เมื่อได้พูดความลับที่เก็บซ่อนในใจมาหลายปีออกมา ท่าป๋าหั่นหลินก็รู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก  

 

 

แต่ไทเฮากลับรู้สึกหนักอึ้งไปหมด ความรู้สึกยินดีปรีดาที่ลูกชายได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็มลายหายไป นางไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าก่อนที่ท่าป๋าหั่นหลินจะสืบบัลลังก์ต่อ จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย จนตอนนี้นางไม่รู้ว่าตนควรรู้สึกอยากไร  

 

 

ท่าป่าหั่นหลินปลอบนาง “เสด็จแม่ ที่ลูกบอกท่านไม่ได้ต้องการให้ท่านกังวล ตอนนี้ลูกตบแต่งนางเข้ามาแล้ว นางก็เป็นเหมือนลูกไก่ในกำมือ เราจะควบคุมอย่างไรก็ได้” 

 

 

ไทเฮาเอ่ยปากอย่างยากลำบาก ถามว่า “ลูก ลูกไม่ชอบท่านหญิงคนนั้นจริงๆ หรือ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พ่นหัวเราะออกมา “นางก็เป็นแค่สาวน้อยที่ถูกตามใจและไม่มีมันสมองแค่นั้นเอง มีอะไรให้ลูกชอบหรือ” 

 

 

ไทเฮามองเขาอย่างกังวล ไม่ได้พูดอะไร  

 

 

ข้างนอกตำหนักมีเสียงรายงานของนางในดังขึ้น “ฝ่าบาท ไทเฮาเพคะ หัวหน้าขันทีฮูมีเรื่องทูลเพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินขมวดคิ้ว เขาส่งหัวหน้าขันทีฮูไปรับตัวเจ้าสาวที่โรงเตี๊ยมพักม้า และสั่งให้เขาแบกเกี้ยวไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง เฝ้านางไว้ให้ดี ห้ามให้นางไปไหน แต่เวลานี้เขามาทำไมกัน ในขณะที่คิดอยู่นั้น ก็เอ่ยปาก “ให้เขาเข้ามา!” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูเข้ามา คารวะไทเฮาและท่าป๋าหั่นหลินอย่างสุภาพ “ฝ่าบาท ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“มีเรื่องอันใด” 

 

 

“ฮองเฮาไม่ยอมไปตำหนักหลวนเฟิ่ง สั่งให้ข้าน้อยมาเชิญฝ่าบาทไปพบพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินหรี่ตาลง น้ำเสียงเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง “เจ้าคนไร้ประโยชย์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำไม่ดี มีพวกเจ้าไว้ทำอะไรกัน” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูตกใจล้ม พลุบ ลงไปคุกเข่าบนพื้น “ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ผู้บัญชาการหลิวก็ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ จับตัวสาวใช้ติดตัวฮองเฮาไว้ แต่ฮองเฮาบอกว่าหากท่านไม่ไป ทหารรัฐอู่หนึ่งหมื่นนายที่อยู่นอกวังก็ไม่ใช่มาเล่นๆ เหมือนกัน ข้าน้อยกลัวว่าจะเกิดการปะทะขึ้น จึงมารายงานพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เมื่อพูดจบ เขาก็ก้มศีรษะลง เหงื่อตกตรงหน้าผาก   

 

 

สีหน้าท่าป๋าหั่นหลินเคร่งเครียด รอบกายเขาแผ่ซ่านไปด้วยรังสีอำมหิต เขาถูกฮ่องเต้องค์ก่อนบงการให้หาทางตบแต่งหวงฝู่เย่าเย่ว์ ตอนนี้ตบแต่งนางเข้ามาในวังแล้ว แต่กลับถูกทหารรัฐอู่บีบบังคับอีก มีฮ่องเต้ที่ไหนที่น่าเวทนากว่าเขาอีกไหม 

 

 

เขาสบถด้วยความโมโห “เจ้ากลับไปบอกนาง วันนี้เป็นงานแต่งของเรา คนใต้หล้ามองดูอยู่ หากนางไม่อยากกลายเป็นเรื่องสนุกปากของผู้คน ก็จงทำตามคำสั่งของข้าจะเป็นการดีที่สุด” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูยังคงก้มศีรษะ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น พูดเสียงเบาลงว่า “ฮองเฮายังบอกว่า บอกว่า….” 

 

 

น้ำเสียงท่าป๋าฮั่นหลินเต็มไปด้วยความโมโห “บอกว่าอะไร” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูสะดุ้งตกใจกลัวจนตัวสั่นสะท้าน รีบพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า “ฮองเฮายังบอกว่า หากทฝ่าบาทไม่ไป นางจะยกเลิกงานแต่ง และจะทำลายวังหลวงแห่งนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“บังอาจ!” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินโกรธจนทุบโต๊ะ และลุกขึ้นยืน “เอาความกล้านี้มาจากไหนกัน กล้าดีข่มขู่เรารึ” 

 

 

ศีรษะหัวหน้าขันทีฮูก้มต่ำลงกว่าเดิม เขาได้ยินเสียงของเหงื่อเม็ดโตที่หยดลงบนพื้นเต็มรูสองหู  

 

 

ไทเฮาก็ชะงักไป นางไม่คิดว่าคนที่ถูกตามใจอย่างท่านหญิงน้อยที่ท่าป๋าหั่นหลินบอกจะกล้าพูดจาข่มขู่เช่นนี้  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินไม่ทันได้คารวะไทเฮา เขาก็โกรธจนเดินออกไปด้วยสีหน้าขึงขังทันที  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูคารวะไทเฮาแล้ว ก็ปีนป่ายลุกขึ้นมาเดินตามหลังไป  

 

 

ไทเฮามองตามแผ่นหลังของท่าป๋าหั่นหลินที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่รู้เพราะอะไร นางกลับรู้สึกว่าลูกของตนคนนี้ไม่เหมือนที่ปากเขาพร่ำบอกไม่ชอบหวงฝู่เย่าเย่ว์แม้แต่นิดเดียว  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินนั่งเกี้ยวพระที่นั่งมาถึงที่เกี้ยวประดับหงส์หยุดอยู่ เมื่อเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์โยนมงกุฎหงส์ทิ้งไป และเปิดผ้าคลุมศีรษะออก ความเดือดพล่านในใจก็ลุกโชนกว่าเดิม หลังจากลงจากเกี้ยวพระที่นั่งแล้ว ก็เดินตรงไปข้างหน้านางทันที แล้วพูดอย่างประชดประชันว่า “มารยาทที่จวนอ๋องฉีสั่งสอนมามีเพียงแค่นี้สินะ แม้แต่ระเบียบประเพณีงานแต่งยังไม่รู้เลย” 

 

 

เมื่อได้ยินเขาพาดพิงถึงครอบครัว หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็รู้สึกโมโหยิ่งกว่าเขา นางพูดย้อนอย่างประชดเสียดสี “มารยาทจวนอ๋องฉีของข้าจะไม่ดีอย่างไร ก็ดีกว่าเจ้าแล้วกัน เจ้าไม่ปรากฏตัว ไม่แม้แต่จะจัดพิธีในวันสมรสเช่นนี้ นี่หรือคือมารยาทของราชวงศ์เจ้า” 

 

 

“เจ้า…” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก  

 

 

“ท่าป๋าหั่นหลิน ก่อนหน้านี้เจ้ามาจวนอ๋องฉีนับครั้งไม่ถ้วน แสวงหาทุกวิถีทางให้พ่อแม่ข้ายินยอมให้ข้าแต่งงานกับเจ้า แต่วันนี้เจ้ากลับทำเช่นนี้ เจ้าคงคิดว่าเมื่อข้าหวงฝู่เย่าเย่ว์เหยียบเข้าประตูวังหลวงของเจ้าแล้ว จะยอมให้เจ้าคอยบงการ จวนอ๋องฉีของเราจะทำอะไรไม่ได้หรือ ฮ่องเต้รัฐอู่ของเราจะกลัวเจ้าหรือ” 

 

 

ทุกประโยคของนางทิ่มแทงใจท่าป๋าหั่นหลินจนเขาพูดอะไรไม่ออก 

 

 

ใช่สิ การที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ออกเรือน ไม่ได้หมายความถึงนางเพียงผู้เดียว แต่ข้างหลังนางยังมีจวนอ๋องฉี ยังมีฮ่องเต้หวงฝู่ซวิ่น และยังมีทหารรัฐอู่อีกนับไม่ถ้วน หากวันนี้เขาแผลงฤทธิ์ใส่หวงฝู่เย่าเย่ว์ แม้จะรู้สึกสะใจเพียงใด แต่นี่เป็นการไม่ไว้หน้าฮ่องเต้รัฐอู่ด้วย ซึ่งผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องให้คนอื่นบอกเขาก็รู้ดีแก่ใจ  

 

 

“วันออกเรือนของข้า เป็นตัวแทนของหน้าตารัฐอู่ หน้าตาของจวนอ๋องฉี ในฐานะที่เจ้าเคยช่วยชีวิตข้า แม้เจ้าจะรังแกข้า เย็นชาใส่ข้าอย่างไร ข้าก็ยอมได้หมด แต่เจ้าไม่ควรไม่สนใจจารีตประเพณี แม้แต่พิธีสมรสก็ไม่จัด ท่าป๋าหั่นหลิน เจ้าคิดว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างข้าต้องแต่งกับเจ้าเพียงคนเดียวหรืออย่างไร เจ้าคิดว่าข้าจะไม่กล้ายกเลิกงานแต่งหรือ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์จ้องไปที่ท่าป๋าหั่นหลิน นางหอบหายใจเพราะโกรธจนหน้าอกขยับขึ้นลง คำพูดที่พูดออกมาเสียงดังฟังชัด สีหน้าก็จริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่น้ำเสียงกลับเย็นยะเยือกและมีจุดยืนชัดเจน 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินหรี่ตาลง มองหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่อยู่ตรงหน้า ความสูงของนางที่ถึงระดับปลายจมูกของตนพอดี ใบหน้าเล็กที่สะสวยสวมชุดสีแดงทั้งตัว ผมเผ้าที่หลุดลุ่ยเล็กน้อย นางโตขึ้นกว่าเด็กน้อยที่ตนเคยเห็นเมื่อสามปีที่แล้ว แต่ดูภาพรวมแล้วร่างของนางยังคงเล็กและบอบบางนัก แต่ก็เพราะนางเป็นสาวร่างเล็กบอบบางเช่นนี้ เป็นสาวน้อยที่เขาดูถูก สาวน้อยที่คอยถูกตามใจ สาวน้อยที่เขาต้องคิดหาหนทางตบแต่งเพียงเพื่อสะสางความปรารถนาของฮ่องเต้องค์ก่อนหน้า บัดนี้รังสีแผ่ซ่านไปทั่วอย่างไม่มีใครเทียบเคียงได้ ราวกับว่าหากเขากล้าพูดสิ่งที่นางไม่ชอบแม้แต่คำเดียว นางก็กล้าสละทิ้งทุกอย่างไป สละความรักของตน แล้วหันหลังเดินออกจากวังหลวงไปอย่างไม่เกรงกลัวคำเยาะเย้ยของผู้คน  

 

 

เมื่อผู้คนในนั้นสัมผัสถึงอารมณ์โกรธถึงขีดสุดของหวงฝู่เย่าเย่ว์และท่าป๋าหั่นหลินแล้ว ต่างก็กลัวจนไม่กล้าหายใจ ระยะทางอันยาวไกลนี้ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ อากาศโดยรอบก็ถูกสถานการณ์ตึงเครียดนี้หยุดลง ทำให้ผู้คนในนั้นรู้สึกเสียวสันหลังวาบ  

 

 

ผ่านไปนาน นานจนบรรยากาศกดทับจนผู้คนหายใจไม่ออก เสียงของท่าป๋าหั่นหลินจึงดังขึ้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงหมดความอดทนและพยายามไกล่เกลี่ยว่า “แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร” 

 

 

“ข้าหวงฝู่เย่าเย่ว์เกิดในจวนอ๋องฉี ย่อมรู้กฎระเบียบทำนองคลองธรรมดี การสมรสของกษัตริย์ต้องจัดพิธีอย่างไรเจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่ได้เตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้ ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป ต้องจัดเตรียมอย่างไรก็จัดไปตามนั้น ความเอิกเกริกที่ต้องมี พิธีที่ใหญ่โต การป่าวประกาศแก่คนใต้หล้า ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว” 

 

 

“เจ้า…” ท่าป๋าหั่นหลินโกรธจนพูดอะไรไม่ออก 

 

 

จุดประสงค์ของเขาในวันนี้คือการทำให้นางขายหน้า เพื่อแก้แค้นจวนอ๋องฉีที่ทำให้ตนอับอายขายหน้ามาหลายครั้งหลายครา แต่ตอนนี้สิ่งที่นางขอไม่ต่างจากงานสมรสตามธรรมเนียมของกษัตริย์เลย เขาไม่อยากจัดพิธีให้เอิกเกริกใหญ่โต ที่เขาตบแต่งนางเพียงแค่ต้องการทรมานนาง เหตุใดเขาต้องจัดพิธีสมรสใหญ่โตต่อหน้าประชาชนใต้หล้า เหตุใดต้องอยู่บนบัลลังก์กับนาง ให้คนใต้หล้าเคารพชื่นชมล่ะ  

 

 

ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ใบหน้าก็คร่ำเครียดลงกว่าเดิม สายตาก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ราวกับว่าจะฉีกเนื้ออันบอบบางที่อยู่ตรงหน้านั้นให้แหลกเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์มองเขาอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะถึงวันนี้ นางจินตนาการท่าป๋าหั่นหลินไว้มากมาย จิตนาการว่าเขาจะรักเอ็นดูและมีเพียงนางคนเดียวในสายตาเหมือนท่านพ่อ จินตนาการว่าเขาจะเหมือนพี่เขยของตน ที่มักจะมองพี่ใหญ่ตลอดเวลาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก แต่ตอนนี้นางรู้ว่าตนคิดผิดไปแล้ว ผิดมหันต์ ท่าป๋าหั่นหลินไม่ชอบนาง การกระทำก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา นางเกลียดเขา เกลียดมาก เกลียดที่สุด เกลียดจนตอนนี้สายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง  

 

 

แต่ว่า นางจะยอมเขาไม่ได้ ไม่ใช่เพราะนางไม่ฟังคำห้ามปราม และทำตามอำเภอใจจนได้งานแต่งนี้มา แต่เพราะว่านางจะทำให้จวนอ๋องฉี ท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เสียหน้าและไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้คนไม่ได้ 

 

 

สถานการณ์ตึงเครียดนัก ทั้งสองไม่มีใครยอมใคร  

 

 

มือของท่าป๋าหั่นหลินกำหมัดแน่นแล้วคลายออก คลายแล้วก็กำ สายตาจ้องไปที่คอของหวงฝู่เย่าเย่ว์ คิดอยากจะบีบคอนางเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์จ้องเขม็งไปที่เขาอย่างไม่คิดจะอ่อนข้อให้ ความยืนหยัดและจุดยืนในสายตานั้นสลักลงบนดวงตาของท่าป๋าหั่นหลินอย่างชัดเจน  

 

 

ผ่านไปนาน นานจนคนรอบข้างที่กลั้นหายใจอยู่เกือบจะล้มหงายหลังไป ท่าป๋าหั่นหลินจึงกัดฟันกรอดเปล่งเสียงเล็ดลอดออกมาทางซี่ฟันว่า “ส่งสาสน์ออกไป จัดพิธีเหมือนเดิม” 

 

 

ทุกคนถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน แล้วเพิ่งรู้สึกว่าแขนขาของตนอ่อนแรง จนแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ถอนหายใจโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอก นางหันศีรษะไป สั่งหัวหน้าองครักษ์ “ปล่อยคนเดี๋ยวนี้!” 

 

 

ฮ่องเต้ก็ยอมนางแล้ว องครักษ์เหล่านี้จะไม่ยอมทำตามคำสั่งได้อย่างไร เขารีบปล่อยมือออกทันที  

 

 

สาวใช้กลับไปข้างกายหวงฝู่เย่าเย่ว์  

 

 

“ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” 

 

 

“ฮองเฮา บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ” 

 

 

“อื้ม!” หวงฝู่เย่าเย่ว์หันหลังกำลังจะเดินเข้าไปในเกี้ยวประดับหงส์ 

 

 

“ช้าก่อน!”  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเอ่ยปากห้ามนางไว้  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์หันศีรษะกลับมา  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินสีหน้าคร่ำเครียด ชี้ไปที่มงกุฎหงส์ที่ตกอยู่บนพื้น “สวมมันด้วย” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เหลือบตาไปมอง เพราะความโมโหเมื่อครู่นี้ นางโยนมงกุฎหงส์ลงบนพื้นอย่างแรง เม็ดไข่มุกที่ฝังอยู่บนมงกุฎหลุดกระจัดกระจายไปทั่ว มงกุฎหงส์ไม่เหลือสภาพความหรูหราแล้ว นางมองกลับมา มองไปที่ท่าป๋าหั่นหลิน แล้วถามอย่างใจเย็นว่า “ฝ่าบาทอยากให้ข้าสวมมงกุฎเช่นนี้ปรากฏต่อหน้าผู้คนหรือ ไม่น่าเวทนาไปหน่อยหรือเพคะ” 

 

 

“แล้วนี่ไม่ใช่เพราะฝีมือเจ้าหรือ” ท่าป๋าหั่นหลินถามเสียงขรึม  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่งยิ้มให้ดั่งดอกไม้แรกแย้ม นางยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “เป็นฝีมือของข้าแล้วอย่างไร หนึ่งในสาเหตุนั้นไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ” 

 

 

“เจ้า…” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินโกรธจนพูดอะไรไม่ออก