ตอนที่ 554 จินฮั่นฮั่น

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

พอคิดถึงภาพที่วังตันติ่งกงนองเลือดดุจแม่น้ำ เขาก็ต้องขนลุกจนตัวชาขึ้นมา

 

 

ที่นั่นกลายเป็นนรกบนดิน ไม่มีชีวิตผู้ใดเหลือรอด

 

 

ซ่งชิงอีถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ได้แต่อาศัยเสื้อผ้าเพื่อแยกแยะตัวตน…..

 

 

บนแผ่นดินจิ่วโจวนี้ มีบุรุษมากมายเพียงไรที่เฝ้าฝันถึงนาง แต่ละคนล้วนอยากจะสอยพระจันทร์เกี่ยวดวงดาวลงมาให้นางด้วยกันทั้งนั้น

 

 

ยามปกติ ใครบ้างที่จะไม่เชิดชูซ่งชิงอีเอาไว้อย่างสูงส่ง ด้วยความเกรงกว่าจะทำอะไรให้นางไม่พอใจ

 

 

แต่ใครจะไปนึกว่า ผู้ที่เป็นยอดใฝ่ฝันของผู้คนทั้งหลายจะมาตกตายอย่างอนาถใต้น้ำมือของเจ้าสำนักหยินหยาง

 

 

คนที่เหลือรอดในวังตันติ่งกงต่างก็เล่าว่า เจ้าสำนักคนใหม่ลงมือทำร้ายซ่งชิงอีอย่างโหดเ**้ยมก็เพราะเพื่อหนุ่มน้อยผู้นี้

 

 

เจ้าแคว้นทองก็มิใช่คนโง่เขลา ในเมื่อต้องการจะทวงความยุติธรรมให้ซ่งชิงอี ก็รู้จักหาคนมาสนับสนุน

 

 

และครั้งนี้เขาบังเอิญได้พบกับต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจึงพามาด้วย

 

 

เมื่อมีต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนคอยหนุนหลัง เอวและแผ่นหลังของเจ้าแคว้นทองก็ตั้งตรงกว่าเดิม

 

 

เขาเองก็รู้ดี ว่าวังตันติ่งกงและตำนหนักซิวหลัวเตี้ยนมีการแลกเปลี่ยนกันอยู่ ซ่งชิงอีตายอนาถเช่นนี้ ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนย่อมไม่อาจนั่งดูอยู่เฉยๆ

 

 

วันนี้พวกเขามาเจรจาก่อน ต่อไปค่อยยกกำลังมา ในดินแดนจิ่วโจวบุรุษมากมายที่หลงใหลในซ่งชิงอีมีอยู่เป็นร้อยๆ ยังไม่พอจะจับสำนักหยินหยางพลิกคว่ำได้อีกหรือ

 

 

ตอนนี้ เขาตะโกนด่าอยู่กลางโถงของสำนักหยินหยางมาครึ่งค่อนวันแล้ว ยังไม่มีผู้ใดกล้าออกมาโต้เถียงสักคำ

 

 

ดังนั้นเจ้าแคว้นทองจึงยิ่งรุกหนักกว่าเดิม

 

 

เขาพ่นน้ำลายออกไป “เป็นเพราะว่าทำเรื่องน่าละอายใจจึงไม่กล้าออกมา ได้แต่หดหัวอยู่ในห้องเหมือนเต่าอยู่ในกระดองใช่หรือไม่?”

 

 

“อ๋องเช่นข้ายังเคยคิดว่าเจ้าเป็นวีรบุรุษสมชายชาตรี ที่แท้ก็เป็นแค่หมีหมาเท่านั้น”

 

 

เขาแสยะยิ้มเย็นชาออกมา ต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่อยู่ด้านข้างยังคงเงียบงันไม่พูดไม่จา เขาสวมใส่ชุดยาวสีน้ำเงินเข้ม สองมือซุกอยู่ในแขนเสื้อ ดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

 

 

ดวงตาคู่นั้นมองลึกเข้าไปด้านใน

 

 

ขณะที่เจ้าแคว้นทองตะโกนน้ำลายแตกฟองจนคอแห้งผาดแล้ว เขาก็มองเห็นว่ามีเงาร่างคนเคลื่อนไหว

 

 

คนผู้นั้นยังไม่ทันออกมา ไอเย็นซ่านลึกถึงกระดูกก็กำจายออกมาก่อน

 

 

เพียงพริบตาเดียวก็ครอบคลุมถึงใต้เท้า จากนั้นก็คืบคลานผ่านกระดูกขึ้นมาบนร่างกาย เป็นความเย็นยะเยือกจนทำให้กระดูกทั่วร่างสั่นสะท้าน

 

 

เจ้าแคว้นทองถูกคลื่นความเย็นแทรกซึมจนตะลึงไปแล้ว ลำคอที่เดิมทียังพ่นคำพูดออกมาได้ไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ถึงกับจับแข็งไปแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็เหมือนจะแตกออกกลายเป็นผง

 

 

เขาอ้าปากขึ้นมา แต่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ

 

 

ได้แต่ลืมตามองดู เงารางของคนที่เคลื่อนออกมาเท่านั้น

 

 

กระทั่งเมื่อร่างของคนผู้นั้นปรากฏสู่สายตา ไอสังหารที่ไร้ที่มาก็คืบคลานมาพร้อมๆกัน ไอสังหารที่เข้มข้นจนสามารถสัมผัสได้นี้เคลื่อนตามพื้นดินไหลขึ้นมาแทรกซึมเข้าไปในอกของเขา

 

 

ต้าซือมิ่งกดทรวงอกเอาไว้ในทันที แต่ก็ยังทนไม่ไหว ต้องกระอักเลือดคำโตออกมา

 

 

เลือดสดๆพุ่งออกมาเป็นสาย ย้อมพื้นของโถงกว้างกลายเป็นสีแดงฉาน

 

 

เจ้าแคว้นทองเองก็ตกตะลึงไป พอเห็นร่างของเขาโอนเอนไปมา ก็รีบเข้าไปประคอง

 

 

พึ่งจะประคองคนเอาไว้ ก็เห็นท่านเจ้าสำนักชักเท้าออกมา เขาสวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง เส้นผมดำยาวดุจน้ำหมึก แม้ว่าในโถงกว้างจะไม่มีลมพัด แต่เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาก็พลิ้วออกไปอยู่ตลอดเวลา

 

 

ดวงหน้าที่งดงามอย่างร้ายกาจนั่นเรียบนิ่งดุจดังแผ่นน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลาย

 

 

และที่ข้างกายเขาก็ยังมีหนุ่มน้อยในชุดสีดำแบบเดียวกันผู้หนึ่ง

 

 

เด็กหนุ่มผู้นั้นรูปร่างหน้าตาดีอย่างยิ่ง ดูแล้วอายุยังน้อยอยู่ แต่ว่ามีอัธยาศัยดีกว่าเจ้าสำนักมากนัก

 

 

พอท่านเจ้าสำนักปรากฏตัว เหล่าศิษย์ในสำนักหยินหยางที่อยู่รอบลานกว้างก็พากันทยอยคุกเข่าลงไป

 

 

ไม่มีใครกล้าพูดจา แม้แต่สายตาก็ยังไม่กล้ามองมากเกิน

 

 

บรรยากาศบนลานกว้างอึมครึมขึ้นมาในทันที

 

 

สายตาของท่านเจ้าสำนักทอดมองไปยังร่างของเจ้าแคว้นทองและต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยน

 

 

แม้ว่ามองเห็นคนทั้งสองแล้ว สายตาของเขาก็ไม่มีริ้วคลื่นใดๆดังเดิม

 

 

สายตาเช่นนั้นเหมือนมองไปยังผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนน

 

 

เจ้าแคว้นทองรู้สึกว่าตนเองถูกหมิ่นหยามอยู่ไม่น้อย เขาฝืนอาการเจ็บปวดตรงทรวงอกเอาไว้ ถลึงตาโตออกมา “จะเอาไง เจ้าฆ่าแม่นางซ่งไปแล้ว แล้วยังคิดจะฆ่าข้าผู้เป็นอ๋องอีกหรือ?”

 

 

เมื่อครู่หากมิใช่ว่าเขามีปฏิกริยาได้รวดเร็วพอ เกรงว่าคงต้องถูกไอสังหารเมื่อครู่บีบคั้นจนตายไปแล้ว

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันไปสังเกตดูเจ้าแคว้นทองผู้นั้น

 

 

เขาน่าจะอายุประมาณสามสิบกว่า รูปร่างหน้าตานับว่าสมส่วนใช้ได้ ปลายคางไว้เคราอยู่ไม่น้อย คิ้วหนาตาโต สวมใส่ชุดไหมทองที่ดูหรูหรา ทั่วร่างทั้งบนและล่างมีเครื่องประดับทองเต็มไปหมด ทำหน้าทำตาฮึดฮัด กระฟัดกระเฟียดอยู่บนโถง

 

 

แค่ดูก็รู้ว่าคือ จินฮั่นฮั่น

 

 

“หากอยากตายล่ะก็ ข้าก็จะสงเคราะห์ให้เจ้า”

 

 

ท่านเจ้าสำนักมิได้ไว้หน้าเลยสักนิด สำหรับคนที่รีบร้อนอยากตาย เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคำขอร้องเช่นนี้

 

 

แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาเจ้าแคว้นทองตัวแข็งทื่อ เขาตัดสินใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ก็ไม่คิดจะหยุดปาก

 

 

แต่ขณะที่คำพูดยังไม่ทันได้เปล่งออกมา ก็โดนฝ่ามือของท่านเจ้าสำนักซัดลงไปบนหน้าครั้งหนึ่ง“เพี้ยะ…..”

 

 

เสียงตบที่ดังสดใส ทำเอาครึ่งใบหน้าของเขาบวมขึ้นมาแล้ว

 

 

“อยู่ต่อหน้าข้า ไม่อนุญาตให้ผู้ใดกล้าเหิมเกริม”

 

 

เจ้าแคว้นทองกุมใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเองเอาไว้ เขาเจ็บปวดจนต้องสูดลมหายใจเย็นเข้าไป

 

 

จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงเจ้าแคว้นแห่งหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ได้ลงมมืออย่างจริงจังก็เกือบจะเอาชีวิตเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว

 

 

ต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเองก็เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา แต่ว่าไม่ได้กล่าวอะไรมากความแม้แต่คำเดียว

 

 

กลับเป็นเจ้าแคว้นทองที่ไม่กลัวตาย ที่ยังกุมใบหน้าบวมเป็นหน้าหมูครึ่งหนึ่งเอาไว้ กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าถือว่าตนเองเป็นประมุขดินแดนจิ่วโจว ก็คิดว่าจะสามารถเข่นฆ่าพวกเราที่เป็นขุมกำลังอื่นๆได้ตามอำเภอใจกระนั้นหรือ?”

 

 

ท่านเจ้าสำนักนั่งลงบนเก้าอี้สูงเหนือโถงนั้นอย่างช้าๆ ดวงตาหงส์ที่เย็นชากวาดมองออกไป “เข่นฆ่าก็เข่นฆ่าสิ มีปัญหาหรือ?”

 

 

เจ้าแคว้นทอง “……”

 

 

เดิมทีเขานึกว่าอย่างน้อยๆเจ้าสำนักผู้นี้จะต้องมีความกังวลลังเลอยู่บ้าง ไหนเลยจะคิดว่าเขาจะโอหังถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีใจคิดจะกวาดล้างขุมกำลังอื่นๆอีกด้วย?

 

 

เรื่องของวังตันติ่งกงคือการเชือดไก่ให้ลิงดูของเขากระนั้นหรือ?

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างกายท่านเจ้าสำนัก นางเหลือบตาไปดูเขาแวบหนึ่ง ตัวร้ายผู้นี้…..ช่างยโสโอหังเหมือนกับจีเฉวียนไม่มีผิด

 

 

กับพวกที่กล้าบุกมารังควานถึงหน้าประตู ไม่เคยให้การออมมือมาก่อน

 

 

ขณะที่นางหันไปมองเขา เขาก็หันมาสบตาครั้งหนึ่งเช่นกัน ทั้งยังตบลงไปบนพื้นเก้าอี้ข้างกาย เอ่ยคำหนึ่งว่า “นั่งสิ”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ก็ได้”

 

 

ให้ยืนเฉยๆก็รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน….

 

 

พอนางนั่งลง ทั่วทั้งโถงกว้างก็เงียบเป็นป่าช้า

 

 

ศิษย์ในสำนักหยินหยางต่างก็ทราบกระจ่างดีว่าท่านเจ้าสำนักปฏิบัติต่อศิษย์ที่พากลับมาใหม่ผู้นี้แตกต่างจากผู้อื่น แต่คิดไม่ถึงว่า จะให้ความโปรดปรานมากขนาดนี้

 

 

เก้าอี้ประธานนั่น….ถึงแม้ว่าจะใหญ่โตอยู่สักหน่อย ขนาดที่ให้คนสามคนนั่งเรียงกันได้อย่างสบาย แต่อย่างไรก็เป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่งของท่านเจ้าสำนัก ไหนเลยจะปล่อยให้ผู้อื่นนั่งลงไปได้?

 

 

ที่จริงแล้วท่านเจ้าสำนัก……คิดอย่างไรกับเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่กันแน่?

 

 

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่า คนทั้งสองพอนั่งลงอยู่ด้วยกันดูแล้วเหมาะสมกันอย่างยิ่ง

 

 

คราวนี้ แม้แต่ต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็นิ่งไม่ไหวอีกต่อไป

 

 

เขากระแอมไอเสียงเบาๆ ดวงตาจับจ้องไปที่คนทั้งสอง พอคำนับครั้งหนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นมาว่า

 

 

……………………