บทที่ 1409 หลิงหยุนช่วยฉินจิวยื่อ (2)

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 1409 : หลิงหยุนช่วยฉินจิวยื่อ (2)
  “หลิง..หลิงหยุน.. ลูกชายของข้างั้นรึ”
  หลังจากที่ฉินจิวยื่อกัดยาพิษในปากแล้วพิษก็ได้ปะปนกับเลือดสีแดงในปากของนางที่กลืนลงไปสู่ภายในท้องน้อย พิษกว่าครึ่งได้ซึมเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล และได้แพร่กระจายสู่เส้นเลือดทั่วทั้งรางกาย และยาพิษชนิดนี้ก็ออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว!
  เวลานี้ร่างของฉินจิวยื่อเริ่มแข็งเกร็งแววตาเริ่มเหม่อลอย แต่ถึงอย่างนั้นจิตใจของนางก็ยังคงแข็งแกร่ง ฉินจิวยื่อพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายของตนเปิดเปลือกตาขึ้น เพื่อที่จะได้มองหลิงหยุนได้ชัดเจน ภาพของหลิงหยุนที่อยู่ตรงหน้านางในเวลานี้ช่างเลือนลางเต็มที ใบหน้าและสายตาที่สงบนิ่งของฉินจิวยื่อ พลันปรากกฏรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขขึ้น..
  ต่อให้หลิงหยุนไม่เปิดเผยฐานะของตนเองฉินจิวยื่อย่อมต้องรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือหลิงหยุนอยู่ดี แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่นางเองก็มีลูกเพียงแค่สองคนเท่านั้นคือหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ นอกเหนือจากสองคนนี้แล้ว ยังจะมีผู้ใดเรียกนางว่าท่านแม่อีกเล่า..
  ยิ่งไปกว่านั้น..ก่อนหน้านี้ตี๋เสี่ยวเจินที่ไม่ต่างจากคนคลุ้มคลั่ง ก็ได้บอกเล่าความแข็งแกร่งของหลิงหยุนให้นางล่วงรู้ก่อนแล้ว!
  “ใช่แล้วท่านแม่!ข้าคือหลิงหยุนลูกชายของท่าน! ท่านแม่.. ลูกไร้ความสามารถยิ่งนัก เวลาผ่านไปเนิ่นนาน แต่กลับมาช่วยท่านแม่ในเวลานี้ ทำให้ท่านแม่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากมาย!”
  หลิงหยุนจ้องมองสภาพของฉินจิวยื่อเวลานี้ด้วยดวงตาที่แดงก่ำฟันของเขาขบเข้าหากันแน่นอย่างอดกลั้น และในใจของเขาเวลานี้ก็มีไฟโทสะลุกโชน!
  ก่อนหน้านี้หลิงหยุนก็พอที่จะคิดได้ว่าทันทีที่ฉินจิวยื่อก้าวเท้าเข้าสู่สำนักกระบี่เทียนซานนั้น นางจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานเป็นแน่ แต่เขาก็คิดว่าอย่างน้อยยังมีหนิงเทียนหยาอยู่ที่นี่ด้วย อย่างมากฉินจิวยื่อก็คงได้รับเพียงแค่ความทุกข์ทรมานทางใจ ซึ่งเกิดจากการถูกเหยียดหยามจากคนของสำนักกระบี่เทียนซานเท่านั้น..
  แต่เขาไม่คิดไม่ฝันว่าตี๋เสี่ยวเจินจะไร้ซึ่งความเป็นคนถึงเพียงนี้นางไม่เพียงไม่ใยดีต่อความเป็นความตายของหนิงเทียนหยาผู้เป็นสามี แต่ภายในเวลาเพียงแค่ครึ่งปี นางกลับทรมานฉินจิวยื่อทั้งทางร่างกายและจิตใจ จนนางต้องมีสภาพน่าเวทนาอย่างที่เห็น!
  ทันทีที่เข้าสู่เขตของยอดเขาเทียนเฟิงจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็ได้สำรวจพบฉินจิวยื่อซึ่งอยู่ในสภาพที่น่าหดหู่และเวทนานี้ ทำให้เขาโกรธแค้นอย่างมาก และรีบตรงเข้ามาที่นี่เพื่อช่วยฉินจิวยื่อในทันที
  แต่เมื่อมาถึงฉินจิวยื่อก็ได้กลืนยาพิษลงไป และทำการผนึกลำคอเรียบร้อยแล้ว และหากเขามาช้ากว่านี้เพียงแค่ก้าวเดียว หรือเพียงแค่เศษเสี้ยวลมหายใจ พิษที่ร้ายแรงเช่นนี้ ต่อให้เป็นเซียนก็ยากที่จะช่วยชีวิตของฉินจิวยื่อไว้ได้..
  “หลิง..หลิงหยุน.. ยาพิษที่ข้ากลืนเข้าไปนั้น.. เป็นพิษที่ร้ายแรงยิ่งนัก.. ข้า.. ข้าไม่มีทางรอดแล้ว.. เจ้ารีบออกไปจากที่นี่ พวกมันวางกับดักเพื่อรอให้เจ้ามาช่วยข้า พวกมันจะได้ทำการสังหารเจ้า..”
  ฉินจิวยื่อมีจิตใจของความเป็นมนุษย์ที่สูงส่งนางหาได้ห่วงใยชีวิตของตนเองไม่ แต่กลับเป็นห่วงความปลอดภัยของหลิงหยุนมากกว่า
  “ท่านแม่..ท่านวางใจได้ หากข้าอยู่ที่นี่ ท่านจะต้องไม่ตายแน่นอน!”
  ทันทีที่มาถึงนั้นหลิงหยุนได้ใช้ดัชนีห้าธาตุทำการสะกัดพิษที่กระจายเข้าสู่เส้นเลือดภายในร่างของฉินจิวยื่อไว้ได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นแล้ว.. เวลานี้นางคงจะไม่สามารถปริปากพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียวแน่!
  ระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังสนทนากันอยู่นั้นหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะถ่ายเทพลังปราณเข้าไปภายในร่างของฉินจิวยื่อด้วย เพื่อทำการขับพิษออกจากร่างกายของนางไปในตัว..
  ในวินาทีนั้นไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของฉินจิวยื่ออีกแล้ว หลิงหยุนจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยชีวิตของนางไว้ให้จงได้ เขาจึงไม่สนใจที่จะไล่ตามไปสังหารตี๋เสี่ยวเจินให้ตายคามือ..
  ไม่เช่นนั้นแล้วเวลานี้ตี๋เสี่ยวเจินคงต้องตายไปนับสิบๆครั้งแล้ว!
  แต่หลังจากที่เห็นสภาพที่น่าเวทนาของฉินจิวยื่อหลิงหยุนจึงได้หยุดความคิดที่จะฆ่าตี๋เสี่ยวเจิน เพราะความตายนั้นนับว่าเป็นการเมตตาเกินไปสำหรับผู้หญิงที่มีใจคอโหดเหี้ยมเช่นนาง!
  ฉินจิวยื่อต้องได้รับทุกข์ทรมานทั้งกายและใจสาหัสถึงเพียงนี้หลิงหยุนจะต้องให้ตี๋เสี่ยวเจินชดใช้กลับมาเป็นร้อยเท่าพันทวี!
  และในระหว่างที่หลิงหยุนกำลังช่วยชีวิตฉินจิวยื่ออยู่นั้นทั่วทั้งสำนักกระบี่เทียนซานก็กำลังโกลาหลวุ่นวายกันอย่างมาก!   นั่นเพราะทันทีที่ตี๋เสี่ยวเจินถูกหลิงหยุนชกเข้าใส่ร่างจนลอยกระเด็นละลิ่วออกไปไกลกว่าหนึ่งพันเมตรนั้น แม้นางจะได้ใช้พลังปราณปกป้องร่างกายไว้ แต่ก็นับว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อยทีเดียว
  แต่แทนที่ตี๋ชิงโหวจะรีบไปช่วยตี๋เสี่ยวเจินเขากลับเหาะหนีออกไปยังเขาปฐพี และร้องตะโกนออกไปเสียงดัง
  “หลิงหยุนมาถึงที่นี่แล้ว!”
  และนี่คือประโยคแรกที่ตี๋ชิงโหวร้องตะโกนออกไปหลังจากที่เหาะหนีออกมาได้..
  ส่วนสาวใช้ที่เหลือซึ่งรออยู่นอกกระท่อมนั้นเมื่อเห็นได้เห็นหมัดอันทรงพลังของหลิงหยุน ทุกคนต่างก็พากันวิ่งหนีเอาตัวรอดกันจนหมด
  ทันทีที่เสียงร้องตะโกนของตี๋ชิงโหวดังขึ้นความโกลาหลวุ่นวายก็เกิดขึ้นทันที ในระหว่างนั้นร่างแปดร่างก็เหาะจากยอดเขาปฐพีมายังยอดเขาเทียนเฟิงอย่างรวดเร็ว และด้วยความเร็วในการเหาะของยอดฝีมือทั้งแปดนั้น ระยะทางเจ็ดกิโลเมตรจากยอดเขาปฐพีมาถึงยอดเขาเทียนเฟิงนั้น ทั้งหมดก็สามารถเหาะมาถึงได้อย่างรวดเร็ว!
  เหนือยอดเขาทั้งสามภายในสำนักกระบี่เทียนซานเวลานี้นอกจากเสียงร้องตะโกนแล้ว ก็ยังมีเสียงเหล่ายอดฝีมือเหาะมากลางอากาศอีกมากมาย ทำให้เขาที่เคยเงียบสงัด กลับกลายเป็นเสียงดังหนวกหูขึ้นในทันที!
  ที่รอบนอกของยอดเขาทั้งสามมีระลอกคลื่นHeavenly Sword Sect ที่ปกป้องการก่อตัวของภูเขาได้เปิดขึ้น นี่คืออาเรย์ดาบสามสังหาร หลังจากมีการเปิดตัวกฎหมายนี้ได้ปิดกั้นโลกภายนอกทันทีและเปลี่ยนเป็นโลกใบเล็กที่แยกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง!
  บริเวณรอบนอกของยอดเขาทั้งสามเวลานี้ได้เกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้น และเวลานี้ค่ายกลภายในสำนักกระบี่เทียนซานก็เริ่มทำงาน และนี่คือค่ายกลสามกระบี่สังหาร
  และทันทีที่ค่ายกลนี้เริ่มทำงานก็จะปิดกั้นพื้นที่เล็กๆนี้ออกจากโลกภายนอกทันที!   แน่นอนว่า..นี่คือกับดัก!
  “ฮ่าๆๆเจ้าโจรโฉดหลิงหยุน! สวรรค์มีเจ้ากลับไม่ไป แต่กลับเดินเข้าสู่ประตูนรก ในเมื่อเจ้ากล้ามาถึงที่นี่ สำนักกระบี่เทียนซานก็จะเป็นที่สำหรับฝังร่างของเจ้า!”
  หนึ่งในแปดยอดฝีมือที่เหาะอยู่กลางอากาศเวลานี้ร้องตะโกนลงมา..
  “ห๊ะ!”
  แต่ยังไม่ทันที่คนผู้นั้นจะพูดจบประโยคดี..เขาก็เห็นผืนดินเบื้องล่างบริเวณที่หลิงหยุนอยู่นั้น ได้มีหมอกสีขาวพวยพุ่งขึ้นมา และกระจายตัวปกคลุมพื้นที่บริเวณนั้นอยู่เต็มไปหมด ทำให้ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ภายในกลุ่มหมอกได้
  ไม่เพียงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้แต่จิตหยั่งรู้ยังไม่อาจมองทะลุได้อีกด้วย!
  “นี่คือค่ายกลอย่างนั้นรึ!”
  ยอดฝีมือทั้งแปดซึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าอันมืดมิดนั้นจ้องมองลงมายังผืนดินเบื้องล่างด้วยสีหน้างุนงง และทุกคนต่างก็อยู่ในอาการตกตะลึง
  และนี่คือค่ายกลวราหก!
  เวลานี้..แม้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งมากเพียงใด หลิงหยุนก็จะไม่หนีไปไหนแน่!
  หากการมาครั้งนี้หลิงหยุนพบว่าฉินจิวยื่อไม่ได้อยู่ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนี้ เขาก็คงจะพานางแอบหนีออกไปจากที่นี่ หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องพานางไปฝากให้เย่ซิงเฉินดูแล แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปใจแล้ว..
  เขาจะไม่เพียงแค่รักษาฉินจิวยื่อให้หายแต่จะให้นางได้เห็นเขาสังหารศัตรูของนางด้วยตาตัวเอง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่หายแค้นแน่!
  ภายในค่ายกลวราหก..
  หลิงหยุนกำลังเดินลมปราณถ่ายเทพลังปราณเข้าไปในร่างของฉินจิวยื่อและนางก็กระอักโลหิตสีดำออกมาถึงสามกอง เวลานี้พิษในร่างของนางได้ถูกหลิงหยุนขับออกแล้ว..
  “หลิงหยุนเหตุใดยังต้องพยายามช่วยข้าด้วย..”
  หลังจากที่พิษในร่างถูกขับออกหมดแล้วฉินจิวยื่อก็ค่อยๆฟื้นคืนสภาพ แม้นางจะเป็นห่วงหลิงหยุน แต่ก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ เพราะนางเองก็รู้จักนิสัยใจคอของหลิงหยุนดี..
  หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองสำรวจไปทั่วร่างของฉินจิวยื่อและเมื่อมั่นใจว่าพิษภายในร่างของนางนั้นได้ถูกขับออกจนหมดแล้ว เขาจึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง..
  “ท่านแม่..ท่านเป็นแม่ของข้า จะปล่อยให้ท่านตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกันเล่า ท่านแม่ลูกมาช้าไป ท่านแม่ได้โปรดตำหนิลูกเถิด..”
  ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็เรียกน้ำแร่ออกมาจากแหวนจักรวาลหนึ่งขวดและส่งให้ฉินจิวยื่อพร้อมกับร้องบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  “ท่านแม่..ท่านบ้วนปากเสียหน่อย!”
  เวลานี้ฉินจิวยื่ออยู่ภายใต้การคุ้มครองของหลิงหยุนแม้จะล้อมรอบไปด้วยศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่หลิงหยุนกลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนก เขายังคงทำตัวสบายๆราวกับว่ากำลังอยู่ที่บ้านของตน
  “ข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไรกัน..แต่เจ้ามาเพียงลำพังคนเดียวเช่นนี้ สภาพของข้าเวลานี้ไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้..”
  หลังจากที่ฉินจิวยื่อพูดจบนางก็ได้แต่กำขวดน้ำแร่ในมือนิ่ง ในขณะที่ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างนั้น จ้องมองไปยังร่างแข็งเย็นของหนิงเทียนหยาที่นอนราบอยู่บนเตียงไม้ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด
  แม้เมื่อครู่พลังปราณของหลิงหยุนจะทำให้กระท่อมเล็กหลังนี้ปลิวกระจาย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อฉินจิวยื่อและหนิงเทียนหยา บริเวณที่ทั้งคู่อยู่นั้นยังคงไม่มีสิ่งใดเสียหาย..
  “ท่านแม่ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย ข้าหาได้มาที่นี่เพียงลำพังไม่ คนของข้าที่อยู่ด้านนอกยังมีอีกมาก แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าศิษย์สำนักกระบี่เทียนซานเลย..
  แม้หลิงหยุนจะได้ทำการขับพิษออกจากร่างของฉินจิวยื่อจนหมดแล้วแต่ฝ่ามือของเขายังคงแนบอยู่ที่แผ่นหลังของนางอยู่เช่นนั้น และได้ทำการถ่ายเทพลังปราณเข้าไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำการเปิดเส้นลมปราณที่ถูกสะกัดไว้ อีกทั้งยังช่วยโคจรลมปราณไปทั่วทั้งร่างของนางอีกด้วย
  และกระบี่ลมปราณที่ตี๋เสี่ยวเจินใส่เข้าไปในร่างของฉินจิวยื่อเพื่อใช้ทรมานนางอยู่นานหลายเดือนนั้น ก็ได้ถูกหลิงหยุนใช้พลังหยินและหยางทำลายทิ้งไปแล้ว
  และที่หลิงหยุนบอกกับฉินจิวยื่อไปเช่นนั้นก็เพื่อให้นางคลายความกังวลใจเท่านั้นเอง นั่นเพราะภายนอกสำนักกระบี่เทียนซานเวลานี้ มีเพียงแค่เย่ซิงเฉินคนเดียวเท่านั้น ส่วนตี้เสี่ยวอู๋ หวังชงเซียว และคนอื่นๆนั้น ยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าที่จะเดินทางมาถึงที่นี่..   “งั้นรึ!ถ้าเช่นนั้นก็ดี..”
  ฉินจิวยื่อได้เห็นพลังหมัดของหลิงหยุนที่ชกเข้าใส่ร่างของตี๋เสี่ยวเจินได้เห็นกระบี่เหินทั้งสองเล่มซึ่งหลิงหยุนใช้สังหารสาวใช้ของนาง อีกทั้งค่ายกลวราหกของหลิงหยุนเวลานี้ ก็ทำให้ศัตรูไม่สามารถบุกเข้ามาได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง นางจึงพอที่จะคลายกังวลได้บ้าง..
  ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่นาทีนี้หลิงหยุนก็ได้ขับพิษ ทำลายกระบี่ลมปราณภายในร่าง และฟื้นฟูจุดตันเถียนกับเส้นลมปราณทั่วร่างให้กับฉินจิวยื่อจนกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมได้
  แต่สำหรับเรื่องน้ำหนักที่ลดลงไปมากและร่างกายที่ผ่ายผอมนี้ หากจะให้ฟื้นฟูกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ และคงไม่สามารถรีบร้อนได้
  “หลิงหยุน..เจ้าพอได้แล้ว ข้าดีขึ้นมากแล้ว!”
  หลังจากที่ฉินจิวยื่อรู้สึกว่าจุดตันเถียนของตนที่ถูกผนึกไว้ได้ถูกเปิดออกอีกครั้งนางจึงเริ่มเดินลมปราณภายในร่างด้วยตนเอง และรู้สึกว่าลมปราณสามารถหมุนเวียนไปทั่วร่างได้อย่างสะดวก ทำให้นางสามารถทนต่อความหนาวเย็นได้แล้ว และเวลานี้นางก็เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-1
  เดิมทีฉินจิวยื่ออยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-2และมีพลังอมตะอยู่ในร่างกายจำนวนมาก แต่เป็นเพราะถูกตี๋เสี่ยวเจินทรมานมาเป็นเวลานาน และพลังอมตะนั้นก็ถูกหญิงชั่วร้ายผู้นี้ดูดไป ทำให้ฉินจิวยื่อยังไม่สามารถฟื้นฟูพลังกลับสู่ขั้นเดิมได้
  อีกทั้งด้วยสภาพร่างกายที่ยังอ่อนแอมากของฉินจิวยื่อเวลานี้หลิงหยุนจึงยังไม่ช่วยให้นางพัฒนาขั้นไปมากกว่านี้
  “ท่านแม่..ได้โปรดอย่าคิดทำเช่นนี้อีกจะได้หรือไม่”
  หลิงหยุนเห็นฉินจิวยื่อยังคงถือขวดน้ำแร่ไว้ในมือแน่นิ่งและสายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของหนิงเทียนหยา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากเช่นนั้น เขาจึงได้แต่กระซิบถามออกมาเบาๆ
  แต่จู่ๆฉินจิวยื่อก็ลุกขึ้นยืน และหันไปมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าที่ทั้งซาบซึ้งใจ และเสียใจ..
  “หลิงหยุน..ในเมื่อเจ้าตั้งใจมาช่วยข้าเช่นนี้ ต่อให้ข้าจะเสียใจมากเพียงใด ข้าก็ไม่คิดที่จะตามท่านลุงหนิงของเจ้าไปอีกแน่!”
  ระหว่างที่พูดนั้นฉินจิวยื่อก็เอื้อมมือที่ผ่ายผอมเหลือเพียงแค่กระดูกนั้น ออกไปลูบไล้ศรีษะของหลิงหยุนอย่างแผ่วเบา พร้อมกับย้ำหนักแน่นว่า
  “เจ้าไม่ต้องห่วงว่าข้าจะทำเช่นนั้นอีกแล้ว..”
  หลิงหยุนแอบพินิจพิจารณาดวงหน้าของฉินจิวยื่ออย่างละเอียดและพบว่านางไม่ได้มีความต้องการที่จะตายตามหนิงเทียนหยาไปอีกแล้วจริงๆ
  หลิงหยุนลูบไล้ฝ่ามือของฉินจิวยื่อที่เวลานี้หยาบกร้านอย่างมากด้วยความอ่อนโยนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ท่านแม่..ข้าต้องการสังหารพวกมันให้หมด!”
  “ได้!เจ้าลงมือสังหารพวกมัน แม่จะคอยดู!”
  ฉินจิวยื่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ…