ตอนที่ 552 เหตุใดท่านเจ้าสำนักต้องรีบร้อน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เป็นเพราะรู้แล้วว่าจำคนผิด ก็เลยผิดหวัง?

 

 

แต่มีอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจที่ไม่เคยหวั่นไหวต่อสิ่งใดของเขาถึงได้รู้สึกผิดปกติขึ้นมา

 

 

อึดอัดไม่สบาย ราวกับว่ามีสิ่งใดมาทับอยู่เสียอย่างนั้น

 

 

“ข้าบอกกับเจ้าตั้งแต่แรก ว่าจำคนผิดแล้ว” ครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยปากเสียงทุ้มๆออกมา

 

 

จากนั้นก็ลุกลงจากเตียง มือก็ปลดเสื้อผ้าบนร่างทั้งหมดออกไป เดินไปจนถึงข้างตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ของเขา หยิบชุดสีดำติดมือออกมาตัวหนึ่ง

 

 

เสื้อผ้าในตู้ทั้งหมดของเขาล้วนเป็นสีดำ ดำเสียจนมองไม่ออกว่ามีเนื้อผ้าใดที่แตกต่างกันหรือไม่

 

 

ทั้งยังเป็นแบบแขนกว้างเอวสอบเหมือนกัน และเป็นสีดำเหมือนกันทั้งหมด

 

 

เขาไม่มีรัดเกล้าประดับศีรษะ มีแต่เพียงแถบผ้าสีม่วงผืนยาวที่แขวนรวมอยู่กับเสื้อผ้าเท่านั้น

 

 

หากมองจากลายละเอียดเล็กๆเหล่านี้ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่น่าเบื่ออย่างยิ่ง

 

 

รอจนเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา

 

 

นางหยิบเอากระถางศิลาโลหิตที่อาจารย์ให้เอาไว้ออกมาจากในถุงเฉียนคุน ถุงเฉียนคุนที่ชือหลีให้นางมา สามารถเก็บได้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตปริมาณหนึ่ง แต่ว่าถุงเฉียนคุนใบใหม่นี้ มีพื้นที่ภายในกว้างใหญ่มากกว่าหลายต่อหลายเท่า ทั้งยังสามารถเก็บสิ่งมีชีวิตได้บ้างเล็กน้อย

 

 

ดังนั้นนางจึงได้เก็บกระถางศิลาโลหิตเอาไว้ในถุงเฉียนคุนใบนี้ พกติดตัวเอาไว้อยู่ตลอดเวลา

 

 

ตอนนี้นางนั่งอยู่บนเตียง กอดกระถางเอาไว้

 

 

ในกระถางดอกไม้หยก มีดินสีดำเข้มที่อุดมสมบูรณ์ ในดินดำนั้นฝังศิลาโลหิตที่อาจารย์มอบให้นางก่อน ‘ตาย’

 

 

ถึงตอนนี้ ศิลาโลหิตก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

 

ก้อนหินจะผลิบานได้อย่างไร

 

 

ทุกคนล้วนพูดเช่นนี้ แต่ว่านางก็ไม่ยอมเชื่อคนเหล่านั้น

 

 

นางเชื่อว่าสักวันหนึ่งอาจารย์และจีเฉวียนจะต้องกลับมา….

 

 

ขอเพียงอาจารย์กลับมา เสี่ยวเฉวียนเฉวียนก็จะกลับมาได้เช่นกัน เพราะพวกเขาเดิมเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

 

ตอนที่ได้พบกับเจ้าสำนักหยินหยางนั้น นางนึกว่าการรอคอยของนาง ได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

 

 

แต่ว่ายิ่งหวังไว้มาก ก็ยิ่งผิดหวังมาก……..

 

 

นางแทบจะไม่เคยรู้สึกหมดแรงถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าตกจากความสว่างร่วงลงสู่ความมืดมิดเช่นนี้ ทำให้คนเหมือนขาดอากาศหายใจ

 

 

นางนั่งงอเข่ากอดกระถางดอกไม้เอาไว้ ดูอ่อนแอและน่าสงสารอย่างที่สุด

 

 

แม้แต่ท่านเจ้าสำนักได้เห็นแล้ว ก็ยังรู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง

 

 

เขาใช้แถบผ้าสีม่วงเข้มผูกเส้นผมยาวสีดำดุจน้ำหมึกที่ยาวสยายจนพันกันไปบ้างอย่างลวกๆ เส้นผมยังคงยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อประกอบกับรูปโฉมที่งดงามอย่างร้ายกาจของเขาแล้ว ก็กลายเป็นความงามอย่างเกียจคร้าน

 

 

เขาเดินเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลัน แต่กลับไม่ไปยืนตรงหน้านาง

 

 

หลังกระแอมอยู่เล็กน้อย ก็ค่อยเอ่ยว่า

 

 

“เขาเป็นใครกัน?”

 

 

“คนที่สำคัญที่สุด” ตู๋กูซิงหลันกอดกระถางดอกไม้เอาไว้ ท่านเจ้าสำนักดูแล้วก็คิดว่าท่าทางเช่นนั้น เหมือนอุ้มเถ้ากระดูกเอาไว้มากกว่า

 

 

สามารถทำให้นางเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้ ย่อมต้องเป็นคนสำคัญในชีวิตอยู่แล้ว

 

 

เขาย่อมรู้ว่าเป็นคนสำคัญ

 

 

“ข้าคล้ายกับเขาที่ตรงไหน ถึงทำให้เจ้าติดตามอย่างพัวพันเช่นนี้?”

 

 

“เป็นความรู้สึก เจ้าคล้ายเขา และก็คล้ายเขาด้วย”ตู๋กูซิงหลันถอนหายใจยาวเหยียด ในดวงตามีแต่หมอกชื้น แต่ไม่ได้จับเป็นไอ และไม่ได้หลั่งเป็นน้ำตา

 

 

“ในใต้หล้านี้คนที่คล้ายคลึงกันมีอยู่มากมาย” ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่ตรงหน้านางครู่หนึ่ง ก็เอาเก้าอี้ไปนั่งลงข้างโต๊ะเตี้ยของตนเอง

 

 

บนโต๊ะมีพิณโบราณของเขาวางอยู่ พิณสีน้ำตาลดำส่งกลิ่นอายโบราณที่เข้มข้นออกมา

 

 

เขานั่งคุกเข่าลงที่ข้างโต๊ะ สวมใส่ชุดสีดำตลอดร่าง กริยาเรียบร้อยปราศจากรอยยิ้ม ท่าทางที่หมดจดนุ่มนวลเช่นนั้นช่างคล้ายคลึงกับท่านอาจารย์ และก็ดูคล้ายคลึงกับจีเฉวียนยามนั่งอยู่บนบัลลังก์

 

 

หากมิใช่เพราะว่าที่บั้นเอวของเขาไม่มีรอยประทับดอกบัวนั้นอยู่จริงๆ ตู๋กูซิงหลันจะต้องแน่ใจว่าเป็นเขาอย่างแน่นอน

 

 

“อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลหมื่นบุปผชาติแล้ว” ปลายนิ้วของเขาวางลงบนพิณ แต่ก็ไม่ได้ดีดเสียงใดออกมา

 

 

“ถึงตอนนั้นผู้เข้มแข็งทั่วทั้งดินแดนจิ่วโจวย่อมต้องมาปรากฏตัว บางทีคนที่เจ้าตามหาอาจจะอยู่ในหมู่คนเหล่านั้นก็เป็นได้”

 

 

ยากนักที่ท่านเจ้าสำนักจะพูดอะไรยาวๆ

 

 

“ในเมื่อคนที่เจ้าตามหาคล้ายคลึงกับข้า ข้าก็จะถือว่าทำความดีแผ่เมตตาแล้วกัน”

 

 

เขาพูดโดยมิได้หยุดหายใจ ทั้งยังไร้ริ้วรอยอารมณ์ใดๆ เย็นชาเสมือนไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น

 

 

ตู๋กูซิงหลันตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะโต้เถียง ย่อมไม่สนใจงานเทศกาลหมื่นบุปผาอะไรนั่นเลยสักนิด

 

 

ในเมื่ออาจารย์กับจีเฉวียนยังไม่กลับมา แล้วจะไปร่วมงานหมื่นบุปผาได้อย่างไร

 

 

นางสงบใจอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยหันกลับไปมองเขา “ผู้อื่นต่างพูดกันว่าเจ้าเป็นบุปผาบนยอดเขา ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้ แล้วไยจึงรั้งข้าเอาไว้?”

 

 

ท่านเจ้าสำนักสีหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ “ข้าเป็นคนใจดีมีเมตตา ชอบสร้างกุศล”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……”

 

 

เชื่อกับผีน่ะสิ?

 

 

เอาเถอะ เช่นนั้นก็ถือเสียว่าเขาเป็นคนดีมีเมตตาจริงๆแล้วกัน

 

 

“พิณโบราณตัวนั้น คืออาวุธของเจ้า?” ตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนหัวข้อไปอีก ไม่ต้องพูดถึงคนผู้นี้ แค่เพียงพิณโบราณตัวนั้น ก็ดูคล้ายกับพิณของอาจารย์จนแทบจะเป็นตัวเดียวกัน

 

 

แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่สันทัดในเครื่องดนตรี เหมือนเป็นคนหูดับ พิณโบราณตัวนี้….นางจึงไม่กล้ามั่นใจว่าจะใช่ของท่านอาจารย์หรือไม่

 

 

เพียงแต่มองดูแล้ว ก็รู้สึกว่าคล้ายคลึงมาก

 

 

“ใช่แล้ว อยู่กับข้ามาโดยตลอด ไม่เคยห่างกาย”

 

 

“พิณนี้เรียกว่าอะไร?”

 

 

“ไม่มีชื่อ”

 

 

“เจ้าไม่มีชื่อ พิณก็ไม่มีชื่อ เจ้ามาจากที่ใดกันแน่?”

 

 

ต่อให้ไม่มีรอยประทับดอกบัวดำลายทองนั่น ตู๋กูซิงหลันก็ยังมีเรื่องสงสัยในตัวเขาอยู่เต็มไปหมด

 

 

“เจ้ามีคำถามมากมายเกินไปแล้ว”

 

 

ท่านเจ้าสำนักหรี่ดวงตาหงส์ลง ปลายหางตามีริ้วสีแดงที่ดุจมาร

 

 

“เจ้ายอมให้ข้ารั้งอยู่ ข้าย่อมต้องมีคำถามต่างๆมากมาย…..”

 

 

ตู๋กูซิงหลันพยายามปรับเปลี่ยนอารมณ์ของตนเอง ต่อให้คนผู้นี้ไม่ใช่พวกเขา….

 

 

แต่ว่าก็อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาก็เป็นได้

 

 

ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไป นางไม่เชื่อว่ามีเรื่องบังเอิญเช่นนั้น

 

 

เพียงแค่เรื่องดอกบัวดำลายทองนั่นก็ยังไม่อาจสรุปปัญหาเพียงแค่นี้

 

 

คนนอกต่างก็พูดกันว่า ท่านเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่วาจาไม่มาก ทั้งเย่อหยิ่งและปลีกวิเวก แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีอำนาจในสำนักหยินหยาง เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ยังไม่มีน้ำหนักจะพูดจา

 

 

แต่ว่าตอนนี้ เขากลับยินยอมพาสาวน้อยที่ไปพบระหว่างการต่อสู้กลับมาด้วย

 

 

ฝีมือแปลงโฉมของตู๋กูซิงหลันนับว่าใช้ได้ ถึงนางจะแต่งตัวปลอมเป็นบุรุษ แต่ก็เหมือนตัวจริงแค่เพียงสามส่วนเท่านั้น

 

 

แต่ว่าสำหรับท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ เขาย่อมมองออกตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

“หากเจ้าอยากจากไป ประตูใหญ่อยู่ทางซ้ายมือ ข้าจะไม่รั้งเจ้าเอาไว้”

 

 

ถึงอย่างไรท่านเจ้าสำนักก็ไม่ใช่คนอารมณ์แจ่มใสหรือใจดีถึงเพียงนั้น

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……”

 

 

นิสัยของคนผู้นี้นางคาดเดาอะไรไม่ถูกจริงๆ หรือเพราะนางเป็นคนที่แสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากจนเกินไป?

 

 

นางอุ้มกระถางดอกไม้เอาไว้ พอลงจากเตียง ก็มองออกไปสำรวจดูทางที่มีประตูใหญ่อยู่

 

 

ท่านเจ้าสำนักที่เดิมนั่งอยู่ข้างโต๊ะเตี้ยเหลือบตามองดูนางแวบหนึ่ง

 

 

“ฮ่องเต้หญิงของดินแดนโบราณ เดินทางมายังดินแดนจิ่วโจวเพียงลำพัง หากก้าวเท้าออกจากสำนักหยินหยาง เนื้อติดมันอย่างเจ้าคงต้องถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย”

 

 

ตู๋กูซิงหลันตะลึงไปเล็กน้อย ก็ค่อยหันหน้ากลับไป “ข้าไม่ได้บอกว่าจะไปสักหน่อย? เจ้าร้อนใจทำไม?”

 

 

นางแค่อยากจะมองดูบรรยากาศรอบนอก ไม่ได้คิดจะไปจากที่นี่

 

 

เพราะยังมีข้อสงสัยบางประการในตัวคนผู้นี้ ที่นางยังไม่เข้าใจ แล้วจะให้จากไปทั้งๆที่ยังไม่รู้ชัดได้อย่างไร?

 

 

คนที่ไม่อาจเก็บอารมณ์ไว้ได้เช่นนี้ จะสามารถเป็นเจ้าสำนักที่ดีได้จริงหรือ?

 

 

นางเดินกระแทกเท้าตึงตึงกลับเข้ามา ยืนอยู่ข้างกายเขา ก้มลงมองจากด้านบน

 

 

“เจ้ารู้ฐานะของข้าตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

……………………………