ฉินนี้จะต้องมีชีวิตอยู่ต่ออย่างทุกข์ทรมาน หากข้าตี๋เสี่ยวเจินไม่ให้ตาย ผู้ใดก็ไม่อาจตายได้!”
หนิงเทียนหยาได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกับโมโหขึ้นมาทันทีเขายกมือขึ้นชี้หน้าตี๋เสี่ยวเจิน พร้อมกับร้องตะโกนสาบแช่งนาง “ตี๋เสี่ยวเจินนางผู้หญิงสารพัดพิษ! นางผู้หญิงใจทราม การกระทำที่ชั่วช้าของเจ้าเช่นนี้ สักวันเจ้าต้องไม่ตายดีแน่