ตอนที่ 973 เหมยหนึ่งกิ่ง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 973 เหมยหนึ่งกิ่ง

เถิงหยวนชิวใจกระตุกเล็กน้อย

ยังมิทันได้เริ่มดื่มสุราเลย เหตุใดบุตรีถึงวิ่งเข้ามาข้างในแล้วล่ะ ?

นายท่านผู้นี้คือองค์จักรพรรดิเชียวนะ !

เจ้ามิกลัวฝ่าบาทสงสัยว่ามีพิรุธแล้วจะสั่งตัดศีรษะของเจ้าหรือ ?

ทันทีที่เถิงหยวนชิวเห็นสีหน้าของฟู่เสี่ยวกวน จึงรีบเอ่ยออกมาทันทีว่า “ทูลฝ่าบาท เรื่องเป็นเยี่ยงนี้พ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนดึงสายตากลับมา ได้ยินเถิงหยวนชิวเอ่ยว่า “บุตรสาวของกระหม่อมชื่นชอบในวัฒนธรรมของประเทศต้าเซี่ยมาโดยตลอด และนางยังเลื่อมใสในฝ่าบาทมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”

“ประเดี๋ยวก่อน เจิ้นมิเคยพบบุตรีของท่านมาก่อน แล้วจะมีความเลื่อมใสได้เยี่ยงไรกัน ? ”

เถิงหยวนชิวยังมิทันได้อธิบาย เถิงหยวนจี้เซียงก็มายืนอยู่เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว นางทำความเคารพและกล่าวอวยพรพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย น้ำเสียงก็อ่อนหวานมากยิ่งนัก “หม่อมฉัน เถิงหยวนจี้เซียง ขอถวายพระพรฝ่าบาท ชื่อเสียงของฝ่าบาทขจรไกลมาถึงที่นี่ตั้งแต่ห้าปีที่แล้วเพคะ หม่อมฉันเคยอ่านความฝันในหอแดงที่ฝ่าบาททรงประพันธ์ขึ้นมา ทั้งยังเคยได้ยินบทกวีและบทความจำนวนมากที่ฝ่าบาททรงประพันธ์ขึ้นมา”

“หม่อมฉันสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอดว่าฝ่าบาทเป็นบุรุษเยี่ยงไร วันนี้… วันนี้จึงมิสามารถอดทนรอต่อไปได้ ฝ่าบาทโปรดประทานอภัยให้แก่หม่อมฉันด้วยเพคะ”

แฟนคลับของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าตนเองจะมีชื่อเสียงในหยวนตงเต้าแห่งนี้ด้วย ทั้งยังมีผู้เลื่อมใสหนักถึงเพียงนี้

เขาหัวเราะร่าขึ้นมา “มิเป็นไรหรอก เพียงแต่นามของเจ้า…”

เถิงหยวนจี้เซียงเงยหน้าขึ้นมา สายตาจดจ้องไปที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนโดยมิหันเห หัวใจของนางสั่นระรัวขึ้นมาทันใด จักรพรรดิพระองค์นี้…เต็มไปด้วยความสามารถทางด้านวรรณกรรมทั้งยังรูปงามมากยิ่งนัก !

“นามของหม่อมฉันมีอันใดเยี่ยงนั้นหรือเพคะ ? ”

“อ่า…มิมีอันใด เพียงแค่คิดว่าช่างไพเราะมากยิ่งนัก”

“เยี่ยงนั้นก็ดีแล้วเพคะ ฝ่าบาท…หม่อมฉันขอบังอาจชนสามจอกกับพระองค์ได้หรือไม่เพคะ ! ”

ยังจะสามารถปฏิเสธอันใดได้อีกกัน “ทำตามใจเจ้าเถิด”

เถิงหยวนชิวเมื่อเห็นดังนั้นก็ลอบปลาบปลื้มอยู่ในอก ฝ่าบาทมิได้ปฏิเสธการชนจอกสุราจากบุตรี หมายความว่าฝ่าบาทประทับใจในตัวบุตรีมิน้อย

เดิมทีบุตรีผู้นี้เป็นสตรีที่มีพรสวรรค์และมีชื่อเสียงในเจียงฮู่อยู่แล้ว หากแคว้นหลิวยังมิได้ล่มสลายก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่บุตรีจะถูกเลือกเข้าวังไปเป็นชายาเอกขององค์รัชทายาท

แน่นอนว่าจะดีมากยิ่งนักถ้าบุตรีเป็นที่ต้องพระทัยของฝ่าบาท… ความคิดของเถิงหยวนชิวเริ่มเคลื่อนไหวทันที

ณ หยวนตงเต้าแห่งนี้ ตัวตนของบุตรีต้อยต่ำเสียยิ่งกว่าสตรีในประเทศต้าเซี่ยเสียอีก

สำหรับขุนนางเฉกเช่นเขาแล้ว บุตรีล้วนถูกใช้ในการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ ครานี้หากสามารถเชื่อมถึงตัวฝ่าบาทได้ก็เกรงว่าต่อจากนี้ไป ตระกูลเถิงหยวนจะสามารถพัฒนาให้รุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้อีกเรื่อย ๆ

ในช่วงที่เขากำลังลูบเคราและทำการครุ่นคิดอยู่นั้น เถิงหยวนจี้เซียงก็ได้รินสุรา 2 จอก จากนั้นก็ส่งหนึ่งจอกให้กับฟู่เสี่ยวกวน

“จอกที่หนึ่ง หม่อมฉันขอขอบพระทัยฝ่าบาทมากยิ่งนัก หม่อมฉันเชื่อว่าหยวนตงเต้าที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝ่าบาทจะต้องเจริญรุ่งเรืองเป็นแน่เพคะ ! ” นางถลกแขนเสื้อขึ้นหนึ่งข้าง จากนั้นก็ดื่มสุราในจอกจนหมดรวดเดียว

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเล็กน้อยและดื่มสุราจนหมดจอกเช่นกัน

เถิงหยวนจี้เซียงรินสุราจอกที่สอง “สุราจอกนี้หม่อมฉันขอดื่มให้แก่บทกวีของฝ่าบาท หม่อมฉันย่อมมิเข้าใจเรื่องศึกสงคราม ทว่าความรู้สึกที่หม่อมฉันมีต่อบทกวีของฝ่าบาท…” ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ นางกัดริมฝีปากเล็กน้อย “หม่อมฉันเคยขอร้องท่านจิ่งเปียนและองค์หญิงยิงฮวา ทว่าพวกเขามิเคยพาหม่อมฉันไปยังเมืองกวนหยุนด้วยเลยเพคะ”

“หม่อมฉันเสียใจมากยิ่งนัก คิดว่าคงเป็นการยากแล้วที่จะได้พบฝ่าบาท สุราจอกนี้จึงขอดื่มจนหมดจอกที่ได้รับเกียรติจากฝ่าบาท ! ”

ทันทีที่จอกที่สองไหลลงกระเพาะ เถิงหยวนจี้เซียงก็รินจอกที่สามต่อ

นางจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าแดงก่ำ “สุราจอกที่สามนี้หม่อมฉันหวังว่า… หวังว่าฝ่าบาทจะสามารถพาหม่อมฉันไปประเทศต้าเซี่ยด้วย เพราะหม่อมฉันชื่นชอบในวัฒนธรรมของประเทศต้าเซี่ยมากยิ่งนัก และหวังจะนำวัฒนธรรมที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้นมาเผยแพร่ที่หยวนตงเต้า ขอฝ่าบาททรงอย่าปฏิเสธเลยเพคะ ! ”

นางดื่มจอกที่สามรวดเดียวหมดเช่นกัน จากนั้นก็วางจอกสุราลงพลางหันไปทางฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็พยักหน้าช้า ๆ

“ถือเป็นเรื่องดี เพียงแต่ว่า…หากเจ้าเดินทางไปในครานี้ การจะกลับมาที่นี่อีกคราคงต้องรอเวลาอีกหลายวันเลยทีเดียว”

“ขอบพระทัยเพคะ ! เรื่องนั้นมิเป็นไรเลยเพคะ ต่อให้ต้องอยู่ทางนั้นไปชั่วชีวิต หม่อมฉันก็ยินยอมเพคะ”

เถิงหยวนจี้เซียงมีความสุขมากยิ่งนัก รอยยิ้มบนใบหน้าแย้มบานราวกับบุปผา

“ขอเชิญฝ่าบาทรวมถึงพรรคพวกรื่นเริงไปกับสุราและอาหารเถิดเพคะ หม่อมฉันจะบรรเลงบทเพลงให้สดับฟัง”

นางวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในใจของเถิงหยวนชิวเต็มไปด้วยความสุข เขารีบชักชวนฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ให้ดื่มสุราและทานอาหารจนบรรยากาศพลันรื่นเริงขึ้นมา

ในความคิดของเถิงหยวนชิวคือการที่บุตรีสามารถอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนได้คือความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่แล้ว

หากอาศัยพรสวรรค์และรูปลักษณ์ของบุตรี เขาเชื่อว่าจักรพรรดิพระองค์นี้ย่อมมิสามารถนั่งนิ่งไร้การไหวติงได้อีกต่อไป

ขอเพียงฝ่าบาททรงสนพระทัย บุตรีก็จะเป็นคนของพระองค์ทันที ส่วนเรื่องฐานะในวังหลังนั้น… มีฐานะถือเป็นการดีที่สุด ทว่าหากมิมีก็สามารถยอมรับได้เช่นกัน

แต่ในความคิดของฟู่เสี่ยวกวนคือความแตกต่างทางวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศค่อนข้างกว้าง หากมีคนช่วยเผยแพร่ก็จะทำให้รวมสถานที่แห่งนี้เข้ากับประเทศต้าเซี่ยได้เร็วยิ่งขึ้น ย่อมเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน

ข้อตกลงที่รู้กันนี้ล้วนมีพยานรู้เห็นมากมาย เพียงแต่เป้าหมายของทั้งสองฝ่ายกลับมิเหมือนกัน

หลังจากดื่มสุรากันไปสามจอก เถิงหยวนจี้เซียงก็หอบฉินตัวหนึ่งเดินเข้ามา

นางนั่งลงอีกฟากหนึ่งพลางวางฉินลงกับพื้น จากนั้นนิ้วเรียวก็จรดลงไปบนสาย เสียงฉินดังกังวานไปทั่วทั้งห้อง

นางสวมชุดกิโมโนสีเขียวอ่อนแบบดั้งเดิม คุกเข่าลงด้านข้างฉิน เส้นผมสลวยพาดไหลตกลงมาปกปิดลำคอขาวผ่อง ร่างของนางเริ่มโยกน้อย ๆ ไปตามเสียงฉินราวกับต้นหลิวข้างแม่น้ำฉินหวาย

นางได้บรรเลงเพลงเบิกโรงพลางเงยหน้าขึ้นมา ทันใดนั้นก็สบเข้ากับดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนพอดิบพอดี

หัวใจของนางสั่นระรัวและเริ่มเอื้อนเอ่ยขับร้องออกมา

“ประตูปิดฝนกระทบดอกสาลี่ ทำผิดต่อวัยเยาว์ ทรยศต่อความเยาว์วัย

จะแบ่งปันความปีตินี้กับใคร โศกเศร้าใต้บุปผา โศกาใต้จันทรา…”

เป็นครั้งแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ฟังการขับร้องนี้ เขาอดยอมรับมิได้ว่าเป็นบทกวีที่ดีมากยิ่งนัก และสตรีนามเถิงหยวนจี้เซียงผู้นี้ก็ขับร้องได้ดีมากเช่นกัน

นี่คือบทกวีที่เขาประพันธ์ไว้ในงานชุมนุมวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู๋เมื่อปีนั้น ทว่าในยามนั้นมิได้มีอารมณ์ร่วมเท่าใดนัก แต่เมื่อได้ฟังในตอนนี้ความรู้สึกก็พลุ่งพล่านขึ้นมาเล็กน้อย

เขาพยายามหาเหตุผลและข้ออ้างเพื่อวิ่งหนีมาไกลในมหาสมุทรเช่นนี้ และมิทราบเช่นกันว่าพวกเวิ่นหวินจะกลับไปหรือยัง

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปราวกับรู้สึกอ้างว้าง เถิงหยวนจี้เซียงที่มองดูอยู่รู้สึกใจเจ็บมิน้อย ราวกับนางอ่านความโศกเศร้าบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนออก ราวกับได้เดินเข้าไปในจิตใจของเขาและเพิ่งรู้สึกว่าจักรพรรดิพระองค์นี้ยังมีความอ่อนแอซ่อนอยู่ภายในจิตใจอีกด้วย

“ระทมจนคิ้วขมวดทั้งวัน คราบน้ำตานับพัน รอยน้ำตานับหมื่น”

“ฟ้าสางมองนภาย่ำค่ำมองเมฆี เดินก็นึกถึงพระองค์ นั่งลงก็คะนึงถึงพระองค์… ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ในบทเพลงนี้ จึงได้พบว่าบทกวีที่ตนเป็นผู้ประพันธ์นี้คล้ายกับกำลังเอ่ยถึงความในใจของเขาเอง

ควรกลับได้แล้ว เมื่อกลับไปต้องปลอบประโลมเวิ่นหวินสักหน่อย

เถิงหยวนจี้เซียงระบายความในใจโดยอาศัยบทเพลงนี้ นางค่อย ๆ ดึงสายตากลับมา นิ้วมือยังคงกรีดกรายอยู่บนสายฉิน ทว่าภายในใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันพลัน พระองค์ทราบถึงความในใจของหม่อมฉันหรือไม่ ?

พระองค์เป็นจักรพรรดิผู้สูงส่ง พระองค์จะเห็นใจหม่อมฉันหรือไม่ ?

มิมีผู้ใดทราบถึงความคิดที่อยู่ภายในใจของฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้เขาต้องการเมาเพื่อลืมทั้งคนที่ล่วงลับและเรื่องราวในอดีตทั้งหมด

ฟู่เสี่ยวกวนเมามายแล้ว

หลิวจิ่นมิได้ให้ไป๋ยู่เหลียนพาฟู่เสี่ยวกวนกลับไปยังพระราชวังแต่อย่างใด

ทว่าเขาให้เถิงหยวนชิวจัดห้องใหม่ให้ห้องหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยกับเถิงหยวนชิวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่าหลังจากเถิงหยวนจี้เซียงอาบน้ำเสร็จแล้ว ให้พาตัวมายังห้องนี้

ในราตรีนี้ หลิวจิ่น ไป๋ยู่เหลียนและเป่ยหวังฉวนได้ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง

“เหตุใดต้องทำเยี่ยงนี้ด้วย ? ” ไป๋ยู่เหลียนจ้องหลิวจิ่นตาเขม็ง

“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเป็นขันทีและฝ่าบาท…ทรงเป็นบุรุษที่ปกติดี พระองค์ทรงเหนื่อยล้าเกินไป จำต้องมีสิ่งใดมาปลดปล่อยความกดดันภายในพระทัยสักหน่อย”

ในราตรีนี้ เถิงหยวนจี้เซียงก็ได้กลายเป็นสตรีเต็มตัวท่ามกลางลมพายุบ้าคลั่ง

วันรุ่งขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง สายตาแน่วแน่ไร้ซึ่งร่องรอยเหี่ยวเฉาเจือปนราวกับพลังกายได้ถูกเติมเต็มแล้ว !