สีหน้าของเฉินซงจื่อเยือกเย็น มองไปที่หม่าฮ่วาหลงน้ำเสียงก็เย็นชายิ่งขึ้น: “อย่าพูดไร้สาระ ต้องการมาก่อกวนที่เหม่ยหวา ผ่านฉันไปก่อน!”
หม่าฮ่วาหลงหรี่ตา และมองไปที่เฉินซงจื่ออย่างอันตราย:ขฌ “ดูเหมือนว่าแกพูดดีๆด้วยไม่ยอมทำตาม ก็คงต้องใช้กำลังบังคับ ช่างเถอะ วันนี้ฉันจะสั่งสอนคนทรยศในโลกบู๊โบราณอย่างพวกแกเหล่านี้!”
หลังจากที่พูดจบ หม่าฮ่วาหลงก็กระทืบเท้าซ้ายลงบนพื้นในทันใด ร่างกายเหมือนกับลูกธนูที่แหลมคมที่ถูกดึงออกจากเชือก มาถึงตรงหน้าของเฉินซงจื่อในพริบตา
“ตาเฒ่าเต๋า ให้ฉันดูสิว่าแกมีความสามารถแค่ไหน!”
หม่าฮ่วาหลงต่อยไปที่เฉินซงจื่อหมัดหนึ่ง แสงสีขาวหลอมรวมที่หมัด ตรงที่หมัดผ่านไป กลางอากาศมีเสียงวี๊ดๆดังมา
ชี่แท้แปรพลังปราณ!
ดูเหมือนว่าหม่าฮ่วาหลงคนนี้จะเป็นปรมาจารย์แห่งแดนมองขวัญคนหนึ่งเช่นกัน!
หลิ่วหยวนอยู่ด้านหลังเห็นหม่าฮ่วาหลงลงมือ ก็ถอนหายใจในใจ: “สำนักเฟิงหยวนนั้นแข็งแกร่งกว่าตระกูลหลิ่วของฉันอยู่แล้ว หม่าฮ่วาหลงคนนี้เป็นแค่ผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักเฟิงหยวนเท่านั้นหญ ก็มีความแข็งแกร่งของแดนมองขวัญด้วย ตอนนั้นตระกูลหลิ่วของฉันมีแค่ผู้อาวุโสใหญ่และหลิ่วสือผู้นำคนก่อนเท่านั้นที่มีผลการฝึกตนแดนมองขวัญ”
ในดวงตาของหลิ่วหยวนฉายแววไม่พอใจในทันที: “หึ ถ้าตระกูลหลิ่วของฉันมีผู้แข็งแกร่งแดนมองขวัญนั่งบัญชาการอยู่ จะถึงกับให้ผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักเฟิงหยวนอย่างนายมาโอ้อวดแสนยานุภาพที่นี่ได้ยังไง!”
ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ แต่หลิ่วหยวนรู้ดีเป็นอย่างมาก ด้วยความแข็งแกร่งตอนนี้ของตระกูลหลิ่ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อกรกับสำนักเฟิงหยวน
“รอให้ฉันวางแผนอย่างดีๆ ถึงเวลานั้นจะต้องทำให้สำนักเฟิงหยวนของแกสยบแทบเท้าของฉันอย่างแน่นอน!”
มองไปที่หมัดอันทรงพลังของหม่าฮ่วาหลง สีหน้าของเฉินซงจื่อเรียบเฉย
“แดนมองขวัญ! มิน่าล่ะแกกล้ามาก่อกวนที่นี่!”
เฉินซงจื่อไม่หลบไม่ถอยญท ก็ต่อยหมัดหนึ่งไปประจันกับหม่าฮ่วาหลง
ผลัวะ!
ทั้งสองปะทะกันอย่างหนัก เฉินซงจื่อถอยไปสามก้าว หม่าฮ่วาหลงถอยไปห้าก้าว ถือได้ว่าฝีมือพอๆกัน
แต่ว่า หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ หม่าฮ่วาหลงสีหน้าไม่พอใจ มองไปที่เฉินซงจื่อพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า: “มิน่าล่ะแกกล้าขวางพวกเราด้วยตัวคนเดียว ที่แท้มีความแข็งแกร่งแดนมองขวัญนี่เอง!”
“ในเมื่อท่านพรตมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ แล้วทำไมถึงไปเป็นหมาของเฉินไต้ซือ? สู้ยอมจำนนต่อสำนักเฟิงหยวนของฉันดีกว่า ถึงเวลานั้นฉันให้เจ้าสำนักให้ยาอายุวัฒนะระดับสูงกับแก ช่วยแกทะลวงแดนเทพ!”
หม่าฮ่วาหลงกล่าวด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจหภ ราวกับเป็นการให้ทาน
เฉินซงจื่อเงยขึ้นหัวเราะอย่างกะทันหัน: “ฮ่าๆๆๆ…….”
เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความประชดประชัน
สีหน้าของหม่าฮ่วาหลงเปลี่ยนไป และพูดอย่างเยือกเย็น: “แกหัวเราะอะไร?”
เฉินซงจื่อจ้องมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม: “ฉันหัวเราะนายไม่เจียมตัว!”
“แค่สำนักในโลกบู๊โบราณของแก คู่ควรให้ฉันยอมจำนนเหรอ? แกรู้มั้ยว่าท่านอาจารย์เฉินไต้ซือของฉันเป็นใคร?”
เมื่อพูดถึงเฉินโม่ จู่ๆเฉินซงจื่อนึกถึงฉากการทำลายล้างดวงดาวที่เห็นในดวงตาของเฉินโม่ และสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ออกอาละวาด ในโลกนั้น บางคนลุกขึ้นยืนก็สามารถที่จะคว้าดาวบนฟ้าได้ และบางคนสามารถทำลายโลกได้ด้วยหมัดเดียว ……
สีหน้านับถือค่อยๆปรากฏบนใบหน้าของเฉินซงจื่อ น้ำเสียงล่องลอยราวกับเทพ: “ท่านอาจารย์เฉินไต้ซือของฉัน แค่นิ้วเดียว ก็สามารถที่จะบดขยี้โลกบู๊โบราณของพวกแกได้อย่างง่ายดาย วิสัยทัศน์ของพวกแกยังจำกัดอยู่เพียงการต่อสู้เพื่ออำนาจและผลกำไร แต่สายตาท่านอาจารย์ของฉัน สามารถกวาดสายตามองจักรวาลท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมานานแล้ว!”
หม่าฮ่วาหลงเหยียดหยามขึ้นมา และพวกคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็หัวเราะตามด้วย เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความดูถูก
“ตาเฒ่าเต๋า แกขี้โม้จริงๆ! แค่เฉินไต้ซือ ก็คิดเพ้อเจ้อจะเปรียบเทียบกับโลกบู๊โบราณของฉัน จะบอกแกให้ ในเวลานี้เฉินไต้ซือกำลังต่อสู้กับยากิวยิโตะในเขาฟู่ถุ ยังไม่รู้ว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่ แค่เขามองดูจักรวาลและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หึ หน้าด้าน”