บทที่ 1407 หนิงเทียนหยา

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 1407 : หนิงเทียนหยา
  หลังจากที่ประณามตี๋เสี่ยวเจินไปแล้วหนิงเทียนหยาจึงพูดต่อว่า “เรื่องการหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับข้านั้น ข้าเองก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน..”
  “ดังคำโบราณว่าไว้ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ความจริงข้อนี้ เจ้าไม่เข้าใจบ้างหรืออย่างไร”
  “หลังจากที่ข้าฝึกฝนวิชาสำเร็จแล้วจึงได้ลงจากเขาและระหว่างทางที่ลงมานั้น ข้าก็บังเอิญได้พบกับจิวยื่อเข้า พวกเราสองคนต่างก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกันตั้งแต่แรกพบ ข้าจึงได้พานางกลับไปตระกูลหนิงด้วย และเมื่อไปถึงข้าจึงได้รู้เรื่องการหมั้นหมายระหว่างเราสองคน แต่เมื่อเจ้าไปถึงตระกูลหนิง กลับไม่สอบถามต้นสายปลายเหตุ ตรงเข้าทำร้ายจิวยื่อจนนางได้รับบาดเจ็บสาหัส และบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า เท่านั้นยังไม่พอ เจ้ายังต้องการให้ข้ามาอยู่ที่สำนักกระบี่เทียนซานกับเจ้า ซึ่งข้า – หนิงเทียนหยาก็ยินยอม..”   “แต่หลังจากนั้นทั้งที่เจ้าเองก็รู้ว่าจิวยื่อกำลังตั้งท้อง แต่กลับนำคนลงเขาไปจัดการจนเกือบสังหารคนตระกูลฉินทั้งหมด หลังจากนั้นเป็นต้นมา ความแค้นในใจเจ้ากลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ และตลอดสิบแปดปีมานี้เจ้าเองก็ได้สร้างความอัปยศอดสูให้กับข้ามาโดยตลอด..”
  “และหลังจากที่ข้าลมปราณแตกซ่านเจ้าเองก็ใช้ข้าเป็นเครื่องมือหลอกจิวยื่อมาที่นี่ และข่มเหงเย้ยหยันนางต่างๆนานามาตลอดเวลากว่าครึ่งปี..”
  “ต่อให้ในใจของเจ้าจะมีความโกรธแค้นมากเพียงใดแต่ความตายก็น่าจะเป็นการสะสางความแค้นภายในใจของเจ้าได้แล้วมิใช่รึ”
  เมื่อพูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงของหนิงเทียนหยาก็สั่นสะท้านมากยิ่งกว่าเดิม ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ และน้ำตาก็รินไหลออกมาเป็นสองสาย ทำให้ใบหน้าของเขาเวลานี้ยิ่งดูน่าสมเพชมากกว่าเดิม  “หากหลังจากข้าตายไปเจ้ายังคิดจะข่มเหงจิวยื่ออีกล่ะก็ ต่อให้ข้าต้องตกนรกหมกไหม้ กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ข้าก็จะไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่!”
  “เจ้ามีปัญญารึ!”
  ตี๋เสี่ยวเจินทำเสียงเย้ยหยันหลังจากที่อดทนฟังหนิงเทียนหยาพูดจนจบแล้ว ตี๋เสี่ยวเจินจึงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม
  “คนไร้ค่าไร้ความสามารถเช่นเจ้าจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้ หึ.. ช่างกล้าโอ้อวดนัก!”
  “ดูสภาพของเจ้าเวลานี้สิ!ไม่ต่างจากภูติผีวิญญาณเลยแม้แต่น้อย..”
  ตี๋เสี่ยวเจินตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชายิ่งกว่าเดิมและจ้องมองหนิงเทียนหยาด้วยแววตาเคียดแค้นมากกว่าเก่า
  “ข้า– ตี๋เสี่ยวเจินไม่เคยต้องรู้สึกผิดกับสิ่งใดมาตั้งแต่ยังเล็ก!”
  “หากเจ้าเบิกตาดูให้ดีหลายปีที่เจ้าอยู่ในสำนักกระบี่เทียนซาน เจ้าเคยเห็นผู้ใดกล้าตำหนิติเตียนข้าบ้าง”
  “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงต้องทรมานเจ้าเหตุใดข้าจึงต้องสร้างความอัปยศอดสูให้แก่เจ้า? ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะเจ้าคนเดียว.. หนิงเทียนหยา!”
  “หลังจากที่ข้าได้พบหน้าเจ้าและเห็นว่าเจ้าหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก ข้าจึงยอมแต่งงานกับเจ้า อีกทั้งยังยอมมีโฮ่วเอ๋อกับเจ้า แต่ตลอดเวลาในใจของเจ้ากลับไม่เคยมีข้าเลย ในใจของเจ้ามีเพียงแค่นางแพศยาผู้นี้คนเดียวเท่านั้น!”
  ตี๋เสี่ยวเจินหันไปชี้หน้าฉินจิวยื่อพร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ครั้งนั้นข้าจะสังหารนาง เจ้าก็จะฆ่าตัวตาย เมื่อข้าจะทำลายตระกูลฉินให้สิ้นซาก เจ้าก็ยังจะฆ่าตัวตายอีก..”
  “เทียนหยา..ยิ่งเจ้ารักและเป็นห่วงนางมากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งโกรธแค้นนางมากท่านั้น!”   “และที่ข้ายื่นเงื่อนไขสิบแปดปีให้ตระกูลฉินนั้นก็เท่ากับยอมให้นางแพศยานี่มีชีวิตได้อีกสิบแปดปีเท่านั้น ปีนี้จะเป็นปีที่ครบสัญญาพอดี แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าไปแอบฝึกวิชาเพื่อนาง..”
  ตี๋เสี่ยวเจินพูดต่อด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันมากกว่าเดิม“ที่เจ้าอยากจะรีบฝึกฝนวิชาให้แข็งแกร่งโดยเร็วนั้น ก็คงเพราะต้องการที่จะสังหารข้า และทำลายสำนักกระบี่เทียนซานของข้า เพื่อที่จะได้กลับไปอยู่กับคนรักของเจ้าสินะ”
  สายตาของตี๋เสี่ยวเจินที่จ้องมองหนิงเทียนหยาและฉินจิวยื่อนั้นเปลี่ยนเป็นน่ากลัวยิ่งกว่าเก่ามาก “หนิงเทียนหยา เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่า เจ้าอยู่บนยอดเขาเจงิชโชกูซูซึ่งสูงที่สุดในเทียนซานเช่นนี้ จู่ๆจะพบเจอภัมภีร์ล้ำเลิศเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
  หนิงเทียนหยาถึงกับหน้าเปลี่ยนสี..
  ร่างของหนิงเทียนหยาสั่นสะท้านรุนแรงเขาจ้องมองตี๋เสี่ยวเจินราวกับกำลังพบเห็นปีศาจร้าย ก่อนจะร้องตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหคั่งแค้น
  “ที่..ที่แท้ก็เป็นเจ้า ทั้งหมดนี้.. ล้วนเป็นแผนการของเจ้างั้นรึ!”
  ฉินจิวยื่อบีบมือหนิงเทียนหยาด้วยความอ่อนโยนนางถอนหายใจเล็กน้อย และจ้องมองตี๋เสี่ยวเจินด้วยแววตาสมเพชและเย้ยหยัน
  “ตี๋เสี่ยวเจินอย่างน้อยๆเทียนหยาก็เป็นพ่อของลูกชายเจ้า เหตุใดเจ้าจึงได้กล้าทำเรื่องที่เลวร้ายกับเขามากถึงเพียงนี้”
  “หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!”
  ตี๋ชิงโหวที่ยืนอยู่ข้างๆตี๋เสี่ยวเจินเป็นผู้ร้องตะโกนออกมาเขาจ้องมองหนิงเทียนหยาด้วยแววตาเหยียดหยันในขณะที่เอ่ยออกไปว่า
  “หนิงเทียนหยาแซ่หนิงส่วนข้าแซ่ตี๋ เขาไม่ใช่พ่อของข้า และไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นได้ด้วย!”   “โฮ่วเอ๋อเจ้าพูดได้ดีมาก!”
  ตี๋เสียวเจินพยักหน้ายิ้มๆพร้อมกับเอ่ยชมก่อนจะยื่นมือไปลูบไล้ศรีษะของตี๋ชิงโหวด้วยความอ่อนโยน
  “ตระกูลหนิงในสายตาของสำนักกระบี่เทียนซานเราไม่ต่างจากมดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น ไฉนเลยคนผู้นี้จะมีคุณสมบัติเป็นพ่อของเจ้าได้เล่า..”
  จากนั้นตี๋เสี่ยวเจินก็หันไปพูดกับฉินจิวยื่อว่า“ฉินจิวยื่อ หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงไม่หมดรักหนิงเทียนหยา และเวลานี้ข้าไม่หลงเหลือแม้แต่ความชื่นชอบให้กับเขา เช่นนั้นแล้วเขาก็สมควรตายได้.. แต่สำหรับเจ้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าตายตามเขาไปแน่!”
  “นับจากวันนี้ไปเจ้าจะต้องมาเป็นบ่าวรับใช้ข้า ไม่เพียงเจ้าเท่านั้น แต่หนิงหลิงยู่ลูกสาวของเจ้าด้วย อีกไม่นานข้าจะไปจับตัวนางมาไว้ที่สำนักกระบี่เทียนซาน และจะให้นางได้อยู่อย่างอัปยศอดสูที่สุด จะอยู่ก็ทุกข์ทรมานยิ่งนัก จะตายก็ไม่สามารถทำได้! ฮ่าๆๆๆ”
  ตี๋เสี่ยวเจินกัดฟันกรอดพร้อมกับหันไปมองหนิงเทียนหยา“เอาล่ะหนิงเทียหยา.. ไหนๆเจ้าก็ยังไม่ตาย ข้าจะให้เจ้าได้รับรู้แผนการต่อไปของข้า!
  “หลังจากที่เจ้าตายแล้วข้าก็จะส่งคนไปตระกูลหนิง และจะสังหารทุกคนในตระกูลของเจ้า และจัดการถอนรากถอนโคนตระกูลหนิงไม่ให้หลงเหลือ ในเมื่อตระกูลหนิงของเจ้าไม่มีประโยชน์อันใดต่อสำนักกระบี่เทียนซานของข้าแล้ว ข้าก็จะใช้ชีวิตของคนตระกูลหนิงชดเชยความแค้นให้กับข้า..”
  “จากนั้นข้าก็จะนำคนของสำนักกระบี่เทียนซานบุกไปตระกูลฉินด้วยตัวเอง หลังจากนั้นข้าจะทำลายตระกูลฉินให้สิ้นซาก เหมือนกับที่ข้าต้องการจะทำตั้งแต่เมื่อสิบแปดปีก่อน..”
  “และสุดท้าย..”
  จู่ๆแววตาของตี๋เสี่ยวเจินก็เปล่งประกายวิบวับขึ้นมาวูบหนึ่งนางจ้องมองฉินจิวยื่อพร้อมกับแสยะยิ้ม และพูดขึ้นว่า
  “เจ้าคงจะยังจำลูกชายที่เจ้ารับมาเลี้ยงได้สินะดูเหมือนเด็กนั่นจะชื่อว่า.. หลิงหยุน!”
  เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงหลิงหยุนท่าทางที่เคยสงบนิ่งมานานของฉินจิวยื่อก็ถึงกับมลายหายไป นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองตี๋เสี่ยวเจินพร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
  “เจ้าจะทำอะไรเขา”
  ตี๋เสี่ยวเจินทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจในขณะที่ตอบไปว่า“หึ! เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ฟังข้าพูดให้จบก่อน”
  “แต่จะว่าไปข้าเองก็อดที่จะอิจฉาเจ้าไม่ได้ลูกชายไม่เอาไหนของเจ้าเป็นลูกนอกสมรสของหลิงเสี่ยวกับธิดาพรรคมารนั้น ใช่ว่าข้าจะสามารถจัดการได้ง่ายๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตลอดระยะเวลากว่าหกเดือนมานี้ เด็กนั่นสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับประเทศนี้มากเพียงใด”
  “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในงานชุมนุมชาวยุทธเมื่อหกวันก่อนบ้าง หลิงหยุนลูกชายบุญธรรมของเจ้า ได้บดขยี้ยอดฝีมือในยุทธภพไปมากมายหลายคน คืนนั้นเขาลงมือสังหารชาวยุทธตายไปมากมาย..”
  ตี๋เสี่ยวเจินเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมชาวยุทธคืนนั้นให้ฉินจิวยื่อฟังอย่างละเอียดและเจาะจงเน้นเล่าเฉพาะเรื่องความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ เพื่อให้ฉินจิวยื่อรู้สึกมีความหวัง และหลังจากนั้นนางจะเป็นผู้ทำลายความหวังครั้งนี้ของฉินจิวยื่ออีกครั้ง..
  ฉินจิวยื่อนิ่งฟังตี๋เสี่ยวเจินฟังด้วยความอดทนโดยไม่ขัดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียวแม้สีหน้าของนางจะยังคงสงบนิ่งไร้อารมณ์และความรู้สึก แต่ภายในใจกลับยินดีและซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
  หลังจากนั้นตี๋เสี่ยวเจินก็พูดต่อว่า“จากข่าวคราวที่ตระกูลหลงแจ้งมา โอสถทั้งสองเม็ดที่ข้ากลืนไปเมื่อครู่ ก็เป็นลูกชายเจ้าที่นำออกมาประมูล!”   “หึ..ถึงแม้ว่าโอสถทั้งสองเม็ดนี้จะคุ้มค่ากับจำนวนเงินที่ข้าเสียไป แต่ในเมื่อหลิงหยุนปล้นแต้มของหน่วยนภาจากข้าไปถึงหกล้านแต้ม แน่นอนว่าข้าต้องไปทวงคืนจากเขาอย่างแน่นอน!”
  “แต่น่าเสียดายที่ลูกชายของเจ้าคนนี้กลับเป็นทายาทตระกูลหลิงมิหนำซ้ำยังฝึกบ่มเพาะพลังอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น.. ในงานชุนนุมชาวยุทธ เขายังทำร้ายคนของคุนหลุนจนบาดเจ็บสาหัสไปถึงสองคน…”
  “ด้วยสาเหตุนี้..คุนหลุนจึงมีคำสั่งให้ผู้บ่มเพาะพลังทั่วทั้งประเทศจีน ช่วยกันสังหารหลิงหยุนให้ได้!”
  “ฉินจิวยื่อเจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ตอนเย็นที่ข้าเจาะจงให้เจ้าไปคอยรินเหล้าให้ข้าในงานเลี้ยงนั้น มีแขกคนสำคัญที่สุดผู้หนึ่งอยู่ในงานนั้นด้วย และเขาก็เป็นบุคคลที่ทุกคนต่างก็ยำเกรงหวาดกลัว!”
  “ข้าจะบอกให้เอาบุญ..แขกในงานเลี้ยงเมื่อตอนเย็นนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์คุนหลุนทั้งสิ้น!”
  “พวกเราได้ข่าวมาว่าหลิงหยุนทำการรับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จไปเมื่อสองสามวันที่ผ่านมานี่เอง และข้าเชื่อว่าหลังจากนั้นเขาจะต้องมาสำนักกระบี่เทียนซานเพื่อช่วยเจ้า ดังนั้น…”
  “ในเมื่อมันกล้าบุกมาสำนักกระบี่เทียนซานของข้าที่นี่ก็จะกลายเป็นหลุมฝังศพของมัน! ฮ่าๆๆๆๆ”
  ตี๋เสี่ยวเจินหัวเราะออกมาอย่างผยองอวดดี“หากหลิงหยุนถูกสังหารตายภายในสำนักกระบี่เทียนซานของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุนหลุนจะตบรางวัลให้กับสำนักของข้าเช่นใดบ้าง”
  ตี๋เสี่ยวเจินยกมือข้างขวาขึ้นพร้อมกับกางนิ้วทั้งห้าออกและพูดขึ้นด้วยความดีอกดีใจอย่างที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้
  “คนของสำนักกระบี่เทียนซานจะได้เข้าไปฝึกวิชาในคุนหลุนถึงห้าคน..”
  เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้หนิงเทียนหยาก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป ความโกรธแค้นปะทุขึ้นในจิตใจของเขาจนถึงกับกระอักเลือดออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ในขณะที่ปากก็ร้องตะโกนสาบแช่งตี๋เสี่ยวเจิน
  “นางผู้หญิงแพศยา!ข้า – หนิงเทียนหยาจะไม่มีทางให้อภัย…”
  แต่ยังไม่ทันที่หนิงเทียนจะพูดจบประโยคดีร่างของเขาก็ล้มลงหงายตึงไปข้างหลังทันที ฉินจิวยื่อไม่สนใจสิ่งใดอีก นางรีบเข้าไปโอบกอดร่างของหนิงเทียนหยาไว้อย่างรวดเร็ว เวลานี้เลือดสีแดงสดไหลออกจากตา หู จมูก และปากของหนิงเทียนหยา ทำให้ใบหน้าของเขาแปดเปื้อนไปด้วยเลือด และดูน่าสยดสยองยิ่งนัก
  หนิงเทียนหยาจ้องมองฉินจิวยื่อพร้อมกับพยายามที่จะพูดออกไป..
  “จิวยื่อ..ข้าได้พบกับลูกสาวของเราแล้ว.. นาง.. นาง..”
  “นางทำไมรึ!”   “นาง…”
  หนิงเทียนหยาพูดได้เพียงแค่นั้นเขาก็สิ้นใจตายในทันที!
  “เจ้าไปสู่สุขติเถิดนะ!”
  ฉินจิวยื่อโอบกอดร่างของหนิงเทียนหยาไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากออกจากดวงตาทั้งสองข้าง..
  ….
  ในเวลานั้นเองจู่ๆ ท้องฟ้าเหนือยอดเขาเทียนเฟิงก็ได้เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มยิ่งกว่าเดิมขึ้นมาทันที
  “แย่แล้ว!”
  ทางด้านทิศตะวันออกของยอดเขาเจงิชโชกูซูสูงขึ้นไปจากพื้นเกือบหนึ่งหมื่นเมตรนั้น ร่างสีดำสองร่างกำลังเหาะอยู่กลางอากาศ ซึ่งก็คือหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินนั่นเอง
  และจู่ๆหลิงหยุนก็เห็นดาวตกพุ่งผ่านหน้าไปในท้องฟ้าที่มืดครึ้มนี้ ทำให้เขาถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ!