บทที่ 2917 งานวิวาห์
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกแล้ว!
เขาสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นมา “ท่านช่างทุ่มเทจิตใจเพื่อลูกศิษย์ของท่านจริงๆ นะ! พระองค์เจ้าวางใจเถิด ข้าชื่นชมความใจกว้างของท่านยิ่งนัก และจะน้อมนำมันไปปฏิบัติแน่นอน!”
แล้วหันหลังจากไปเลย
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ที่เดิม หลุบตามองสุราในจอก ยกจรดริมฝีปากช้าๆ ดื่มรวดเดียวหมดจอก
ไม่ทันระวังจึงสำลักเล็กน้อย ไอขึ้นมา
รอจนเสียงไอหยุดลง จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าสุราเลิศรสที่เดิมทีหอมหวนกลับกลายเป็นขมเฝื่อนอยู่บ้าง ถึงขั้นที่ทำให้ในทรวงอกของเธอค่อนข้างอึดอัดด้วย ทำให้เธอหมดความอยากจะดื่มต่อแล้ว
….
งานวิวาห์ของเทพผู้สร้างโลกย่อมดึงดูดความสนใจจากทั่วทั้งโลกาได้
ผู้คนจากหกภพภูมิล้วนมากันอย่างคับคั่งยิ่ง สามคีรีห้าบรรพต ปวงชนหกภพภูมิ ผู้คนทั้งหมดที่จัดอยู่ในทำเนียบผู้มีชื่อเสียงศักดาล้วนมากันทั้งสิ้น
หุบเขาเสียงสวรรค์ที่ใหญ่โตกว้างขวางมีผู้คนเนืองแน่นยิ่ง
เคราะห์ดีว่าพ่อบ้านคนนั้นที่ตี้ฝูอีส่งมาจัดการทุกอย่างที่นี่เป็นบุคคลมีความสามารถที่ยากจะพบได้คนหนึ่ง คนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม แถมยังลื่นไหลดุจน้ำกลิ้งบนใบบอน แขกเหรื่อมากมายถึงเพียงนี้ เรื่องจิปาถะมากมายขนาดนี้ เขาล้วนสามารถจัดได้อย่างมีระเบียบ ทุกคนต่างจัดการไปตามหน้าที่ของตนไม่วุ่นวายเลยสักนิด
กู้ซีจิ่วค่อนข้างว่างงาน จึงปิดด่านกักตนอยู่สองวันเสียเลย หนึ่งวันก่อนถึงงานวิวาห์ถึงได้โผล่ออกมา
อูเชียนเหยียนรายงานต่อเธอ บอกว่าทางราชครูตี้ส่งชุดเจ้าสาวมาให้แล้ว เชิญเธอไปลองสวมดู
กู้ซีจิ่วก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าในชีวิตนี้จะมีวันที่ตนได้สวมชุดเจ้าสาวด้วย ชุดเจ้าสาวหรูหรายิ่ง ทำจากผ้าไหมชั้นเลิศโดยใช้ช่างเย็บปักสิบคนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในหกภพภูมิตัดเย็บโดยไม่หลับไม่นอนเลยอยู่หลายวัน
บนชุดเจ้าสาวมีพญาหงส์หลายตัวกำลังร่อนรำอยู่ มีชีวิตชีวาสมจริง
สวมลงบนร่างเธอทีละชิ้นๆ จากนั้นก็สวมมงกุฎหงส์ห้อยระย้ามุก เมื่อส่องคันฉ่องดู สีแดงที่ราวกับเพลิงลุกโหมนั้นขับเน้นให้ดวงหน้าเฉิดฉันที่ซีดขาวเล็กน้อยของเธอดูมีเลือดฝาดขึ้นมา อีกทั้งระย้าที่แกว่งไกวไปมาก็ทำให้ดวงหน้าเฉิดฉันของเธอคล้ายดอกท้อที่โอบล้อมด้วยสายหมอก
ชุดเจ้าสาวชุดนี้งดงามยิ่ง กู้ซีจิ่วถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ดวงตาหยีโค้งแวบหนึ่ง
ในใจของเด็กสาวทุกคนล้วนมีชุดเจ้าสาวในฝันอยู่ชุดหนึ่ง อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน เพียงแต่ด้วยศักดิ์ฐานะของเธอ ความใฝ่ฝันนี้จึงเป็นได้เพียงความใฝ่ฝันเท่านั้นแม้แต่ตัวเธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนจะชมชอบสิ่งนี้ด้วย
ตอนนี้ในที่สุดก็ได้สวมชุดเจ้าสาวแล้ว แม้จะเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็นับว่าเติมเต็มความฝันหนึ่งของเธอได้แล้ว
เธอหมุนตัวพลิ้วรอบหนึ่ง ชุดเจ้าสาวบนร่างเธอโบกกระเพื่อมเป็นวงดังระลอกคลื่น
เธอรู้สึกพอใจกับชุดเจ้าสาวชุดนี้ยิ่ง จึงหันไปถามอูเชียนเหยียนที่อยู่ด้านหลัง “เชียนเหยียน เจ้าคิดว่าเป็นยังไงบ้าง?”
อูเชียนเหยียนที่อยู่ด้านข้างค่อนข้างตะลึงงันอยู่บ้าง และไม่ได้ยินวาจาของกู้ซีจิ่วด้วย ไม่ทราบเช่นกันว่าใจลอยไปถึงไหนแล้ว
กู้ซีจิ่วเอ่ยถามอีกรอบหนึ่ง นางถึงคล้ายว่าจะได้สติขึ้นมาฝืนยิ้มแวบหนึ่ง “งามเพคะ! พระองค์เจ้าสวมชุดนี้แล้วงดงามจริงๆ! วันพรุ่งพระองค์เจ้าจะต้องเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุดแน่นอนเพคะ”
กู้ซีจิ่วพอใจแล้ว
เธอจัดมงกุฎหงส์บนศีรษะ เอ่ยถามอย่างคล้ายจะไม่เจตนาประโยคหนึ่ง “เชียนซื่อล่ะ?”
อูเชียนเหยียนชะงักไปแวบหนึ่ง ตอบเสียงแผ่ว “เขา…ออกไปข้างนอก ไม่ได้กลับมาเลยเพคะ”
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วนิดๆ “เด็กคนนี้ ระยะนี้ไม่ค่อยได้เรื่องเลย”
อูเชียนเหยียนแก้ต่างให้เขาตามสัญชาตญาณ “เขาคงจะไปเก็บสมุนไพรหรือไม่ก็ไปซื้อข้าวของสำหรับงานวิวาห์”
“เช่นนั้นก็ดี เปิ่นจุนก็ว่าแล้วเชียว เขาไม่ใช่เด็กเหลวไหลเช่นนี้หรอก”
อูเชียนเหยียนหลุบตาลงนิดๆ ตอบรับคำหนึ่ง
….
กู้ซีจิ่วพบตัวฟั่นเชียนซื่อในคลังสุราใต้ดินของภัตตาคารแห่งหนึ่ง
เขาเหมาหยำเปแล้ว ขโมยดื่มสุราชั้นดีในคลังของผู้อื่นไปกว่าสิบไห จากนั้นก็นอนแผ่หลาหลับใหลอยู่บนพื้นไปเช่นนี้ กลิ่นสุราคละคลุ้ง บางครั้งก็ละเมอพึมพำออกมาบ้าง “อาจารย์…”
“เพราะอะไร…”
————————————————————————————-
บทที่ 2918 งานวิวาห์ 2
“ข้าไม่ดีตรงไหน?”
“ข้า…ข้าชอบท่านถึงเพียงนี้…”
บัดนี้เสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านของเขาเต็มไปด้วยคราบสกปรก มองๆ ไปแล้วคล้ายกับคนจรจัดที่ตกยากผู้หนึ่ง
กู้ซีจิ่วที่เร้นกายอยู่หลุบตามองเขานิดๆ แววตาปวดร้าวรางๆ เธอตั้งใจอบรมสั่งสอนเขามาเนิ่นนานปานนี้ พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ถ้าบอกว่าไม่ปวดใจเลยก็โกหกแล้ว
แต่เธอไม่อาจปล่อยให้เขามีความหวังต่อไปได้แล้ว มีแต่ต้องสะบัดความรักอันไม่เหมาะสมนี้ของเขาทิ้งอย่างโหดร้าย เขาถึงจะสามารถก้าวข้ามไปได้อย่างสมบูรณ์
ความทุกข์ในตอนนี้คือสิ่งที่เขาจำเป็นต้องเผชิญ มีเพียงยามที่คนเราสิ้นหวังในเรื่องใดอย่างสมบูรณ์แล้วถึงจะตัดใจละวางอย่างแท้จริงได้
ตามสถานการณ์ปกติแล้ว เมื่อสิ้นหวังจากความรักก็จะหันเหความสนใจไปยังหน้าที่การงานแทน ด้วยนิสัยของฟั่นเชียนซื่อ ความในใจของเขาจะหันเหไปยังการพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็วยิ่ง
ขณะที่เธอกำลังจะหมุนกายเคลื่อนย้ายจากไป
ประตูคลังสุราพลันถูกคนเปิดออก มีคนสามคนเดินเรียงกันเข้ามา สามคนนี้แต่งชุดพนักงานบริการ ทันทีที่มองเห็นตี้ฝูอี ก็บันดาลโทสะขึ้นมา “มิน่าล่ะสุราในคลังถึงลดลง ที่แท้ก็มีหัวขโมยนี่เอง!”
“ทุบเขาซะ!”
“ทุบเขาเลย! ทุบไอ้สารเลวคนนี้เสีย!”
ทั้งสามคนพลันฉวยไม้ฟืนสามท่อนขึ้นมา แล้วฟาดเข้าไปที่ใบหน้าศีรษะและหัวไหล่ของฟั่นเชียนซื่อ!
ฟั่นเชียนซื่อเมาหนักเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่รู้จักหลบเลี่ยงเลย โดนฟาดเข้าอย่างจังอยู่สามสี่ครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาก็ถูกฟาดเข้าเล็กน้อย บวมแดงขึ้นมาในทันใด
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว กำมือนิดๆ คล้ายจะทำอะไร สุดท้ายก็อดทนไว้
กู้ซีจิ่วคิดว่าหลังจากคนพวกนี้ทุบตีไปไม่กี่ครั้งก็คงจะโยนเขาออกไปแล้ว กลับคาดไม่ถึงว่าจะฟาดครั้งแล้วครั้งเล่าไม่จบไม่สิ้นเสียที เธอเบิกตามองฟั่นเชียนซื่อถูกฟาดไปถึงสามสิบสี่สิบครั้ง ทุบตีจนเขาหน้าบวมจมูกช้ำ คนเหล่านั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมือเลย ถึงขั้นที่มีคนผู้หนึ่งคว้ามีดพร้าเล่มหนึ่งที่ด้านข้างมา คิดจะสับเจ้าหัวขโมยสารเลวคนนี้ให้สุนัขกินเสีย…
นี่ก็เกินไปแล้ว!
กู้ซีจิ่วร่ายอาคมเล็กน้อย ดีดใส่ร่างของฟั่นเชียนซื่อ บนอากาศเหนือร่างของฟั่นเชียนซื่อปรากฏกำบังโปร่งใสอันหนึ่งขึ้น
คนเหล่านั้นก็มองไม่เห็นเช่นกัน เงื้อมีดลงไป ทว่าฟันลำคอของฟั่นเชียนซื่อให้ขาดไม่ได้ กลับถูกกำบังนั้นดีดสะท้อนกลับไป เกือบจะสะท้อนกลับมาฟันเข้าที่หน้าผากของตนแล้ว
เขาสะดุ้งโหยงรีบโยนมีดทิ้งไป “ผีหลอก!”
คนที่เหลือฟาดไม้ออกไปก็ถูกดีดสะท้อนกลับมาเช่นกัน ล้วนตกตะลึงระคนสงสัยอยู่บ้าง สบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่กล้าลงมือแล้ว พากันด่าทอแล้วแบกฟั่นเชียนซื่อขึ้นมา เอาไปโยนทิ้งในน้ำโคลนบนท้องถนน
ยามที่พวกเขากลับไปตรวจนับไหสุราที่คลังสุราอีกครั้ง ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบก้อนเงินไม่กี่ก้อนอยู่บนพื้น พอดีกับราคาสุราเหล่านั้นที่ถูกฟั่นเชียนซื่อขโมยดื่มไป
พวกเขาผงะไป หยิบก้อนเงินพวกนั้นขึ้นมา จู่ๆ ก็ค่อนข้างสำนึกเสียใจที่ลงมืออย่างทารุณไป
ดูเหมือนชายขี้เมาคนนี้ไม่ได้คิดจะกินแล้วชักดาบ
แถมยังจ่ายเงินไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย
บนท้องถนนสายลมหนาวยะเยือก ฟั่นเชียนซื่อนอนอยู่ในแอ่งโคลนผมเผ้ายุ่งกระเซิง ไม่น่าเชื่อว่ายังไม่มีท่าว่าจะสร่างเมาเลย ในความเมามายเขาก็ยังรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้ ในปากเอ่ยคร่ำครวญเสียงงึมงำอยู่สองสามประโยค “อาจารย์ อย่าทิ้งข้า…”
“อาจารย์ แม้ว่าท่านจะด่าข้าตีข้าก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทิ้งข้าเลย…”
“อาจารย์ ข้าเจ็บ…”
มือของกู้ซีจิ่วสั่นเทาอยู่บ้าง ทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งปวดใจ เด็กคนนี้ เป็นมารผจญโดยแท้!
ผู้คนบนท้องถนนจับกลุ่มกันชี้ไม้ชี้มือมาทางเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบางคนจำเขาได้ “เอ๋ นี่…นี่คล้ายกับศิษย์ของพระองค์เจ้าแห่งหุบเขาเสียงสวรรค์เลย…”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน...
ต่อให้เธอจะโกรธเคืองสักแค่ไหน เธอก็ยังไม่คิดจะปล่อยให้ศิษย์ทำตัวขายหน้าอยู่ที่นี่ ขณะที่เธอกำลังจะลอบลงมือเคลื่อนย้ายเขาออกไป จู่ๆ บนพื้นพลันปรากฏสายลมกรรโชกหอบหนึ่ง