บทที่ 1408 หลิงหยุนช่วยฉินจิวยื่อ (1)

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 1408 : หลิงหยุนช่วยฉินจิวยื่อ (1)
  หลิงหยุนเหาะมาด้วยความเร็วเต็มกำลังของตนและดูเหมือนเขาจะกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก!
  หลังจากที่หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินออกมาจากเทือกเขาฉินหลิงแล้วทั้งคู่ก็เหาะมาด้วยความสูงเหนือพื้นดินราวหนึ่งหมื่นห้าพันเมตร ในระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้เผาเสินหยวน และสร้างโล่ลมปราณปกป้องร่างกายจากแรงลมที่พุ่งเข้ามาปะทะร่างจากการเหาะไปด้วยอัตราความเร็วที่เร็วกว่าเสียงถึงสี่เท่า และเป้าหมายของเขาก็คือเทือกเขาเทียนซาน..
  ระหว่างที่เหาะไปนั้นหลิงหยุนก็ได้หยิบเครื่องมือสื่อสารของหน่วยนภาออกมา และทำการเปิดสัญญาณนำทางที่ระบุตำแหน่งเขาเทียนซานไว้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหลงเส้นทาง ซึ่งอาจทำให้ล่าช้า..
  ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้แม้หลิงหยุนจะมิได้ชื่นชอบเทคโนโลยีที่ทันสมัยของโลกใบนี้มากนัก แต่เขาก็จำเป็นต้องใช้มัน อีกทั้งเครื่องมือสื่อสารที่สามารถใช้บอกทิศทางของหน่วยนภานี้ ก็ใช้งานได้ง่ายมากด้วย
  ครั้งนี้นับเป็นการเดินทางที่ยาวไกลที่สุดของหลิงหยุนนับตั้งแต่มากำเนิดใหม่บนโลกใบนี้เส้นทางจากฉินหลิงมาเทียนซานนั้น หากเหาะมาเป็นเส้นตรง ก็จะมีระยะทางอยู่ที่สองพันหกร้อยกิโลเมตรโดยประมาณ และด้วยอัตราความเร็วในการเหาะของหลิงหยุนเวลานี้ เขาใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็มาถึงแล้ว..
  ตลอดระยะทางที่เหาะมานั้นหลิงหยุนเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เขาเร่งเหาะไปให้ถึงยอดเขาเจงิชโชกูซูโดยเร็วที่สุด เพื่อให้สามารถช่วยฉินจิวยื่อกับหนิงเทียนหยาได้ทันเวลา
  แต่ด้วยอัตราความเร็วในการเหาะที่รวดเร็วของหลิงหยุนแม้เย่ซิงเฉินจะเข้าสู่ขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) แล้วก็ตาม หลังจากเหาะไปได้เพียงแค่พันกิโลเมตร นางก็ไม่สามารถฝืนต่อไปได้อีก หลิงหยุนจึงต้องทำการเผาเสินหยวนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เพื่อที่จะพาเย่ซิงเฉินเหาะไปด้วยกันในความเร็วสูงสุดเช่นเดิม
  แต่น่าเสียดายที่หลิงหยุนเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-5) ได้เพียงแค่สี่วันเท่านั้น จุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของเขาจึงสามารถรวบรวมเสินหยวนได้เพียงแค่ห้าแสนกว่าหยดเท่านั้น และในการเหาะไปด้วยความเร็วสูงสุดในระยะทางที่ไกลเช่นนี้ ทำให้หลิงหยุนต้องเผาเสินหยวนไปกว่าสามหมื่นหยดเลยทีเดียว..
  แต่เมื่อเหาะมาถึงบริเวณยอดเขาเจงิชโชกูซูแล้วจู่ๆ ดาวตกก็พุ่งผ่านท้องฟ้าที่มืดมิดนั้นไป ทำให้เขาอดที่จะตกใจไม่ได้
  “หลิงหยุนมีอะไรรึ!”
  เย่ซิงเฉินร้องถามออกมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องอุทานของหลิงหยุนสีหน้าของนางเองก็บ่งบอกถึงกความวิตกกังวลตามไปด้วย  ท่ามกลางการเหาะไปด้วยความเร็วสูงสุดนั้นหลิงหยุนจ้องมองท้องนภาที่มืดมิดตรงหน้า พร้อมกับตอบเย่ซิงเฉินด้วยน้ำเสียงบางเบา
  “ที่สำนักกระบี่เทียนซานต้องมีคนเสียชีวิตเป็นแน่หากข้าเดาไม่ผิด.. คนผู้นั้นจะต้องเป็นหนิงเทียนหยา!”
  นั่นเพาะคนโบราณเชื่อว่าการปรากฏขึ้นของดาวตกนั้น เป็นสัญญาณว่ามีผู้เสียชีวิต!
  แม้ความเชื่อเช่นนี้จะฟังดูไร้สาระสำหรับผู้คนในโลกปัจจุบันแต่สำหรับผู้บ่มเพาะตนเช่นหลิงหยุนนั้น มันมีความหมายยิ่งนัก..
  บนโลกใบนี้มีคนตายมากมายในทุกๆวันแต่ละคนที่ตายหาใช่จะเกี่ยวข้องกับดาวตกทุกคนไปไม่ แต่บนยอดเขาสูงสุดของเทียนซานแห่งนี้ และในเวลาเช่นนี้ จู่ๆดาวตกก็ปรากฏขึ้น ทำให้หลิงหยุนอดที่จะนึกถึงหนิงเทียนหยาขึ้นมาไม่ได้..
  “นี่พวกเรา..มาช้าไปงั้นรึ!”
  เย่ซิงเฉินจ้องมองดาวตกที่ผ่านหน้าไปแล้วจึงหันกลับไปมองหลิงหยุนด้วยความตกใจ จึงได้แต่ร้องถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ
  “เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!”
  ‘นั่นน่ะสิ!หนิงเทียนหยาหาใช่คนธรรมดาทั่วไป เขาเป็นบิดาของหนิงหลิงยู่เลยทีเดียว..’
  หลิงหยุนกำลังนึกถึงเรื่องที่หนิงหลิงยู่มีกายอัปสรแต่เนื่องจากเขาไม่มีเวลามากพอที่จะอธิบายให้กับเย่ซิงเฉินฟังในเวลานี้ จึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับรำพึงรำพันออกมา
  “ชะตาชีวิตของคนบางคนคงถูกกำหนดมาให้เป็นเช่นนี้..”
  ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ค่อยๆลดความเร็วลง เพื่อเตรียมตัวที่จะร่อนลงบนยอดเขาเจงิชโชกูซูที่อยู่ตรงหน้า
  ในช่วงที่มีดาวตกเกิดขึ้นนั้นหลิงหยุนได้ใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุอำพรางตนไว้แล้ว เพื่อมิให้จิตหยั่งรู้ของยอดฝีมือภายในสำนักกระบี่เทียนซานสำรวจพบเข้า  ท่ามกลางท้องนภาเวิ้งว้างหลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปยังภูเขาสูงใหญ่ด้านหน้า พร้อมกับหันไปบอกเย่ซิงเฉินว่า
  “ตี๋ยั่วถังมันไม่กล้าโกหกข้าแน่สำนักกระบี่เทียนซานตั้งอยู่บนยอดเขาสูงแห่งนี้!”
  เย่ซิงเฉินพยักหน้าพร้อมกับถามออกไปว่า“มันได้บอกตำแหน่งที่ชัดเจนหรือไม่”
  หลิงหยุนก้มลงมองยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมจนขาวโพลนพร้อมตอบกลับไปว่า “ต่อให้ตี๋ยั่วถังไม่ได้บอกตำแหน่งที่ชัดเจน ข้าก็พอที่จะคาดเดาได้ว่า บนพื้นที่กว่าสามพันห้าร้อยเมตรนั่น คงจะไม่เหมาะแก่การตั้งสำนักแน่..”
  จากนั้นจึงหันไปถามเย่ซิงเฉินว่า“หากเป็นเจ้า.. เจ้าจะเลือกสร้างสำนักบนพื้นที่ที่มีหิมะปกคลุมเช่นนี้หรือไม่”
  เย่ซิงเฉินทำสายตาค้อนใส่หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“ข้าคงไม่โง่เลือกสถานที่เช่นนี้แน่ เพราะข้าไม่ได้ฝึกวิชาพลังเย็นเหมือนใครบางคน..”   หลิงหยุนถึงกับทำหน้าไม่ถูกและรีบโบกมือไปมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เอาล่ะๆ พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้กันดีกว่า..”
  “หากหนิงเทียนหยาตายแล้วจริงๆท่านแม่ของข้าคงต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ พวกเราคงไม่มีเวลาสำรวจอะไรอีกแล้ว นอกจากต้องทำตามแผนการทันที!”
  ตามแผนการที่ตกลงกันไว้นั้นหลิงหยุนจะทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องช่วยคน ส่วนเย่ซิงเฉินก็จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเขาอีกที
  “หลิงหยุนเจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก!”
  เย่ซิงเฉินสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจึงได้แต่เอ่ยเตือนหลิงหยุน “สำนักกระบี่เทียนซานดูสงบเงียบจนเกินไป ข้าว่ามันดูผิดปกติ เหมือนพวกมันจะรู้ตัวว่าพวกเราจะบุกมาที่นี่ คล้ายกับว่าพวกมันจงใจปล่อยให้พวกเราเข้ามาในบริเวณน่านฟ้าของพวกมันได้อย่างง่ายดาย..”
  แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายสังหารขึ้นมาทันทีพร้อมตอบกลับไปว่า“ไม่ใช่คล้ายกับ.. แต่พวกมันตั้งใจให้เป็นเช่นนี้!”
  “เรื่องที่ข้ารับทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จนั้นตระกูลหลงเองก็รู้ แม้ตระกูลหลงจะไม่สามารถลงมือกับข้าได้ แต่มีหรือที่พวกเขาจะไม่บอกข่าวนี้ให้กับสำนักกระบี่เทียนซานรู้”
  “ตระกูลหลงย่อมต้องรู้ว่าข้าจะเดินทางมาช่วยท่านแม่ที่สำนักกระบี่เทียนซานมีหรือที่พวกมันจะไม่แจ้งคนของสำนักกระบี่เทียนซานให้เตรียมรับมือกับข้า..”
  เย่ซิงเฉินได้ฟังคำตอบของหลิงหยุนแล้วจึงได้แต่ร้องถามออกไปว่า “ในเมื่อเรื่องนี้เจ้าเองก็รู้ตั้งนานแล้ว เหตุใดจึงไม่บอกข้ารู้บ้าง”
  “บอกหรือไม่บอกจะต่างกันอย่างไรเล่าในเมื่อไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องมาทีนี่อยู่ดี!”
  หลิงหยุนเอื้อมมือไปตบบ่าเย่ซิงเฉินเบาๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ความจริงแล้วข้าควรต้องมาสำนักกระบี่เทียนซานนานแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นข้ายังแข็งแกร่งไม่พอ นี่คงจะเป็นชะตา..”   “คืนนี้..ต่อให้ข้ารู้ว่าสำนักกระบี่เทียนซานเป็นถ้ำเสือ ข้าก็ต้องบุกเข้าไปช่วยท่านแม่ของข้าให้ได้!”
  จากนั้นจึงหันไปบอกเย่ซิงเฉินด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจัง“ซิงเฉิน ข้าจะพาเจ้าไปที่หุบเขาด้านล่าง เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นั่น..”
  “หลังจากที่ข้าช่วยท่านแม่ได้และมั่นใจว่านางปลอดภัยดีแล้ว ข้าจะรีบส่งข่าวให้เจ้ารู้ หลังจากนั้นพวกเราค่อยมาเล่นสนุกกัน..”
  เย่ซิงเฉินพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“เยี่ยม!”
  หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่รอช้า และรีบร่อนลงบริเวณเทือกเขาเทียนซานทันที หลิงหยุนใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุอำพรางความเคลื่อนไหวของตนเอง ในไม่ช้าก็ไปถึงสันเขาใหญ่ลูกหนึ่ง
  หลังสันเขาใหญ่นี้ยอดเขาสูงทั้งสามที่เสมือนอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียนซานก็ตกอยู่ในสายตาของหลิงหยุนแต่ยอดเขาทั้งสามนั้นมีการสร้างค่ายกลคุ้มกันไว้ ทำให้จิตหยั่งรู้ของเขาไม่สามารถมองทะลุไปเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในหุบเขาด้านในได้
  ยอดเขาสวรรค์(เทียนเฟิง) ปฐพี และมนุษย์นั้น มีลักษณะคล้ายกับแตร และเขาที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือเขามนุษย์ และเป็นที่อยู่ของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เทียนซาน
  “ท่านแม่ของข้าจะต้องอยู่บนเขาเทียนเฟิงเป็นแน่เพราะตี๋เสี่ยวเจินก็อาศัยอยู่ที่นั่น!”
  “เอาล่ะ..ข้าต้องไปก่อนแล้ว!”
  หลังจากที่เย่ซิงเฉินซ่อนตัวเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนก็ใช้วิชาแยกธาตุพร้อมด้วยวิชาล่องหนบุกเข้าไปบนยอดเขาเทียนเฟิงทันที!
  วิชาล่องหนของหลิงหยุนนั้นเป็นการพลางตาที่สามารถใช้ได้กับผู้ที่มีขั้นพลังต่ำกว่าเขาเท่านั้นหากคนผู้นั้นไม่ได้มีขั้นพลังอยู่ในระดับเดียวกับเขาแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่จะพบเห็นเขาได้อย่างแน่นอน
  ส่วนวิชาเคลื่อนย้ายธาตุนั้นจึงนับว่าเป็นการซ่อนเร้นพลางตัวที่แท้จริง นั่นเพราะหากเขาใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุนี้ แม้แต่จิตหยั่งรู้ของอีกฝ่ายก็ไม่อาจสำรวจพบได้
  ครั้งนี้หลิงหยุนมั่นใจอย่างยิ่งว่าเขาใช้วิชาพลางตัวทั้งสองวิชาร่วมกันเช่นนี้ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นถึงผู้บ่มเพาะพลังในขั้นก่อสร้างรากฐาน ก็ไม่อาจที่จะพบเห็นเขาได้ และหากไม่มีวิชาทั้งสองนี้ หลิงหยุนก็คงไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามบุกเข้ามาช่วยแม่ของเขาเช่นนี้แน่!
  นั่นเพราะผู้บ่มเพาะตนในด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่อย่างตี๋เสี่ยวเจินนั้นสามารถสังหารฉินจิวยื่อได้ภายในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา..
  ร่างของหลิงหยุนเหาะขึ้นไปบนท้องนภาอย่างรวดเร็วและเหาะข้ามสันเขาลูกใหญ่มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
  หลังจากที่ร่อนลงบนพื้นดินภายในหุบเขาแล้วหลิงหยุนก็ยังคงพลางตัวไว้เช่นเดิม ในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยจิตหยั่งรู้ของตนเองออกขั้นสุด จากนั้นค่อยๆหลบหน่วยลาดตระเวนของสำนักกระบี่เทียนซานมุ่งหน้าสู่ยอดเขาเทียนเฟิงทันที  ‘ภายในสำนักกระบี่เทียนซานมียอดฝีมือที่สูงส่งไม่น้อยทีเดียว!’
  หลังจากที่ผ่านยอดเขามนุษย์มาได้แล้วหลิงหยุนก็ได้แต่แอบครุ่นคิดอยู่ภายในใจ เพราะจิตหยั่งรู้ของเขานั้นสำรวจพบจิตหยั่งรู้ที่แข็งแกร่งถึงเจ็ด หรือแปดดวงเลยทีเดียว..
  และยิ่งเข้าใกล้ยอดเขาเทียนเฟิงมากเพียงใดหลิงหยุนก็ยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้นเท่านั้น เขาใช้เส้นทางป่าไต่ขึ้นไปบนยอดเขาเทียนเฟิง
  ……
  ภายในกระท่อมเล็กๆบนยอดเขาเทียนเฟิง..
  ฉินจิวยื่อนั่งโอบกอดร่างเย็นแข็งของหนิงเทียนหยาไว้ในอ้อมอกพร้อมกับน้ำตาที่ไหลเป็นสายน้ำออกจากดวงตาทั้งสองข้าง ความรู้สึกของฉินจิวยื่อเวลานี้เศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็มีเพียงแค่น้ำตาแต่ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นคร่ำครวญ..   ความตายของหนิงเทียนหยานั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และฉินจิวยื่อเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ถึงแม้นางจะเศร้าโศก แต่กลับรู้สึกโล่งใจที่หนิงเทียนหยาจากไปเช่นนี้ หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานมายาวนานเกือบยี่สิบปี..
  “เจ้าอย่าด่วนเศร้าโศกไปนักเพราะนับจากนี้ไปเจ้าจะต้องเศร้าโศกยิ่งกว่านี้!”
  ตี๋เสี่ยวเจินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันให้กับความเศร้าโศกเสียใจของฉินจิวยื่อสีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นดุร้ายพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
  “มานำตัวนางหญิงแพศยานี้ออกไปได้แล้ว!”
  สาวใช้สองคนกระโดดเข้ามาภายในกระท่อมและต่างก็แยกย้ายกันออกไปจับแขนของฉินจิวยื่อไว้คนละข้าง
  ฉินจิวยื่อถูกฉุดกระชากให้ลุกขึ้นแต่เวลานี้สีหน้าของนางกลับสงบนิ่งอย่างน่ากลัว น้ำตาที่ไหลเป็นสายเมื่อครู่ได้อันตธานหายไป เหลือเพียงแววตาที่เป็นประกาย นางจ้องมองใบหน้าของตี๋เสี่ยวเจิน พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น
  “ตี๋เสี่ยวเจินเจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”
  จากนั้นฉินจิวยื่อก็ทำการขบฟันและกัดลิ้นตนเองและในเวลานั้นนางก็ได้คลายยาพิษที่เก็บซ่อนไว้ในซอกฟันมานานกว่าครึ่งปีออกมา
  และนั่นคือยาพิษชนิดร้ายแรง!
  “แย่แล้ว!”
  ตี๋เสี่ยวเจินเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันทีนางรีบกระโดดเข้าไปหาฉินจิวยื่อหมายทำการสะกัดจุดป้องกันไม่ให้พิษนั้นกระจายเข้าสู่หัวใจของนาง
  แต่ดูเหมือนว่าตี๋เสี่ยวเจินจะช้าเกินไปเพราะในระหว่างที่นิ้วของตี๋เสี่ยวเจินกำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้นั้น ก็มีฝ่ามือของใครบางคนพุ่งเข้าไปเสียก่อน
  จากนั้นร่างของหลิงหยุนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉินจิวยื่อและซัดกำปั้นเข้าใส่ร่างของตี๋เสี่ยวเจินอย่างรุนแรง
  ปัง!
  พลังปราณผสมกับความโกรธแค้นภายในใจของหลิงหยุนระเบิดตูมออกมา ทำให้กระท่อมไม้หลังเล็กระเบิดออก และแผ่นไม้ปลิวว่อนกระจัดกระจาย
  ภายในใจของหลิงหยุนนั้นอัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้นและความเกลียดชังในตัวตี๋เสี่ยวเจิน หมัดของหลิงหยุนที่ชกเข้าใส่ร่างของนางนั้น ทำให้หน้าอกของนางถึงกับยุบลง และร่างก็ลอยละลิ่วกระเด็นถอยหลังออกไป!
  จากนั้นกระบี่กังฉีและกระบี่เหินเงาธนูของหลิงหยุน ก็พุ่งทะลวงเข้าใส่ร่างของสาวใช้ทั้งสองคนพร้อมๆกัน..
  “ท่านแม่!”
  หลิงหยุนหันกลับไปหาฉินจิวยื่อพร้อมกับนิ้วที่สะบัดไปตามจุดฝังเข็มบนร่างของนาง พร้อมกับร้องตะโกนเรียกท่านแม่ไปด้วย..