ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 128 ฮ่องเต้รัฐอิงพ่ายแพ้

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เกี้ยวประดับหงส์ถูกแบกเข้าวัง ตรงเข้าไปที่ตำหนักแห่งหนึ่งทันที ไม่มีพิธีราชาภิเษกสมรสอันยิ่งใหญ่และทรงเกียรติของฮ่องเต้และฮองเฮา ไม่มีแม้แต่เสียงเครื่องดนตรีใดๆ ยิ่งกว่านั้นคือไม่มีท่าป๋าหั่นหลินมารับตัวเจ้าสาว มีเพียงนางในและขันทีเหล่านี้ที่กำลังแบกเกี้ยวและเดินอย่างเร่งรีบ  

 

 

สาวใช้ที่ติดตามมาส่งตัวเจ้าสาวรู้สึกแปลกพิกล จึงรายงานหวงฝู่เย่าเย่ว์เสียงเบา  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินดังนั้น ก็ร้องตะโกนว่า “หยุดเกี้ยว!” 

 

 

นางในและขันทียังคงเดินหน้าต่อไปราวกับไม่ได้ยิน  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เปิดผ้าคลุมศีรษะมุมหนึ่งขึ้น แล้วเปิดม่านเกี้ยวออก ตำหนิเสียงแหลมสูง “ข้าบอกให้พวกเจ้าหยุด ไม่ได้ยินหรือไง” 

 

 

ขันทีนายหนึ่งโบกมือ คนแบกเกี้ยวจึงหยุดลง  

 

 

ขันทีเดินไปหน้าเกี้ยวอย่างเนิบช้า โค้งตัวคารวะแล้วถามว่า “ฮองเฮามีคำสั่งอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ท่าป๋าล่ะ เหตุใดเขาไม่ได้มารับตัวเจ้าสาว แล้วก็พวกเจ้าจะยกข้าไปไหน” 

 

 

น้ำเสียงขันทีแฝงไปด้วยความไม่พอใจ “ฮองเฮา โปรดระวังคำพูดพ่ะย่ะค่ะ พระนามของฝ่าบาทไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะเอ่ยตามอำเภอใจได้ วันนี้ฝ่าบาทติดราชกิจ จึงไม่มีเวลาจัดพิธีสมรส ฮองเฮาได้โปรดเข้าใจ ข้าน้อยจะส่งท่านไปตำหนักหลวนเฟิ่งพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เหลวไหลสิ้นดี” หวงฝู่เย่าเย่ว์โมโห ด่าตำหนิเขา “วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของเรา อะไรคือไม่มีเวลาจัดพิธีสมรส เจ้าไปเรียกท่าป๋ามาเดี๋ยวนี้ ข้าจะถามต่อหน้าเขา” 

 

 

สีหน้าขันทีขรึมลงทันที น้ำเสียงก็ไม่สุภาพดังเดิม “ฮองเฮา เมื่อครู่นี้ข้าน้อยบอกแล้ว โปรดระวังคำพูด แต่ท่านยังคงเอ่ยถึงพระนามฝ่าบาทเช่นนี้อีก ตามกฎระเบียบของวังหลวงแล้วต้องถูกจับขังในตำหนักเย็นพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“บังอาจ” หวงฝู่เย่าเย่ว์โมโหมากกว่าเดิม จนเปิดผ้าคลุมศีรษะทั้งหมดออก เบิกตามองขันทีด้วยความโมโห  

 

 

“ข้าน้อยมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ แต่ฮองเฮาอย่าลืมไปว่าตอนนี้ท่านเข้ามาในวังแล้ว ย่อมต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบในวัง อย่าคิดว่าท่านมีคนหนุนหลังแล้วจะไม่เคารพกฎระเบียบก็ได้ ถึงตอนนั้นคนที่ลำบากจะเป็นท่านเองพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

พูดจบ ก็โบกมือไปที่ขันทีแบกเกี้ยว “ส่งฮองเฮาไปตำหนักหลวนเฟิ่ง!” 

 

 

ขันทีแบกเกี้ยวเดินไปข้างหน้า ไม่ว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะโวยวายอย่างไรก็ไม่ฟัง  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์โกรธจนตาแดง นางกัดริมฝีปาก ทันใดนั้น นางก็กระโดดออกมาจากเกี้ยว ในขณะที่ทุกคนตกใจ นางก็หยุดยืนบนพื้นข้างหน้าขันทีที่ตอบคำถามนาง ดักทางเขาไว้แล้ว “เจ้าไปเรียกท่าป๋ามา ข้าจะถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

ขันทีตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว แล้วตำหนิด้วยเสียงแหลมสูง “ฮองเฮา ท่านอย่ากระทำผิดจารีตเลย วันนี้เป็นวันสมรสของท่านและฮ่องเต้ ท่านเสียมารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร” 

 

 

“ท่าป๋าอยู่ไหน ข้าไปหาเขาเอง ข้าจะถามเขาว่าหมายความว่าอย่างไรกันแน่” 

 

 

“ไม่ต้องถามหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทสั่งไว้แล้ว หากฮองเฮาไม่รักษากฎระเบียบ ให้ส่งตัวไปขังที่ตำหนักหลวนเฟิ่งทันที” 

 

 

เสียงทุ้มใหญ่เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์หันหลังไป องครักษ์วังหลวงกว่าสิบนายวิ่งกรูเข้ามา หัวหน้ามีอายุราวยี่สิบปีเศษ มีร่างสูงใหญ่ ใบหน้าไร้อารมณ์  

 

 

เขาเดินไปข้างหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้วหยุดยืนยิ่ง ยื่นมือออกไปหานาง “เชิญฮองเฮาขึ้นเกี้ยวพ่ะย่ะค่ะ อย่าลำบากตัวเองเลย” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ขยับตัว พูดอย่างดื้อรั้นว่า “เรียกท่าป๋ามา ข้ามีเรื่องจะถามเขา” 

 

 

องครักษ์ไม่สนใจนาง พูดเพียงประโยคเดียวด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “เชิญฮองเฮาขึ้นเกี้ยวพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“หากวันนี้เขาไม่มา ข้าจะกลับรัฐอู่ทันที” หวงฝู่เย่าเย่ว์ข่มขู่เขา  

 

 

“หากเป็นเช่นนี้ ฮองเฮา โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบ ก็โบกมือเรียกองครักษ์ขึ้นมา  

 

 

“บังอาจ”  

 

 

สาวใช้สามสี่คนที่ตามมาส่งตัวเจ้าสาวยืนคุ้มกันข้างหน้าหวงฝู่เย่าเย่ว์ 

 

 

  

 

 

ในขณะเดียวกัน ณ ตำหนักไทเฮา  

 

 

ไทเฮาผู้ที่มองดูท่าป๋าหั่นหลินที่นั่งอยู่ตรงหน้าตนด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ดื่มชาแก้วแล้วแก้วเล่า ราวกับว่าวันนี้ไม่ใช่วันมงคลสมรสของตน นางก็สงสัยในใจ จึงถามด้วยเสียงเคร่งเครียดว่า “ฝ่าบาท บอกแม่ได้ไหมว่าท่านมีแผนการอะไรอยู่” 

 

 

ก่อนหน้านี้เมื่อครั้นยังไม่ถึงงานแต่ง เขาไปอยู่รัฐอู่หลายวัน แม้แต่งานราษฎร์งานหลวงก็โยนมาให้ตนเองหมด เพื่อหาโอกาสเข้าใกล้หวงฝู่เย่าเย่ว์ และตบแต่งนางเป็นฮองเฮา แต่เหตุใดวันนี้เป็นวันราชาภิเษกสมรส เขาถึงไม่มีสีหน้าความดีใจเลย ทั้งยังไม่ได้จัดพิธีสมรสด้วยล่ะ 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินดื่มชาไปอีกแก้วหนึ่ง แล้ววางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะเสียงดัง เขาไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “เสด็จแม่ รู้ไหมว่าเหตุใดเราจึงต้องตบแต่งหวงฝู่เย่าเย่ว์” 

 

 

ไทเฮาขมวดคิ้ว ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดี “ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าชอบหรือ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินส่ายศีรษะเงียบๆ  

 

 

ไทเฮาใจลุ่มๆ ดอนๆ  

 

 

“แล้วเป็นเพราะอะไรล่ะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินโบกมือ ส่งสัญญาณให้นางกำนัลถอยออกไป “พวกเจ้าออกไปเถอะ” 

 

 

ทุกคนขานรับ ถอยออกนอกห้องไป  

 

 

ในห้องเหลือเพียงท่าป๋าหั่นหลินและไทเฮาสองคน  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินรินน้ำชาให้ตนเองอีกแก้วหนึ่ง เขาถือไว้ในมือ แล้วถามขึ้นว่า “เสด็จแม่ รู้ไหมว่าทำไมจู่ๆ เสด็จพ่อจึงให้เราสืบบัลลังก์ต่อ” 

 

 

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไทเฮาไม่เข้าใจ แม้นางจะถูกรักใคร่เอ็นดู แต่เพราะว่านางเป็นคนรัฐอู่ จึงถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้วว่าลูกที่นางคลอดออกมาไม่สามารถสืบทอดบัลลังก์ได้ ฉะนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้นางไม่เคยมีความคิดเรื่องนี้เลย และเพราะเหตุนี้แม่ลูกสองคนจึงใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีศัตรูใดๆ ที่คอยจ้องเอาชีวิตพวกเขาในวังหลัง 

 

 

“เพราะอะไร” ไทเฮาถามเสียงเคร่งขรึม  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินก้มหน้ามองน้ำชาในแก้ว สีหน้าเย็นชา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองไปที่ไทเฮา พูดว่า “เพราะว่าเสด็จพ่ออยากให้เราล้างแค้นให้พี่ใหญ่” 

 

 

“อะไรนะ” 

 

 

ไทเฮาตกใจจนลุกขึ้นยืน จนไม่ระวังทำแก้วชาที่อยู่ข้างๆตกแตก น้ำชากระเด็นออกมาลงบนโต๊ะ แล้วค่อยๆหยดลงบนตั่ง  

 

 

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ไทเฮาถามอย่างไม่เชื่ออีกครั้ง  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเงยหน้ากระดกชาในแก้วจนหมด จึงพูดว่า “เสด็จแม่ฟังไม่ผิด เพื่อแก้แค้นให้พี่ใหญ่” 

 

 

“เจ้า เจ้า เจ้า นี่มัน นี่มัน…” 

 

 

ไทเฮาล้มนั่งลงบนตั่ง นางตกใจจนพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน 

 

 

เสียงของท่าป๋าหั่นหลินค่อยๆ ดังขึ้น “ทุกคนรู้ว่าตอนนั้นพี่ใหญ่ตายด้วยน้ำมือของหวงฝู่อี้เซวียน แต่ไม่รู้ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุใด…” 

 

 

“หรือว่าข้องเกี่ยวกับหวงฝู่เย่าเย่ว์” 

 

 

ไทเฮาดึงสติกลับมา เมื่อมีแรงเอ่ยปากแล้ว ก็ถามขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินพยักหน้า  

 

 

“แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่าตอนนี้นางเป็นแค่เด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองขวบ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร” 

 

 

องค์ชายใหญ่เป็นโรคใคร่เด็ก นอกจากเสด็จพ่อและท่าป๋าหั่นหลินแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกเลย เมื่อไทเฮาถามถึง ท่าป๋าหั่นหลินก็เงียบลงครู่หนึ่ง แล้วจึงเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้นางฟังด้วยเสียงเบา 

 

 

ไทเฮาตกใจจนลูกตาแทบหลุดออกมา นางไม่คิดเลยว่าท่าป๋าหั่นมู่จะมีโรคแปลกประหลาดเช่นนี้ ในเมื่อฮ่องเต้รู้อยู่แล้ว แต่กลับยังคงต้องการสืบทอดบัลลังก์ให้เขา 

 

 

“นี่ นี่ ทั้งหมดนี้เสด็จพ่อเป็นคนบอกเจ้าหรือ” 

 

 

เสียงไทเฮาสั่นเครือมากกว่าเดิม  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินพยักหน้าแล้วส่ายศีรษะ “เรื่องของพี่ใหญ่ข้ารู้นานแล้ว ส่วนเรื่องของหวงฝู่เย่าเย่ว์เสด็จพ่อเป็นคนบอกข้า” 

 

 

ไทเฮาตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโตจนแทบจะปริแตก น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหวาดกลัว “เจ้า เจ้า เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไร” 

 

 

“เสด็จแม่ก็รู้ พี่ใหญ่ดีต่อข้ามาตลอด ข้าก็มักจะไปเล่นกับเขาในตำหนัก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าบังเอิญไปเห็นเขา…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็กำแก้วในมือไว้แน่น ภาพที่ไม่อาจทนดูได้นั้นปรากฏต่อหน้าเขาอีกครั้ง  

 

 

“เจ้าหมายถึง หมายถึง…” ไทเฮาปากสั่น ไม่มีคำพูดเต็มประโยคออกมาแม้แต่ประโยคเดียว  

 

 

“เสด็จแม่วางใจเถอะ พี่ใหญ่ไม่เห็นข้า” 

 

 

ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้แล้ว เขาอาจจะไม่มีลมหายใจไปตั้งแต่วันที่เขาบังเอิญไปเห็นแล้วล่ะ 

 

 

เมื่อไม่ได้เป็นแบบที่ตนคิด ท่าทางตึงเครียดของไทเฮาจึงค่อยผ่อนคลายลง นางรู้สึกหลังของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว  

 

 

เสียงของท่าป๋าหั่นหลินยังคงดังขึ้นต่อ “หลังจากพี่ใหญ่ตายไป เสด็จพ่อเจ็บปวดเกินต้าน ประจวบเหมาะกับที่ข้าทราบข่าว จึงรีบไปดูศพของพี่ใหญ่ จากนั้นเสด็จพ่อก็เรียกข้าเข้าไปในตำหนัก ตรัสว่าจะสืบทอดบัลลังก์ให้ข้า เงื่อนไขคือข้าต้องช่วยแก้แค้นให้พี่ใหญ่ โดยการตบแต่งหวงฝู่เย่าเย่ว์ และทรมานนางให้สาสม” 

 

 

ไทเฮาพูดอะไรไม่ออก 

 

 

ในตำหนักเงียบสงัด  

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ไทเฮาก็เอ่ยปากอย่างยากลำบากว่า “ตอนนี้ เสด็จพ่อของเจ้าสวรรคตไปแล้ว เจ้ามิต้อง…” 

 

 

“เสด็จแม่ยังไม่รู้จักเสด็จพ่อดีพอหรือ” ท่าป๋าหั่นหลินกระตุกมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มเย้ยหยันตนเอง “แม้เขาจะตายไปแล้ว ก็ยังมีทางบงการข้า เพราะเราไม่มีคนหนุนหลัง ไม่มีใครคอยช่วยเหลือเลยอย่างไรล่ะ หากข้าไม่ทำตามที่เขาพูด ไม่แน่ว่าบัลลังก์นี้คงถูกแย่งชิงภายในไม่เกินวันสองวันแน่” 

 

 

ไทเฮาปากอ้าๆ หุบๆ อยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ  

 

 

แม้สาวใช้สามสี่นางที่ตามมาจะรู้วิชาต่อสู้ แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององครักษ์พกดาบพวกนี้อยู่ดี หลังจากสู้กันอยู่พักหนึ่ง ก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมด  

 

 

หัวหน้าองครักษ์ออกคำสั่งเสียงเย็นชา “อยู่ในวังกล้าดีมากำเริบเสิบสาน จับตัวไป เข้าห้องขังนักโทษประหาร!” 

 

 

“บังอาจ!” หวงฝู่เย่าเย่ว์ร้องเสียงแหลม ดึงมงกุฎหงส์ที่หนักอึ้งบนศีรษะลงมา แล้วโยนลงบนพื้น ทำให้ผู้คนที่อยู่ต่อหน้านางเห็นดวงตาและคิ้วที่เอาจริงเอาจังของนาง “หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องพวกนาง เชื่อไหมว่าข้าจะทำลายเมืองหลวงของเจ้า” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ในบัดนี้ เป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่รังสีอำมหิตกลับแผ่ซ่านไปทั้งตัว นางมองไปที่หัวหน้าด้วยสีหน้าเย็นชาราวกับว่าหากเขากล้าดีพูดอีกคำหนึ่ง นางสามารถทำลายเมืองหลวงแห่งนี้ได้เพียงเสี้ยววินาทีทันที  

 

 

ทุกคนตกใจ ไม่มีใครกล้าพูด และไม่มีใครกล้าขยับ  

 

 

“ท่าป๋าล่ะ ให้เขาออกมาเจอข้า ข้าเป็นถึงท่านหญิงจวนอ๋อง แม้จะแต่งกับสามัญชน ก็ไม่น่าเวทนาเช่นนี้ เขาคงไม่ได้คิดว่าถึงวันนี้แล้ว ข้าจะไม่กล้ายกเลิกงานแต่งหรอกนะ” 

 

 

คำพูดนางเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ ทิ่มแทงเข้าไปในใจของทุกคน ทำเอาพวกเขาตกใจจนตัวสั่นเทา 

 

 

ขันทีที่ตอบคำถามนางถูกบีบบังคับด้วยรังสีอำมหิตของนาง เขากลืนน้ำลายไปอึกหนึ่ง “ฮองเฮา ท่านอย่า…” 

 

 

“บังอาจ!” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์กรีดร้องใส่เขา “ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นฮองเฮา แต่เจ้ากลับต่อล้อต่อเถียงกับข้า ครั้งแล้วครั้งเล่า อยากถูกโบยตายหรือไง” 

 

 

เหงื่อซึมออกมาบนหน้าผากของขันที เขาลำตัวสั่นระริก ก้มศีรษะลง ไม่กล้าพูดอะไรอีก  

 

 

“ไปบอกท่าป๋า ให้เขามาพบข้าภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ไม่เช่นนั้น จะเจอดีกับทหารหนึ่งหมื่นนายของรัฐอู่แน่” 

 

 

เขารู้ดีว่าไม่ควรดูถูกความสามารถของทหารหนึ่งหมื่นนาย และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือรัฐอู่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา  

 

 

ขันทีสบตากับหัวหน้าองครักษ์ เมื่อเห็นเขาพยักหน้าเบาๆ ก็รีบวิ่งไปทางตำหนักไทเฮาทันที