ตอนที่ 555 เป็นศัตรูกับแดนจิ่วโจว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“วันนี้ที่พวกเรามาเยี่ยมคารวะสำนักหยินหยาง มิใช่ว่าจะมาหาเรื่อง”

 

 

เจ้าแคว้นทองถึงกลับกรอกตาขาวอยู่ในใจ ไม่ได้มาหาเรื่อง หรือว่าจะมามอบศีรษะให้หรือยังไง?

 

 

ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนช่างสมกับคำเล่าลือนัก ล้วนมิใช่ตัวดี

 

 

คนผู้นี้ใช้เขาเป็นหินรองเท้า คิดใช้เขาเป็นหินปูทางเหยียบขึ้นไปตั้งแต่แรก!

 

 

พอเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ก็เริ่มแสดงท่าทีจะย้ายฝั่ง เจ้าคนทรยศ

 

 

“ครั้งก่อนหลังจากจบงานสุดยอดการประลอง ท่านเจ้าตำหนักของข้ามีความตั้งใจจริงจะสานไมตรีกับท่านเจ้าสำนัก เพียงแต่ท่านเจ้าสำนักเป็นผู้สูงส่งที่มีภารกิจมากมาย…..”

 

 

แม้ว่าต้าซือมิ่งจะมิได้เอ่ยออกมาอย่างหมดเปลือก แต่ว่าตอนนี้มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีความหมาย

 

 

“ท่านเองก็ทราบดีว่า ยาตันกว่าครึ่งหนึ่งในดินแดนจิ่วโจวล้วนมาจากวังตันติ่งกง ผู้น้อยพอดีได้รับมอบหมายให้ไปรับยาที่วังตันติ่งกง แต่ใครจะนึกว่าพอไปถึงวังตันติ่งกงจะเกิดเรื่องจนถึงขั้นถูกลบล้าง…..”

 

 

“เหล่าศิษย์ที่เหลือรอดในวังตันติ่งกงต่างก็ระบุออกมาว่าท่าน…. เพื่อหนุ่มน้อยผู้หนึ่งจึงเปิดการสังหารใหญ่โต”

 

 

“คิดๆดูแล้ว หนุ่มน้อยผู้นั้น ก็คงจะเป็นผู้ที่อยู่ข้างกายท่านในตอนนี้กระมัง”

 

 

ต้าซือมิ่งว่าต่อไป สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกก็รู้สึกว่าคุ้นตาอยู่บ้าง ตอนนี้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกว่าเดิม

 

 

“อย่าได้อ้อมค้อม มีเรื่องใดก็ว่ามา” ท่านเจ้าสำนักไม่ชอบแววตาที่เขามองไปที่ตู๋กูซิงหลันสักเท่าไร

 

 

เทียบกับเจ้าจินฮั่นฮั่นผู้นั้นแล้ว ต้าซือมิ่งผู้นี้เฉลียวฉลาดกว่ามาก

 

 

เขาประคองหมัดขึ้นมาคำนับอีกครั้ง กล่าวต่อไปว่า “ดินแดนจิ่วโจวไร้ความสงบสุขมาโดยตลอด เจ้าวังตันติ่งกงได้รับความชื่นชมจากทั่วแผ่นดินจิ่วโจว มีฐานะที่สำคัญเพียงไร คงไม่จำเป็นจะต้องให้ผู้น้อยอธิบายแล้ว”

 

 

“ตอนนี้ท่านเจ้าสำนักสังหารท่านเจ้าวังเพื่อหนุ่มน้อยผู้นี้ ทั้งยังลบล้างวังตันติ่งกงทั้งวัง……เรื่องนี้คาดว่าคงจะมีข่าวแพร่กระจายกันไปกว่าครึ่งดินแดนแล้ว ท่านย่อมกลายเป็นศัตรูของส่วนรวม”

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองนั่งอยู่ในบ้านแต่ความซวยตกลงมาจากท้องฟ้า ท่านเจ้าสำนักลบล้างวังตันติ่งกงเพื่อนางตั้งแต่เมื่อใดกัน?

 

 

นางสมควรจะจัดการพวกผู้รอดชีวิตของวังตันติ่งกงให้หมด แต่ละคนช่างปากยืดปากยาวรู้จักกล่าววาจาเฉไฉนัก

 

 

ยามนี้ ท่านเจ้าสำนักมิได้เอ่ยวาจาใดๆทั้งสิ้น เพียงนั่งอยู่บนเก้าอี้สูง ทั้งไม่รู้ว่าเขาสนใจฟังต้าซือมิ่งอยู่หรือไม่

 

 

ต้าซือมิ่งที่ถูกละเลยก็มิได้โกรธเคือง เขาเพียงเอ่ยต่อไปว่า “เรื่องนี้ว่าไปแล้วก็ง่ายดาย ขอเพียงท่านเจ้าสำนักมอบตัวหนุ่มน้อยผู้นั้นออกมา ให้ผู้คนในดินแดนต้าโจวได้ใช้พันดาบหมื่นกระบี่แล่เนื้อ ชำระความแค้นในหัวใจ ก็ถือว่าจบสิ้นกันไป”

 

 

“ผู้คนทั้งหลายย่อมจะต้องไม่ทำให้ท่านเจ้าสำนักลำบากใจ”

 

 

เขาทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็สังเกตปฏิกริยาของท่านเจ้าสำนักไปพลางๆ คิดจะดูว่าเขาจะมีท่าทีเช่นไรบ้าง

 

 

ทันทีที่พูดจบ แววตาของท่านเจ้าสำนักก็ปรากฏไอสังหารออกมา

 

 

“ใช้พันดาบหมื่นกระบี่แล่เนื้อผู้ใด?”

 

 

ต้าซือมิ่ง “ย่อมต้องเป็นเจ้าหนุ่มน้อยที่ก่อความผิดผู้นั้น”

 

 

“คิดว่าท่านเจ้าสำนักเองก็คงจะทราบแก่ใจดี ผู้ที่ไม่สมควรปกป้องย่อมไม่อาจปกป้องได้ ท่านคงจะไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับผู้คนทั้งแผ่นดินจิ่วโจวเพียงเพื่อเขากระมัง? มันไม่คุ้มเลย”

 

 

ตู๋กูซิงหลันใคร่ครวญคำพูดของเขาอย่างละเอียด วาจาผายลมสุนัขแท้ๆ

 

 

นางยังไม่ทันเอ่ยปาก แววตาที่มีไอสังหารของท่านเจ้าสำนักก็เข้มข้นขึ้นมากว่าเดิม ทำเอาผู้คนรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทง

 

 

“ลูกศิษย์ของข้า ใช่คนที่พวกเจ้าคิดจะอาจเอื้อมได้หรือ?”

 

 

เขากวาดสายตาเย็นยะเยือกออกไป ทำเอาผู้คนทั้งหลายต่างก็ลิ้นจุกปากไปตามๆกัน

 

 

ลูกศิษย์?

 

 

เด็กหนุ่มคนนี้….เป็นลูกศิษย์ของเขา?

 

 

ต้าซือมิ่งเองก็ตกตะลึงไป เขาได้ยินมาแต่แรกแล้วว่า ในดินแดนจิ่วโจว มีผู้คนไม่น้อยคิดจะกราบคนผู้นี้เป็นอาจารย์ แต่เจ้าตัวกลับไม่แยแส

 

 

อย่าว่าแต่เป็นศิษย์สายตรงเลย แม้แต่คิดจะมาเป็นศิษย์ในสำนัก ก็ยังยากกว่าป่ายปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก

 

 

ก่อนหน้านี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า เขารับลูกศิษย์เอาไว้

 

 

นัยตาของต้าซือมิ่งวาวลึกขึ้นกว่าเดิม คราวนี้สายตาที่มองดูตู๋กูซิงหลันของเขาถึงกับเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

“ท่านเจ้าสำนัก เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่จะมาล่อเล่นกันได้”

 

 

“แล้วข้าดูเหมือนพูดจาล้อเล่นที่ตรงไหน?”

 

 

ในโถงกว้าง เมื่อรวมกับบรรดาศิษย์ในสำนักของสำนักหยินหยางแล้ว อย่างน้อยๆก็ต้องมีผู้คนอยู่นับร้อย แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าถอนหายใจดังแม้แต่ผู้เดียว

 

 

พวกเขาต่างก็ยังตกตะลึงกับเรื่องที่ท่านเจ้าสำนักรับศิษย์เอาไว้อยู่

 

 

ที่ผ่านมาต่างก็คิดว่าท่านเจ้าสำนักไม่กินไม่เสพ ที่ไหนได้กลับเป็นเพราะว่าพวกเขาหน้าตาอัปลักษณ์จนเกินไป สุดท้ายแล้วท่านเจ้าสำนักก็ยังเลือกที่รูปร่างหน้าตา

 

 

หนุ่มน้อยผู้นี้ เกิดมาหน้าตาดีเกินไปแล้ว ถึงได้รับเลือกจากท่านเจ้าสำนักให้เป็นศิษย์

 

 

เจ้าแคว้นทองเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมากแล้ว เพราะใบหน้าครึ่งนั้นยิ่งทีก็ยิ่งบวมสูงขึ้น เจ็บปวดเหลือแสน

 

 

“ลูกศิษย์ของข้า ข้าไม่ให้เขาขาดไปแม้แต่ผสมเส้นเดียว ผู้ใดก็ไม่อาจแตะต้อง จดจำเอาไว้ให้ดี”

 

 

ยามท่านเจ้าสำนักเอ่ยวาจา มิได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

 

 

น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้ดังกึกก้อง แต่ว่าทุกๆถ้อยคำล้วนเข้าสู่รูหูของทุกคนอย่างชัดเจน

 

 

พวกเขาต่างก็คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านเจ้าสำนักจะยอมเป็นศัตรูกับผู้คนในดินแดนจิ่วโจวเพื่อเด็กหนุ่มผู้นี้

 

 

“วังตันติ่งกงแอบอ้างชื่อเสียงของสำนักหยินหยางเราไปทำความชั่ว ซ่งชิงอีตายโดยเหตุอันสมควร ที่วังตันติ่งกงถูกลบล้างเพราะความผิดบาปที่ตนเองก็กระทำจนไม่สมควรมีชีวิต ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับศิษย์ของข้า”

 

 

เพื่อศิษย์ของตนเองแล้ว ท่านเจ้าสำนักถึงได้ยอมลำบากเอ่ยวาจามากกว่าปกติอีกสองประโยค

 

 

คำพูดที่คาอยู่ในคอของต้าซือมิ่ง ยามนี้จึงต้องกล้ำกลืนกลับลงไปก่อน

 

 

ดูจากท่าทีแล้ว ท่านเจ้าสำนักคิดจะปกป้องหนุ่มน้อยผู้นี้อย่างแน่นอน ต่อให้เขาพูดอะไรมากไปกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี

 

 

อย่างไรก็ไม่อาจต่อสู้กับเขาที่นี่ได้อยู่ดี มันไม่คุ้มกัน

 

 

เพราะว่าขนาดตอนที่อยู่ในสุดยอดการประลองสามฝ่าย แม้แต่เจ้าตำหนักของเขาก็ยังเอาชนะเจ้าสำนักหยินหยางไม่ได้ แล้วเขาจะทำได้อย่างไร

 

 

อึกอักอยู่เป็นนาน ต้าซือมิ่งถึงได้เอ่ยออกมาว่า “เช่นนั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป จิ่วโจวจะถือว่าท่านเจ้าสำนักเป็นศัตรู ท่านเจ้าสำนักก็อย่าได้นึกเสียใจ”

 

 

“เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนขี้กลัว เป็นคนที่จะนึกเสียใจกระนั้นหรือ?”

 

 

ท่านเจ้าสำนักมีนิสัยเช่นใด เหล่าศิษย์ในสำนักต่างก็รู้กันดี

 

 

นั้นก็คือเป็นคนที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ต่อให้ผู้คนทั้งจิ่วโจวมาถึงหน้าประตู เกรงว่าท่านเจ้าสำนักก็คงจะเปิดฉากต่อสู้ออกไปเลย โดยมิได้ขมวดคิ้วด้วยซ้ำ

 

 

ทำไมพวกเขาถึงได้รู้สึกว่า ……หากจิ่วโจวกล้าเป็นศัตรูกับท่านเจ้าสำนัก ผู้ที่ต้องสำนึกเสียใจสมควรเป็นชาวจิ่วโจวต่างหาก?

 

 

ต้าซือมิ่ง “……”

 

 

เมื่อถูกผู้อื่นดูถูกเอาซึ่งๆหน้าเช่นนี้ แล้วเขายังจะทำอะไรได้?

 

 

คิดๆอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็บังเอิญคิดออะไรออก จึงกล่าวต่อไปว่า “ผู้น้อยบังเอิญคิดขึ้นมาได้ว่า บรรพชนของเจ้าวังตันติ่งกง มีผู้ที่ฝึกฝนจนสำเร็จเป็นเทพเซียนไปแล้ว …..ตลอดหลายปีมานี้ ที่วังตันติ่งกงครองฐานะอยู่ในจิ่วโจวโดยไม่เคยสั่นคลอน ก็เป็นเพราะมีเซียนพิทักษ์รักษา เป็นเซียนที่แท้จริง….”

 

 

“หากว่าท่านเจ้าสำนักยังคงไม่ยินยอมมอบตัวหนุ่มน้อยผู้นั้นออกมา ศัตรูของท่านย่อมไม่มีเพียงแค่ชาวจิ่วโจว หากแต่เป็นเซียนจริงๆ”

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “อ๋อ”

 

 

อ๋อหรือ?

 

 

อ๋อ หมายความว่าอะไร?

 

 

ช่างยโสถึงเพียงนี้?

 

 

เบื้องหลังของวังตันติ่งกง คือเซียนจริงๆที่อยู่บนสวรรค์เลยนะ! เจ้ากลับแค่พูดว่า อ๋อ?

 

 

นี่มันดูถูกกันถึงไปถึงกระดูกเลย!

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ถูกคำว่า ‘อ๋อ’ ของเขาทำเอาเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว

 

 

อีกฝ่ายพูดอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่คนผู้นี้กลับไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

 

 

แต่ว่า ว่ากันตามจริงแล้ว แม้แต่ตัวตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่ได้เอาคำว่า ‘เซียน’ มาใส่ใจเช่นกัน

 

 

เนื่องเพราะว่าศัตรูของนางก็คือ เทพบนสวรรค์ คนพวกนั้นยังสูงส่งกว่าเซียนหลายเท่าตัว

 

 

“เอาล่ะ อย่าได้มั่วแต่ทุ่มเถียงกันไปมาอยู่เลย ท่านอาจารย์ของข้าก็บอกแล้วว่า จะปกป้องข้า มีปัญญาก็บุกเข้าประตูมา พวกเราไม่กลัวอยู่แล้ว”ตู๋กูซิงหลันพูดออกไปอย่างนักเลงโต ที่ขี้โม้อย่างที่สุด

 

 

………………………………