ตอนที่ 553 ศิษย์คนแรกและเพียงคนเดียวเท่านั้น

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ฝืมือแปลงโฉมของนางพอจะใช้ได้อยู่บ้างกระมัง อย่างน้อยๆก็ปกปิดเพศที่แท้จริงได้อยู่ 

 

 

“บนร่างของบุรุษย่อมไม่มีกลิ่นหอม” ท่านเจ้าสำนักเงยหน้าขึ้นมา ขนตาของเขายาวมาก แต่ละเส้นคมชัดเจน ยังสวยงามกว่าขนตาของสตรีเสียอีก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ถูก ฮ่องเต้ที่เป็นบุตรของข้าตัวหอมตลอดเวลา” 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “…..” 

 

 

“จีเฉวียน ฮ่องเต้องค์ก่อนของต้าโจว ชอบหว่านเสน่ห์ถึงเพียงนั้น?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถึงกับแปลกใจอยู่บ้าง เขารู้จักจีเฉวียนด้วยหรือ? 

 

 

ดูท่าอีกฝ่ายจะศึกษาข้อมูลของนางมาอย่างชัดเจน หรืออย่างน้อยๆก็ต้องทราบดีว่าตำแหน่ง ‘ฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณ’ นี้ นางได้รับมาได้อย่างไร 

 

 

“เขาคือจีเฉวียนที่ดีที่สุดในใต้หล้า ไม่ได้ชอบหว่านเสน่ห์ เพียงแค่เกิดมาตัวหอมเฉยๆ” 

 

 

จีเฉวียนกับตู๋กูซิงหลันต่างก็เหมือนกัน บนร่างมีกลิ่นหอมจางๆ ต้องเข้าไปใกล้ตัวเขาถึงจะได้กลิ่น 

 

 

นั่นเป็นกลิ่นหอมของไม้ชนิดหนึ่ง เหมือนกับไม้สน 

 

 

พอดมแล้วให้ความรู้สึกสบายใจ 

 

 

“จีเฉวียนที่ดีที่สุด…..” ท่านเจ้าสำนักทวนประโยคของนางช้าๆอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

ชื่อจีเฉวียนสองคำนี้พอเอ่ยออกมาจากปากของเขา ให้ความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก 

 

 

“ที่แท้คนที่เจ้าต้องการตามหาก็คือเขานั่นเอง?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่อาจไม่ยอมรับว่า ท่านเจ้าสำนักผู้นี้เป็นคนที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง 

 

 

“ไม่ว่าจะนานเพียงไร ข้าก็จะรอเขากลับมา หนึ่งปียังไม่กลับมาก็รอไปอีกปี สิบปียังไม่กลับมาก็รอไปอีกสิบปี….ร้อยปี….พันปี…..” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจ้องมองไปที่เขา อย่างไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอเอ่ยถึงจีเฉวียนขึ้นมา หมอกชื้นในดวงตาของนางก็ก่อตัวขึ้นมาอีก 

 

 

นาง……คิดถึงเขา 

 

 

“รอคอยคนผู้หนึ่งเป็นเรื่องที่ทรมาน” ท่านเจ้าสำนักได้เห็นหมอกชื้นในดวงตาของนางเข้าพอดี 

 

 

หมอกนั้นเกลือบจะกลายเป็นหยดน้ำตาอยู่แล้ว 

 

 

เมื่อผ่านวันคืนในดินแดนจิ่วโจว เขาได้เห็นความเป็นความตายมามากมาย แต่ก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกใดๆมาก่อน 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ พอได้เห็นท่าทางจะร้องไห้ของนาง ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หัวใจถึงได้เกิดความรู้สึกเหมือนกระตุกขึ้นมา จนเหมือนจะรู้สึกเจ็บไปด้วย 

 

 

“อย่าร้อง น่าเกลียด” 

 

 

ถึงจะพูดอย่างนี้ แต่เขาก็ยังนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ยอย่างมั่นคงสงบนิ่งดุจขุนเขา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าปลายจมูกแสบร้อน 

 

 

นางสูดจมูกอยู่หลายครั้ง เดิมทีนางคิดว่าตนเองแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว แต่ว่าสุดท้าย ก็ยังแพ้ให้กับคำว่า ‘จีเฉวียน’ 

 

 

เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นหยดน้ำตา 

 

 

“โอรสสวรรค์ของแคว้นโจวคนก่อนหายสาบสูญไปในก้นทะเลลึก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องตาย เจ้าลองเสาะหาให้ดี บางทีอาจจะเจอก็ได้” 

 

 

ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาท่านเจ้าสำนักไม่เคยกล่าววาจามากมายถึงเพียงนี้มาก่อน 

 

 

ยิ่งไม่เคยพูดจาปลอบโยนผู้ใด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกลับเป็นข้อยกเว้น 

 

 

เวลาที่เขาพูดออกมา ตู๋กูซิงหลันก็คอยสังเกตเขาอย่างละเอียด แม้แต่อารมณ์เล็กๆน้อยๆบนใบหน้าก็ไม่ได้ปล่อยผ่าน 

 

 

เมื่อเขาพูดถึง ‘จีเฉวียน’ ก็เหมือนว่าเป็นคนที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนจริงๆ 

 

 

เขากำลังพูดถึงเรื่องของผู้อื่นอยู่ 

 

 

จีเฉวียนจากไปได้อย่างไร มีแต่นางเท่านั้นที่รู้….เขาไม่ได้หายไปในก้นทะเลลึก 

 

 

คำพูดของนางติดอยู่ในลำคออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงค่อยหลุดออกมาเพียงคำว่า ‘อืม’ คำเดียว 

 

 

เวลาที่เป็นเรื่องจริงจังนั้น นางดูเชื่อฟังน่าเอ็นดูอย่างที่สุด 

 

 

ทำให้ใครต่างก็รู้สึกเอื้อเอ็นดูในความว่าง่ายเหล่านั้น 

 

 

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจงติดตามอยู่ข้างกายข้า เป็นศิษย์ของข้า” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าเขากำลังคิดพิเรนทร์อะไรอยู่ในใจ ถึงได้อยู่ๆก็จะรับนางเป็นศิษย์ 

 

 

นางตกตะลึงไปชั่วครู่ “หือ?” 

 

 

“เจ้ากำลังเสาะหาอาจารย์ไม่ใช่หรือ?” เขาถาม 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” ไม่ใช่ นางตามหาอาจารย์นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจ 

 

 

“ข้าผู้เป็นเจ้าสำนักไม่เคยรับศิษย์มาก่อน เจ้าจะเป็นคนแรกและเพียงคนเดียวเท่านั้น สมควรจะรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจ” 

 

 

“สามารถปฏิเสธได้หรือไม่?” 

 

 

นางสำเร็จวิชาจากสำนักในโลกปัจจุบัน มีอาจารย์คือซื่อมั่ว ชาตินี้ทั้งชาติขอมีอาจารย์คือซื่อมั่วเพียงผู้เดียว 

 

 

หากนับผู้อื่นเป็นอาจารย์ เช่นนั้นก็ถือว่าทำผิดต่ออาจารย์อย่างร้ายแรง 

 

 

นางไม่มีทางทำได้ 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “ไม่ได้” 

 

 

พอสิ้นเสียง ปลายนิ้วของเขาก็กดลงไปบนตัวพิณ ดีดเพียงเบาๆก็เกิดเป็นสำเนียงชุดหนึ่งออกมา 

 

 

เสียงพิณนั้นกลายเป็นคลื่นพลังที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าชุดหนึ่ง พุ่งเข้าสู่หัวคิ้วของนาง 

 

 

พลังนั้น แข็งแกร่งเหนือธรรมดา แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ไม่มีโอกาสที่จะปฏิเสธ 

 

 

สิ่งที่พุ่งเข้าสู่ร่างกายทางหว่างคิ้วพร้อมกับเสียงพิณ ก็คือพลังหยินที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง 

 

 

จากนั้นบนหว่างคิ้วของนางก็ปรากฏสัญลักษณ์บางอย่างวาบขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้เห็นชัด สัญลักษณ์นั้นก็จางหายไปเสียก่อน 

 

 

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือศิษย์ของข้าแล้ว” 

 

 

เสียงพิณหยุดลง เขาเองก็ลุกขึ้นยืน 

 

 

เปิดลิ้นชักในตู้ของตนเองหยิบเอาผ้าผูกผมสีม่วงมาเส้นหนึ่ง เดินมาถึงข้างกายนาง ค่อยผูกผมให้นางด้วยตนเอง 

 

 

ปลายนิ้วที่เรียวยาวลูบลงบนศีรษะของนางเบาๆ “ต่อไปต้องว่าง่ายเชื่อฟัง” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?” 

 

 

แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ? 

 

 

ฟ้าดินเป็นพยาน นี่มิใช่ว่านางทรยศอาจารย์สักหน่อย นางถูกบังคับให้เป็นศิษย์ต่างหาก 

 

 

ตอนที่เขาวางมือลงมานั้น ทำเอานางถึงกับชะงักไปชั่วขณะ  

 

 

ความรู้สึกที่ได้เหมือนกับมือของอาจารย์ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะสติแตกแล้ว 

 

 

คนผู้นั้น ประเดี๋ยวก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้พบอาจารย์ อีกประเดี๋ยวก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้เจอจีเฉวียน 

 

 

แต่ว่าเขากลับไม่ยอมรับ บั้นเอวก็ไม่มีรอยประทับสัญญลักษณ์ดอกบัว ความรู้สึกเช่นนี้รุมเร้าผู้คนจนนางแทบจะทรุดลงไปแล้ว 

 

 

…………………. 

 

 

ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่อาจย่อยความคิดความรู้สึกทั้งหมดได้นั้น ก็มีขุมกำลังหนึ่งบุกมาถึงสำนักหยินหยางเข้าแล้ว 

 

 

ผู้ที่มาเป็นถึงต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน และผู้ที่ติดตามมาพร้อมกันก็คือเจ้าแคว้นทอง 

 

 

ศิษย์ของสำนักหยินหยางต่างก็ตกอกตกใจกันไปหมดแล้ว 

 

 

เพราะหลังจากที่เจ้าสำนักของตนเอาชนะผู้คนทั้งหมดในสุดยอดการประลองสามฝ่ายไปแล้ว ถึงแม้ไม่อาจบอกว่าสำนักหยินหยางมีแต่ความสงบสุข แต่ยามปกติก็ไม่มีใครกล้ามารังควานถึงหน้าประตูอีกแล้ว 

 

 

แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า ตอนนี้ผู้ที่ริษยาสำนักหยินหยางมากที่สุดก็คือตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 

 

 

ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนถือว่าตนเป็นผู้นำในดินแดนจิ่วโจวมาโดยตลอด แล้วจะยอมถอยจากตำแหน่งนี้ง่ายๆได้อย่างไร? 

 

 

ว่าแล้ว…..ว่าจะต้องบุกมาถึงหน้าประตูเข้าสักวัน 

 

 

แต่ว่าครั้งนี้ ที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงก็คือ เหตุผลที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนและเจ้าแคว้นทองบุกเข้าประตูมา ก็เพราะว่า……วังตันติ่งกงถูกทำลายไปแล้ว? 

 

 

“เจ้าสำนักหยินหยาง หากว่าเจ้าเป็นบุรุษก็จงออกมา เผชิญหน้ากับข้าผู้เป็นอ๋องตรงๆ” 

 

 

ต้าซือมิ่งของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนยังไม่ทันได้ว่าอะไร เจ้าแคว้นทองก็ชิงกล่าวออกมาอย่างพลุ่งพล่านก่อนแล้ว 

 

 

เขาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ที่โถงกลางสำนัก ด้วยท่าทางทีมิได้เห็นสำนักหยินหยางอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย 

 

 

“แม่นางซ่งเป็นเพียงแค่สตรีอ่อนแอ แต่เจ้ากลับใช้เลือดล้างวังตันติ่งกง จนทั่วทั้งวังตันติ่งกงมีแต่ความว่างเปล่า ก้าวต่อไปก็คงคิดจะทำลายขุมอำนาจต่างๆในดินแดนจิ่วโจวให้หมดสิ้นใช่หรือไม่?” 

 

 

“เป็นบุรุษแท้ๆแต่ว่ากลับลงมือกับสตรีอ่อนแอ ฝีมือก็โหดเ**้ยมจนคนต้องสยดสยอง ตำแหน่งประมุขของดินแดนจิ่วโจวหากว่าให้คนอย่างเจ้าครอบครอง เกรงว่าแม้แต่นรกก็คงไม่พอใจด้วยแล้ว!” 

 

 

เจ้าแคว้นทองตะโกนด่าจนหน้าแดงคอสั่น ใครๆต่างก็รู้ว่า เพื่อไล่ตามความรักจากซ่งชิงอี เขาทุ่มเทชีวิตและจิตใจไปมากมายเพียงไร แต่ว่าตอนนี้ คนจากไปแล้วก็คือจากไปแล้วจริงๆ…..แถมยังตายอย่างอนาถ…………. 

 

 

……………………………………..