ตอนที่ 974 ใบไม้ร่วงสีทอง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 974 ใบไม้ร่วงสีทอง

นับจากวันที่ประเทศต้าเซี่ยได้สถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการในรัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม เดือนสี่ วันที่สิบแปด พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว

ในเวลาครึ่งปีนี้ ต้าเซี่ยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่

เดิมทีแคว้นฝานซึ่งกลายมาเป็นมณฑลต้าหลี่และเยวี่ยซานในปัจจุบัน ตอนแรกได้เกิดเหตุจลาจลขึ้นหลายครา ทว่าท้ายที่สุดภายใต้การจัดการของทหารดาบเทวะกองทัพที่สองจึงทำให้สถานการณ์สงบลงอย่างรวดเร็วและมิเคยเกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกเลยนับจากนั้น

ส่วนอดีตแคว้นอี๋บัดนี้ได้กลายมาเป็นจิงตงและเหอเป่ยทั้งสี่มณฑล แรกเริ่มกวนเสี่ยวซีรู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งนัก แต่คาดมิถึงว่าพอมีเต้าถายขึ้นดำรงตำแหน่งและประกาศนโยบายออกไปก็มิมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย…

ชาวบ้านทั้งสี่มณฑลนี้ อดีตเคยอยู่ภายใต้การปกครองของเยียนหานยวี่ จึงลำบากยากเข็ญมากยิ่งนัก กองโจรป่าเหล่านั้นเมื่อได้รับรู้ถึงนโยบายก็ได้พากันออกมาจากป่าและเข้ามอบตัวที่จวนจือโจวของแต่ละท้องถิ่นด้วยความสมัครใจ

พวกเขาได้กลับสู่ท้องถิ่นเดิมและด้วยการจัดการของขุนนาง พวกเขาจึงได้สร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่อีกครา

มณฑลจิงตงและเหอเป่ยได้มีการก่อสร้างคราใหญ่ขึ้น ถนนหนทางถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีสามเส้นทางหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย…เส้นทางจากจิงตงเชื่อมต่อไปยังถนนใหญ่ตงชวนแห่งชื่อเล่อชวน มณฑลเยวี่ยซานเชื่อมต่อไปยังถนนใหญ่เยวี่ยหวยแห่งหวายหนานตงเต้า และยังมีการเชื่อมต่อจากมณฑลจิงตงไปยังถนนใหญ่ตงโม่แห่งโม่โจวเต้าอีกด้วย

นี่เป็นสามเส้นทางหลัก ที่ใช้สัญจรไปมาหาสู่ของทั้งสามแคว้นดั้งเดิม

โครงการถนนสายหลักทั้งสามโครงการมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็วเนื่องจากการมีส่วนร่วมของเกษตรกรหลายล้านคนที่ประสบภัยแล้ง จากการคาดเดาของกวนเสี่ยวซีคิดว่าใช้เวลาเพียงหนึ่งปีก็จะเสร็จสิ้นโครงการ

ในขณะเดียวกันถนนที่ใช้สัญจรภายในมณฑลจิงตงทั้งสองและมณฑลเหอเป่ยทั้งสอง ก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายใต้ความร่วมมือจากราษฎรนับล้านคนเช่นกัน

นี่คือการก่อสร้างที่ราษฎรทุกคนร่วมมือกันสร้างขึ้นมา รวมไปถึงสำนักศึกษา ศูนย์การแพทย์ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและบ้านพักคนชราเป็นต้น

ชาวบ้านเหล่านี้ใช้แรงงานมาแลกเงิน จากแผนการที่ฟู่เสี่ยวกวนได้วางเอาไว้ก็คาดว่าในปีหน้าพวกเขาคงมีเงินทุนเพียงพอที่จะทำการเพาะปลูกข้าวในฤดูใบไม้ผลิ

ทุกสิ่งอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งได้แบ่งทหารจำนวน 10,000 นายไว้คุ้มกันเมืองไท่หลิน จากนั้นในวันที่หนึ่ง เดือนสิบ กวนเสี่ยวซีได้พาทหารกลุ่มใหญ่ที่เหลือเดินทางกลับไปยังฐานทัพแห่งชื่อเล่อชวน

เขามิได้หยุดอยู่ที่ค่าย ทว่ากลับเดินทางไปยังรัฐลู่ฉี ซึ่งจุดมุ่งหมายของเขาก็คือเผ่าหวานเหยียน

เขายืนอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ แล้วเฝ้ามองจากระยะไกล ที่อยู่อาศัยของชนเผ่าตั้งเรียงกันเป็นแถวบนทุ่งหญ้าสีทอง บ้านเรือนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ…นี่มิใช่เรือนสักหลาดทว่าเป็นบ้านถาวรของชนเผ่าหวานเหยียน

มันคือหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง

ที่ตั้งอยู่ภายใต้ท้องนภาสีคราม มองดูแล้วช่างงดงามมากยิ่งนัก

โดยรอบเต็มไปด้วยฝูงแกะ คาดว่าคนเลี้ยงสัตว์เหล่านั้นยังมิเลิกงาน

บัดนี้ชนเผ่าหวานเหยียนได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ชนเผ่าของพวกเขาขยายใหญ่ขึ้นและมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นจากเดิมในช่วงสองปีนี้ถึงสองเท่าตัว !

ชายชาตรีในชนเผ่าได้แต่งงานกับบุคคลภายนอก และพวกเขาล้วนให้กำเนิดบุตร

บัดนี้ในหมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยคนชรา คนสูงวัย เยาวชนและเด็กเล็ก

กวนเสี่ยวซียืนอยู่ไกลออกไป พลันได้ยินเสียงเด็กร้องไห้งอแงและมีเสียงสตรีหัวร่อต่อกระซิกกันลอยมาตามสายลม

เขาจึงกระโดดลงมาจากหลังอาชา จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนี้ พบว่าถนนในหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นมาแล้ว และบนถนนนั้นมีร้านค้าเปิดอยู่ 1 ร้าน

กวนเสี่ยวซีรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด เขาก้าวเข้าไปในร้านขายของจิปาถะแห่งนั้น พบว่าด้านในมีสตรีสวมชุดผ้าฝ้ายที่มาจากพื้นที่อื่น

นางคือหลานสาวของหวานเหยียนหงเลี่ยซึ่งมีนามว่าหวานเหยียนเสวี่ยเหลียน

หวานเหยียนเสวี่ยเหลียนนั่งปักผ้าอยู่หลังโต๊ะ ของสิ่งนี้หัวหน้าเผ่าเผิงยวี๋เยี่ยนเป็นคนสอนพวกนาง มิใช่เพราะต้องการให้พวกนางมีงานทำ ทว่าท่านหัวหน้าเผ่าเอ่ยว่า…สตรีของประเทศต้าเซี่ยต้องยกดาบสังหารศัตรูได้และต้องมีความเป็นกุลสตรีปักผ้าเป็น

เนื่องด้วยเหตุนี้ท่านหัวหน้าเผ่าจึงได้ก่อตั้งกองทัพสตรีขึ้นมา

หวานเหยียนเสวี่ยเหลียนคือหัวหน้ากองทัพสตรีและนางก็นับถือเผิงยวี๋เยี่ยนเป็นอาจารย์ เพราะนางได้เรียนวิชาดาบมาจากเผิงยวี๋เยี่ยน

เรื่องที่เคารพยกย่องเผิงยวี๋เยี่ยน หวานเหยียนเสวี่ยเหลียนทำออกมาจากใจจริง เนื่องจากท่านอาจารย์มีความรู้มากมาย มิว่าจะเป็นเรื่องการทำสงครามหรือวรยุทธขั้นสูง !

ท่านอาจารย์คือวีรสตรีผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เพียงแต่รู้สึกว่าในครานี้หลังจากที่ท่านอาจารย์กลับมาก็เหมือนมีเรื่องหนักใจมากเลยทีเดียว

ต่อมาจึงได้รับรู้จากปากของท่านย่าว่า…สามีของท่านอาจารย์สิ้นลมแล้ว

เขาพลีชีพในสนามรบ

นางจึงเดินทางไปยังเรือนของท่านอาจารย์แล้วเอ่ยว่าจะแก้แค้นให้แก่สามีของท่านอาจารย์เอง แต่คาดมิถึงว่าจะถูกท่านอาจารย์ปฏิเสธโดยมิลังเลเลยสักนิด

ท่านอาจารย์เอ่ยว่านั่นคือชะตากรรมของเขา

หวานเหยียนเสวี่ยเหลียนอายุเพียง 16 ปี นางจึงมิเข้าใจว่าสิ่งใดคือชะตากรรม นางรู้เพียงแค่ว่าท่านอาจารย์ขาดคนอยู่เคียงข้างยามทุกข์สุขไปแล้ว คาดว่าอาจารย์จะเหงามากยิ่งนัก

ต่อมานางจึงได้รู้ว่าเพราะเหตุใดท่านอาจารย์ถึงห้ามมิให้นางมีความพยาบาทอยู่ภายในใจ เพราะตัวนางมิมีความสามารถเพียงพอที่จะแก้เเค้นนั่นเอง

ในใจของนางยังมีความมิมั่นคงและไร้สมาธิอยู่ ดังนั้นท่านอาจารย์จึงให้นางนั่งปักผ้าเยี่ยงนี้

การปักผ้ายุ่งยากกว่าการหยิบดาบมาร่ายรำเสียอีก หวานเหยียนเสวี่ยเหลียนพยายามรวบรวมสมาธิและแทงเข็มทะลุผ้าไปอย่างเชื่องช้า “โอ๊ย… ! ”

นางวางผ้ากับเข็มลง จากนั้นก็นำนิ้วที่ถูกเข็มทิ่มยัดเข้าไปในปาก จึงได้รู้ตัวว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน

นางจ้องมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้น พบว่าเป็นชายแปลกหน้า

ชนเผ่าหวานเหยียนนับว่าค่อนข้างห่างไกลจากความเจริญ ร้านค้านี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยท่านอาจารย์เพื่อให้คนในหมู่บ้านจับจ่ายใช้สอยได้อย่างสะดวก

เขามาจากที่ใดกัน ?

“ท่าน…ต้องการซื้อสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

กวนเสี่ยวซีจ้องมองแม่นางผู้นี้ จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้น ทำให้ใบหน้าของหวานเหยียนเสวี่ยเหลียนขึ้นสีแดงระเรื่อ “ขอข้าเดินดูก่อน”

“…ท่านเป็นคนต่างถิ่นใช่หรือไม่ ? ”

“อืม…จะว่าใช่ก็ใช่ ค้าขายเป็นเยี่ยงไรบ้างดีหรือไม่ ? ”

“ขายอันใดมิค่อยได้หรอกเพราะถนนในหมู่บ้านเชื่อมต่อไปยังเมืองซินโจว ดังนั้นการเดินทางไปซื้อของที่นั่นค่อนข้างสะดวก ทั้งยังมีหลากหลายกว่ามาก… ท่านมาจากเมืองใดกัน ? ”

“เมืองยวี่ซิ่ว”

หวานเหยียนเสวี่ยเหลียนตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด “มาจากเมืองหลวงของรัฐเชียวหรือ ? ข้าได้ยินว่าที่นั่นรุ่งเรืองมากยิ่งนักใช่หรือไม่ ? ”

นี่คือเรื่องจริงมิผิดเพี้ยน เนื่องจากทุกวันนี้การค้าขายเกลือขาว, แร่เหล็ก, เครื่องแก้ว, น้ำหอม, สัตว์น้ำ, สัตว์ใหญ่, แกะและม้าจำนวนมากในชื่อเล่อชวนเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งนัก ผู้ค้าขายที่เดินทางมาจากทุกหนทุกแห่งจะอาศัยอยู่ในเมืองยวี่ซิ่วเนื่องจากค่อนข้างปลอดภัย

บรรดาพ่อค้ามักรวมตัวกันอยู่ที่เมืองยวี่ซิ่ว สินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ที่ควบคุมโดยส่วนราชการก็รวมกันอยู่ในเมืองยวี่ซิ่วเช่นกัน ส่งผลให้เมืองหลวงยวี่ซิ่วเจริญรุ่งเรืองอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน

เมื่อคราที่แคว้นฮวงถูกทำลายล้าง เมืองยวี่ซิ่วมีชาวฮวงอยู่มิถึง 1 ล้านคน

เวลาผ่านไป 4 ปี บัดนี้เมืองยวี่ซิ่วมีประชากรมากถึง 3 ล้านคน !

ด้วยเหตุนี้ ท่าป๋าคังผู้ว่าการสูงสุดจึงได้ทำการกระจายประเภทของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้ออกไปตั้งยังเมืองอื่นบ้าง เพื่อควบคุมจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นของเมืองยวี่ซิ่วให้เหลือเพียง 2 ล้านคนเพื่อเป็นการช่วยลดความแออัด… แต่ถึงเยี่ยงไรก็ยังมากกว่าประชากรเดิมถึงหนึ่งเท่าตัว !

ผู้คนที่เพิ่มขึ้นมานั้น สามส่วนมาจากรัฐต่าง ๆ ของชื่อเล่อชวน อีกเจ็ดส่วนมาจากราชวงศ์หยูและแคว้นอี๋ดั้งเดิม

พวกเขาตั้งหลักปักฐานอยู่ในชื่อเล่อชวนและได้ทำการค้าขาย ไม่ก็นำสินค้าต่าง ๆ ในชื่อเล่อชวนไปขายให้แก่มณฑลอื่น

“เมืองยวี่ซิ่วเจริญรุ่งเรืองมากก็จริง แต่ข้าคิดว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ ของพวกเจ้าก็มิเลว”

หวานเหยียนเสวี่ยเหลียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เพราะในความคิดของนางคือโลกภายนอกจึงจะเรียกว่างดงามอย่างแท้จริง

“ท่านเดินทางมาเยี่ยมญาติหรือพบมิตรสหาย ? ”

“…มาเยี่ยมญาติ”

หวานเหยียนเสวี่ยเหลียนยกยิ้มขึ้น ลักยิ้มทั้งสองข้างแก้มของนางงดงามดุจดอกสาลี่

“ที่นี่มีญาติของท่านอยู่ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มี”

“ผู้ใดกัน ? ข้ารู้จักทุกคนที่นี่”

“…นางแซ่เผิง นามว่าเผิงยวี๋เยี่ยน”

“หา ! ” แม่นางน้อยตกตะลึงขึ้นมาทันใด “ท่านหัวหน้าเผ่าคือญาติของท่านเยี่ยงนั้นหรือ ? เป็นญาติฝ่ายใดกัน ? ”

กวนเสี่ยวซีมิได้รู้สึกประหลาดใจสักเท่าใดนัก เพราะก่อนหน้านี้หวางเสี่ยวจ้วงเคยเดินทางมาที่นี่บ่อยครั้งและได้เล่าให้เขาฟังว่าเผิงยวี๋เยี่ยนคือหัวหน้าชนเผ่าคนปัจจุบัน

ว่าแต่นางนับเป็นญาติฝ่ายใดของข้ากันนะ ?

“นางคือท่านแม่ของข้า”

หวานเหยียนเสวี่ยเหลียนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

ท่านหัวหน้าเผ่ามีบุตรชายหน้าตาหล่อเหลาอยู่นอกพื้นที่ด้วยหรือ ? !